ชินอ๋องหวยเหลียงสะดุ้งด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่านางก็มีเกาทัณฑ์แขนเสื้อเหมือนกัน เขารีบยกดาบขึ้นมาป้องกันอย่างร้อนรน แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบแล้วว่า ต่อให้สตรีผู้นี้ไม่ใช้เกาทัณฑ์แขนเสื้อ ลำพังแค่กระบี่อ่อนเล่มเดียวนี้ ก็สามารถฟาดฟันได้ดุดันดั่งพยัคฆ์ จนคนมิอาจตั้งรับ จนตามองไม่ทัน เขาถอยหลังไปสองสามเก้าสภาพแทบไม่เป็นท่า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่ลำคอ ชีหยวนใช้กระบี่แทงทะลุลำคอของเขาแล้ว รวดเร็วอะไรเช่นนี้! ชินอ๋องหวยเหลียงเบิกตาโพลง จ้องมองสตรีตรงหน้า ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าตนเองทำผิดพลาดตรงจุดใดไป ชีหยวนกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา “วางใจเถิด ไม่ให้เจ้าตายบนแผ่นดินต้าโจวของพวกข้าหรอก ศีรษะของเจ้าจะถูกพากลับไปที่บ้านเกิดของพวกเจ้า!” ขณะที่นางกำลังเอ่ยปากกล่าววาจา ไล่เฉิงหลงพร้อมกับพวกพ้องที่ตามมาทันก็ได้เห็นภาพฉากนี้พอดี ในที่สุดชุนหลินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพอได้ยินชื่อชีหยวนท่านใต้เท้าถึงได้มีท่าทีตอบสนองเช่นนั้น คุณหนูใหญ่สกุลชีที่แท้ก็กินคนได้จริง ๆ! ซามูไรที่เหลือพลันจมดิ่งสู่ห้วงความเจ็บปวดโศกเศร้าอันใหญ่หลวงเพราะการจากไปของเจ้านาย พวกมันต่างพากั
พวกเขาบุกรุกชายฝั่งทะเลของต้าโจวตลอดทั้งปี ทั้งซานตงกว่างตงฝูเจี้ยนหรือแม้กระทั่งเจ้อเจียง แต่เพราะชายฝั่งทะเลของต้าโจวยาวเกินไป ดังนั้นจึงมีจุดที่พวกเขาป้องกันไม่ทั่วถึงอยู่เสมอ และพวกเขาก็รบรากับกองทัพทหารต้าโจวมาหลายครั้ง ชินอ๋องหวยเหลียงมีความมั่นใจในตนเองมาตลอด เพราะซามูไรพเนจรของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วเมื่อต้องประจันหน้ากับทหารของต้าโจวเหล่านี้ สามารถจัดการศัตรูสิบคนด้วยซามูไรเพียงคนเดียวได้สบาย ทว่าตอนนี้ ตรงหน้าเขาในเวลานี้ ที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นซามูไรที่ผ่านการเคี่ยวกรำฝึกฝนจนเชี่ยวชาญทั้งหมด! แต่กลับถูกใครบางคนบั่นคอทิ้งโดยไม่ทันส่งเสียง ซามูไรผู้นั้นทรุดตัวล้มลงไปภายใต้แสงสุกสว่างของจันทราอย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เสียงร้องคำรามคุ้นหูก็แว่วดังมาจากทางโค้งที่สาม เป็นคนที่เขาเพิ่งสั่งให้ลงไปหารถม้าในหุบเขา! กำลังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเป็นภาษาตงอิ๋ง! ชินอ๋องหวยเหลียงในที่สุดก็ทนต่อไม่ไหวแผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลออกมาทันที “เจ้าโง่!” และใช้ภาษาตงอิ๋งสั่งพวกสมุนให้ตั้งสติและเตรียมรับการโจมตี เขาเองก็กำดาบซามูไรไว้อย่างระแวดระวัง มองไปรอบด้า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น รถม้าก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เป็นการเคลื่อนตัวออกจากประตูอาราม และกำลังจะเริ่มตีวงเลี้ยวโค้ง ชีหยวนกำลังคำนวณระยะทางอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ รู้ดีว่าจะอย่างไรสองข้างทางของถนนบนภูเขาที่มีสามทางโค้งเส้นนี้ล้วนเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือ ในอดีตชาติเซียวอวิ๋นถิงถูกส่งตัวไปกำกับกองทัพเรือ นางเองก็เคยปะทะกับพวกโจรสลัดมาก่อน จึงรู้วิธีการของคนพวกนี้เป็นอย่างดี ขอเพียงได้บรรลุเป้าหมาย พวกมันไม่เหลือความเป็นคนอยู่แล้ว ขณะที่กำลังครุ่นคิด โค้งแรกผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค รถม้าสั่นสะเทือนอีกครั้ง เริ่มตีวงเข้าสู่โค้งที่สอง แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เซียวอวิ๋นถิงและชีหยวนต่างหันมาสบตากันทันที หลังจากดับตะเกียงในรถม้าแล้ว แม้มิได้ให้สัญญาณ ทว่าทั้งสองต่างก็ทยอยกันปีนออกไปข้างนอกจากทางหน้าต่างรถม้า ทว่าเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียวต่อจากนั้น อาชาแผดเสียงร้องอย่างรุนแรงและดิ้นพล่าน ทันใดนั้นก็หลุดจากเชือกบังเหียนและวิ่งเตลิดออกไปอย่างไร้การควบคุม วิ่งไปเพียงไม่กี่ก้าว มันก็พุ่งออกมาจากทางเล็ก ๆ และร่วงตกไปในหุบเขา หายลับไปในทันที หุบเขาแห่งนี้มีหินโสโครกจำนวน
ฮูหยินผู้เฒ่ามองชีหยวนขึ้นรถม้า แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หนนี้ นางกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น อดไม่ได้ที่จะยกสองมือประนมสิบนิ้วอธิษฐานขอพรต่อพระพุทธเจ้าในใจ วิงวอนต่อพระพุทธเจ้าโปรดปกป้องคุ้มครองชีหยวนให้ปลอดภัยและราบรื่น ชีหยวนดรุณีผู้นี้ ยิ่งอยู่ไกล กลับยิ่งมองเห็นหัวใจอันอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันแหลมคมของนางชัดเจนขึ้น นางไม่เคยออมมือให้คนที่คิดทำร้ายนาง ทว่าสำหรับคนที่ใส่ใจนางกลับห่วงใยอย่างลึกซึ้งไม่มีขาดตกบกพร่อง ต่อให้ไม่ใช่เพราะความสามารถอันเหลือล้นของชีหยวน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าชีก็เริ่มโปรดปรานหลานสาวคนนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ฮูหยินรองชีแม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร แต่กระนั้นก็ยังสังเกตได้อย่างรางเลือนว่าอีกไม่นานต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ นางประคองฮูหยินผู้เฒ่าชีกลับเข้าไปด้านในพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยเห็นเด็กที่มีฝีมือเก่งกาจมากไปกว่าหยวนหยวนเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็ประสบความสำเร็จเสมอเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองมิได้พูดเกินจริง นางไม่เคยเห็นผู้ใดที่จะดื้อรั้นหัวแข็งหนักแน่นแน่วแน่ไ
แบบนี้จงใจเล็งเป้าหมายมาที่ตนเองชัดเจน มาก็ดี นางเองก็อดทนกับเป่าหรงมานานมากแล้วเหมือนกัน ระหว่างทางที่ฮูหยินผู้เฒ่าชีพาชีหยวนเดินทางไปยังวัดหวงเจวี๋ยยังรู้สึกว่ามือยังสั่นเล็กน้อย นางกุมมือของชีหยวนเอาไว้แน่น “แม่หนูหยวน เจ้าอย่าได้บุ่มบ่ามนักเลย…” ชีหยวนผุดยิ้มพลางปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านย่าวางใจเถิด ท่านรู้จักข้าดี แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยบุ่มบ่าม” ฮูหยินรองชีนั่งด้านข้างคอยอยู่เคียงกายฮูหยินผู้เฒ่าชี เงียบไปชั่วขณะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมา ชีหยวนหรือจะไม่เคยบุ่มบ่าม? ทว่ามาถึงวัดหวงเจวี๋ยแล้ว พิธีสวดส่งวิญญาณวันแรกผ่านไป กระทั่งชีหยวนมั่นใจแล้วว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นจริง นางก็ถอดหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างอดไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าชีรู้ว่าอันตรายที่แท้จริงยังมาไม่ถึง พิธีสวดส่งวิญญาณจัดขึ้นทั้งสิ้นสามวัน เหล่าสตรีจำเป็นต้องเข้าร่วมทุกช่วงพิธี ความจริงแล้วสิ่งนี้มิได้ต่างอะไรกับพิธีฝังศพตามระเบียบราชพิธีที่ฮ่องเต้ตรัสว่าจะจัดให้หวงกุ้ยเฟย ความแตกต่างก็มีเพียงแค่เหล่าสตรีในราชสำนักไม่ต้องไปร่ำไห้แสดงความโศกาอาลัยในวังหลวงก็เท่านั้น จากสามวันเพิ่งผ่านไปเพียงวันแรกเท่
โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นสบตากัน ชีหยวนไม่เคยยิงลูกธนูออกไปโดยไร้เป้าหมาย และหากว่าคณะทูตตงอิ๋งกำลังจับตามองชีหยวนจริง เช่นนั้นก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้…นั่นก็คือองค์หญิงเป่าหรง มิเช่นนั้นหากว่ากันตามความจริงแล้ว คณะทูตตงอิ๋งเหล่านี้ยังรู้จักบรรดาขุนนางเชื้อพระวงศ์ในแคว้นต้าโจวไม่ครบทุกคนด้วยซ้ำ พวกเขาอยู่ดี ๆ จะมาจ้องจับตามองบุตรีของขุนนางคนเดียวได้อย่างไร? สีหน้าของชีเจิ้นย่ำแย่ลงเล็กน้อย ไม่มีใครโปรดปรานความยุ่งยาก แต่คนพวกนี้กลับติดแน่นไม่ยอมปล่อยเหมือนกอเอี๊ยะหนังสุนัข ก็เหมือนองค์หญิงเป่าหรง พูดหยาบ ๆ เลยว่า คนที่ชีหยวนสังหารไปก็มีมากพอควร องค์หญิงเป่าหรงทำเรื่องไว้ขนาดนี้ ยังมีชีวิตเหลือรอดก็นับว่าโชคดีมากแล้ว สิ่งที่นางควรทำตอนนี้ไม่ใช่คอยตามจองเวรชีหยวนต่อไม่ยอมเลิก แต่ควรจะไปจุดธูปดอกใหญ่ตั้งใจขอพรต่อหน้าพระโพธิสัตว์ให้ดีมากกว่า หากมิใช่เพราะมีพระโพธิสัตว์คุ้มครอง นางจะรอดมาถึงตอนนี้หรือไม่ก็คงบอกแน่ชัดไม่ได้ บัดนี้ยังกล้าเข้ามารังควานไม่เลิกอีก ด้วยเหตุผลนี้ชีเจิ้นที่มักจะเตือนสติชีหยวนให้ใจเย็นหนนี้กลับไม่เตือนแล้ว เป่าหรงอยากตายนักก็ตายไปเสียเถิด เขาไม่