LOGIN“อาจารย์ของไหมนี่ขยันมาหาไหมจริงๆ เลยนะ” ภีรดาพูดขึ้นก่อนหลังจากที่วราลีเดินกลับมาถึง
“อาจารย์มาคุยเรื่องงานเขียนของไหมน่ะจ้ะ แล้วก็เอ่อ...ชวนไปงานวันเกิดแม่ของอาจารย์” วราลีเล่าอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ชวนไปงานวันเกิดแม่ โห นี่ไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะนี่ แล้วไหมจะไปหรือเปล่า” ภีรดาถามต่อ
“ก็ไหมเกรงใจอาจารย์นี่ พิมไปเป็นเพื่อนไหมหน่อยได้ไหม”
“ไม่ดีมั้งจ๊ะ แต่เอาเป็นว่าพิมจะไปค้างที่บ้านไหม ไปช่วยไหมแต่งตัวดีมั้ยจ๊ะ” ภีรดาบอกอย่างเสนอตัว
เย็นวันนั้นพิษณุขับรถมาที่บ้านของวราลี เพื่อขออนุญาตให้วราลีไปงานวันเกิดแม่ของเขา ด้วยท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่ประกอบกับท่าทางที่สุภาพนอบน้อม รวมถึงชื่อเสียงของตระกูลดังของพิษณุทำให้พ่อแม่ของวราลีอนุญาตให้วราลีไปกับเขาได้อย่างไม่ยากนัก
ภีรดาทำหน้าที่เป็นผู้แต่งตัวให้กับวราลีในวันที่พิษณุนัดไว้ ภีรดายิ้มอย่างชื่นชมในผลงานของตัวเองอีกครั้ง เมื่อวราลีสวยและน่ารักจนเธอเองก็อดตะลึงไม่ได้หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ถึงแม้เธอจะไม่อยากให้วราลีชอบกับพิษณุ แต่เธอก็ไม่อยากให้เพื่อนของเธอสวยน้อยหน้าใคร
“เขินนะพิม” วราลีพูดยิ้มๆ และหน้าแดงระเรื่อเพราะภีรดาจ้องเธออย่างไม่กะพริบตา
“ก็ไหมสวยนี่นา”
รถของพิษณุวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านก่อนที่วราลีจะลงไปหาเขา พิษณุมองวราลีอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นเธอครั้งแรก วราลีสวยและน่ารักอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด
หญิงสาวก้าวขึ้นไปนั่งบนรถของพิษณุอย่างประหม่าน้อยๆ เพราะพิษณุเอาแต่จ้องเธอไม่ต่างจากภีรดาสักเท่าไหร่นัก
“อาจารย์คะ”
เสียงเรียกของเธอทำให้พิษณุได้สติและออกรถ
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับไหม แต่วันนี้ไหมสวยมาก” เขาหันมาทางเธอและยิ้มให้อย่างอบอุ่น ทำให้วราลีค่อยผ่อนคลายได้บ้าง
พิษณุพาเธอเดินเข้ามาในงาน วราลีรู้สึกเครียดอีกครั้งเพราะเธอคิดว่างานเลี้ยงจะเป็นงานเล็กๆ แต่ตรงกันข้ามงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตและมีแขกมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก หลายๆ คนมองมายังเธอและพิษณุอย่างสนใจจนทำให้วราลีรู้สึกเกร็งกับการถูกจ้องจากสายตาหลายๆ คู่
วราลีถูกพาไปแนะนำกับหม่อมพิมพาแม่ของพิษณุ ซึ่งเป็นผู้หญิงดูสวยและดูสง่าถึงแม้จะอายุเยอะแล้ว หม่อมพิมพามองวราลีอย่างเอ็นดูเพราะท่าทางที่ดูเรียบร้อยและนิ่งๆ ของวราลีทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจในตัววราลีไม่น้อย วราลีค่อยผ่อนลมหายใจได้อย่างโล่งอกที่แม่ของพิษณุไม่ได้ดุอย่างที่คิดเอาไว้
เสียงโทรศัพท์ของวราลีดังขึ้นในขณะที่เธอเลี่ยงออกมารับประทานอาหารที่จัดเอาไว้ด้านนอกของบ้าน เธอมองเบอร์อย่างแปลกใจเพราะมันไม่ใช่เบอร์ที่เธอมีอยู่ในเครื่อง
“สวัสดีค่ะ” วราลีกดรับและกรอกเสียงลงไป
“มีความสุขมากสินะ”
เสียงจากปลายสายทำให้วราลีหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่เคยได้ยินเสียงนี้เลย
“พี่เคน...” เธอเรียกชื่อเขาเหมือนคนละเมอ
“อ้อ ยังจำได้” อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาอย่างคุกคาม
“พี่เคน เอ่อ สบายดีนะคะ” เธอถามเขากลับไปอย่างพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
“อย่ามาโยกโย้ไหม กลับบ้านเดี๋ยวนี้” เขาออกกับสั่งกับเธอทันที วราลีรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีกับน้ำเสียงที่เหมือนวางอำนาจของเขา
“ไหมจะกลับเมื่อไหร่มันก็เรื่องของไหม พี่เคนไม่มีสิทธิ์มาสั่ง” เธอตอบโต้เขากลับไป
“ปากเก่งขึ้นเยอะนี่”
“ไหมไม่ได้ปากเก่ง”
“รักมันงั้นสิ” ภีรวัจน์โมโหแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่เมื่อพูดประโยคนั้น
“กรุณาพูดให้ดีๆ ด้วยเพราะคนที่พี่เคนพูดถึงเป็นอาจารย์ของไหม พี่เคนไม่มีสิทธิ์เรียกเขาแบบนั้น” คำพูดที่เหมือนปกป้องพิษณุของวราลีทำเอาภีรวัจน์เจ็บปวดในหัวใจจนแทบคลั่ง ในนาทีนั้นเขาทั้งรักทั้งแค้นและรู้สึกเกลียดชังวราลีขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอกำลังทรยศความรักของเขาอย่างนั้นหรือ
“คงจะรักมันมากสินะ” เขาพูดอย่างเค้นเสียง
“ถ้าใช่แล้วพี่เคนจะทำไมคะ” วราลีตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ภีรวัจน์พูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นก่อนจะวางสายไป
วราลีถอนหายใจและรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดหลังจากที่วางสายจากเขาไป คนบ้านั่นไม่เคยคิดที่จะโทรมาหาเธอเลย พอโทรมาครั้งเดียวก็มาวางอำนาจใส่ มันก็สมควรแล้วที่เธอจะตอบโต้ไปแบบนั้น แต่ทำไมเธอถึงต้องมาเป็นกังวลเพราะน้ำเสียงบ้าๆ นั่นของเขาด้วยนะ
ภีรดาเดินออกมาเดินเล่นหน้าบ้านหลังจากที่ส่งวราลีขึ้นรถไปแล้ว ที่บ้านสวนของวราลีในยามค่ำคืนจะมืดมากกว่าที่บ้านของเธอ เนื่องจากที่นี่มีบ้านอยู่ห่างกันทำให้แสงไฟไม่สว่างมากนัก หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยามนี้แสงดาวระยิบระยับประดับท้องฟ้าอย่างสวยงาม
ภวินท์เดินมาที่บ้านของวราลีในตอนนั้นเพื่อเอาหนังสือมาให้วราลี เขาแปลกใจที่วันนี้เห็นวราลีออกมาเดินเล่นอยู่ที่หน้าบ้าน เพราะปกติวราลีจะเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำทุกวัน
“ไหม” ภวินท์ส่งเสียงเรียก
“ฉันไม่ใช่ไหม” ภีรดาตอบกลับไปอย่างทันควันเมื่อจำเสียงคุ้นหูของภวินท์ได้
“ยัยตัวแสบ” ภวินท์จำเสียงของเธอได้เช่นกัน
“ไหมไม่อยู่นายมีอะไรหรือเปล่า”
“คุณเมธิน” เขาตอบเรียบๆ“แล้วยังไงคะ” เธอถามเขาต่อแต่ลำคอเริ่มตีบตัน“ถ้าคุณจะถอนหมั้นแล้วไปคบกับเขาผมก็ยินดีนะ” น้ำเสียงที่พูดราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายของเขาบาดลึกลงไปในหัวใจของภีรดาอย่างไม่เคยรู้สึกเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่เขาคิดจะผลักไสเธอให้คนอื่นมันเหมือนเธอไม่เคยมีความหมายอะไรต่อเขาเลย ทำให้ภีรดาต้องเมินหน้าหนีจากใบหน้าเข้มๆ ของเขาภวินท์มาจอดรถส่งเธอที่หน้าบ้านหลังจากที่ภีรดานั่งเงียบมาตลอดทาง“ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผม” เขาหันมาพูดก่อนที่ภีรดาจะเปิดประตูรถลงไป“พิมไม่เคยมีความหมายอะไรกับพี่เลยใช่ไหมคะ” เธอหันไปถามเขาอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงสั่นเครือ“พิม” เขาเรียกเธอย่างตกใจ“พี่ไก่มีหัวใจบ้างหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยอย่างตัดพ้อ น้ำตาที่สกัดกั้นไว้ตลอดทางเริ่มไหลออกมาเต็มสองแก้ม พร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ที่หันไปทุบที่หน้าอกเขาติดๆ กันเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมาตลอด เขารวบมือของเธอไว้“ปล่อยนะ” เธอหันไปแหวใส่เขาทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดร้องไห้“หยุดร้องไห้ก่อนแล้วพูดกันดีๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง“ไม่หยุด พิมเกลียดพี่ไก่ ใช่...พิมมันบ้า บ้าที่หลงรักพี่ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยเห็นพิมอ
“พิมเป็นเหน็บค่ะสงสัยจะนั่งนาน”เขาช้อนร่างบางของเธอไว้ในวงแขน ก่อนจะเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ๆ และวางลง ภวินท์นั่งลงข้างล่าง ถอดรองเท้าเธอออก แล้วนวดให้อย่างเบามือ ทำให้ภีรดานึกไปถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่เธอเคยแกล้งเขาและเขาต้องนวดให้เธอแบบนี้ หญิงสาวเริ่มหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนที่เขาจูบเธอเป็นครั้งแรกหลังจากนั้น“ดีขึ้นหรือยัง”“ก็เอ่อค่ะ” ในยามนี้ภีรดาเหมือนนางอายทำอะไรก็ดูขัดเขินไปหมด เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับเธอได้ขนาดนี้ภวินท์จึงหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคู่หมั้นสาว“พิมครับเป็นอะไรไปครับ” คำพูดของเขายิ่งทำเอาเธออ่อนยวบจนแทบละลาย คนอย่างเขาพูดเพราะกับเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอ“พี่ไก่คะ”“ครับว่าไง”“ไม่ว่าอะไรพิมใช่ไหมคะที่พิมจะเรียกว่าพี่ไก่”“ไม่ว่าครับเพียงแต่มันไม่ชิน”“แล้วถ้าถอนหมั้นกันแล้ว พิมยังจะเรียกเหมือนเดิมได้หรือเปลา” ภีรดาถามต่อแต่คำถามของเธอทำให้เขาหน้าตึงขึ้นมาทันที“ตามใจสิ” เขาตอบห้วนๆ และทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ภีรดาลุกขึ้นและดึงแขนเข้าไว้“เดี๋ยวก่อนค่ะ โกรธพิมเหรอคะ” เธอพูดอย่างงอนง้อ“ไม่ได้โกรธ”“แล้วทำไมต้องเดินหนีพิมล่ะคะ”“ก็แค่คู่หมั้นกำมะลอจะใส่ใจอะไรกั
“ไม่นะคะพี่เคน” เธอปฏิเสธทันที“พี่คงไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านแล้วผ่านเลยไปอย่างแน่นอน พิมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่ทำแค่ที่พี่ทำแน่”คำพูดที่เด็ดขาดของภีรวัจน์ทำให้เธอรู้ว่าเธอหมดทางปฏิเสธ แล้วภวินท์ล่ะจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหนที่ต้องหมั้นกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้รักภีรดาถูกภีรวัจน์สั่งให้ย้ายแผนกมาฝึกงานกับฝ่ายบัญชีหลังจากนั้น หากเป็นแต่ก่อนเธอคงไม่ยอมพี่ชายง่ายๆ แบบนี้แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการดีสำหรับเธอ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภวินท์ในตอนนี้วราลีทราบข่าวเรื่องนี้จากปากของภีรดา ทำให้เธอตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้เพื่อนรักมาเป็นพี่สะใภ้ในที่สุด เธอรู้ว่าภีรดาแอบชอบภวินท์มาหลายปีแล้ว แต่พี่ชายของเธอก็เอาแต่เมินเฉยและเย็นชาใส่ภีรดามาตั้งแต่แรกเช่นกัน เธอรู้สึกดีใจแทนภีรดาอย่างมากแต่ก็รู้สึกไม่ชอบใจนักที่รู้ว่าภีรวัจน์เป็นผู้บังคับให้ภวินท์หมั้นกับภีรดา คนร้ายกาจนั่นชอบวางอำนาจและชอบสั่งให้คนนั้นคนนี้ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาสักนิดความห่างเหินระหว่างภวินท์กับภีรดาเริ่มมากขึ้นเ
ภวินท์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งบริษัท เพราะนอกจากเขาจะหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เขายังวางตัวได้ดีและทำงานเก่งจนมีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงานมากกว่าคนหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวกัน ภีรดาเองก็เคยเห็นผู้หญิงมองตามเขาหลายครั้งหญิงสาวลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเขาที่โต๊ะ เธอยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะและไม่ยอมขยับไปไหน ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานตรงหน้าต่อ“งานของคุณเสร็จแล้วเหรอ” ภีรดารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่เขาพูดกับเธอแต่ไม่ยอมมองหน้าสักนิด“ยัง”“อ้อลืมไปว่าคุณเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ส่วนผมมันแค่ลูกจ้างต้องทำงานให้คุ้มเงินเดือน” ภีรดาหน้าชาเพราะเหมือนเขากำลังย้อนสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้เพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น“ก็บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ” ภีรดาพูดอย่างงอนง้อ“ขอโทษเรื่องอะไร”“ก็ที่ฉันพูดไม่ดีกับนายวันก่อน”“คุณก็พูดถูกนี่” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของเธอสักนิด“เมื่อไหร่นายจะหายโกรธฉันซักที”“ผมคงไม่บังอาจไปโกรธลูกสาวนายจ้างอย่างคุณหรอกครับ” น้ำเสียงเขาราบเรียบและห่างเหินจนภีรดาเริ่มจะหมดความอดทน“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากสั่งอะไรนายก็ได้ใช่ไหม” เธอพู
“อย่าทำอะไรบ้าๆ อีกนะ” วราลีหันกลับมาค้อนขวับพร้อมทั้งพูดกับเขาเสียงดุๆ“ไหมก็รู้ว่าห้ามผมไม่ได้”“ถ้าคิดจะล่วงเกินไหมอีก ไหมจะ..” เธอหยุดพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าคนอย่างเธอจะสามารถทำอะไรเขาได้“จะ..อะไรครับยาหยี”“ถอยไปนะ ไหมจะไปอาบน้ำ” เธอพูดจะสะบัดตัวออกแต่ครั้งนี้กลับเป็นอิสระอย่างง่ายดาย เพราะเขายอมปล่อยเธอแต่โดยดีวราลีรีบเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำอย่างไม่ยอมเสียเวลาเพราะกลัวคนบ้านั่นจะทำอะไรบ้าๆ กับเธออีก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมอย่างมิดชิดและดวงตากลมโตของเธอหันมามองเขาที่ยังคงนอนสบายใจอยู่บนที่นอนเช่นเดิม สายตาของเขามองเธอทุกอิริยาบถจนเธอแทบจะเดินขาขวิดภีรวัจน์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะลุกจากเตียงแล้วแกล้งเดินเฉียดเธอไปเข้าอาบน้ำบ้างวราลีแต่งตัวเสร็จและนั่งรอเขาอยู่ที่เตียง เธอหันหลังให้เขาตั้งแต่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ คนบ้านั่นหน้าไม่อายสักนิดกับการที่ต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าเธอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะมองภาพนั้นได้ภีรวัจน์เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวหลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จ เขามานั่งซ้อนข้างหลังและสอดมือเข้ามาที่เอวคอดของเธอ“พี่เคน”เขาไม่ตอบแต่ฝังจมูกลงบนซอกคอข
เขาผละลุกขึ้นจากร่างเปลือยเปล่าของเธออย่างรวดเร็วก่อนจะตรงเข้าไปยังห้องน้ำ และเปิดฝักบัวเพื่อให้สายน้ำเย็นๆ ดับความร้อนระอุและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายเขาจนรวดร้าวในตอนนี้ภาพการตอบสนองที่ร้อนแรงอย่างไม่รู้ตัวของวราลียังตามหลอกหลอนเขาทำเอาเขาแทบคลั่งและต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่เปิดประตูห้องน้ำกลับออกไปหาเธออีกครั้งวราลีควานหาเสื้อนอนมาใส่อย่างอับอาย ร่างกายเธอยังสั่นเทาจากพิษของแรงปรารถนาที่เพิ่งดับมอดลง เธอไม่รู้จะสู้หน้าเขาอย่างไรทั้งๆ ที่ปากตะโกนบอกว่าเกลียดเขา แต่ร่างกายเธอกลับตอบสนองเขาอย่างร้อนแรงราวกับสาวร้อนรักไม่มีผิดภีรวัจน์กลับออกมาอีกครั้ง หลังจากที่สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุของเขาลงไปได้จนเกือบเป็นปกติวราลีนั่งอยู่ที่เตียงโดยใช้ผ้าห่มพันร่างของตัวเองเอาไว้อย่างหนาแน่น ตาสองคู่ประสานกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันวาบหวามไปหญิงสาวหน้าแดงและเสหลบตาเขาอย่างอับอายเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาอันน่าอับอายของตัวเองเขาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเธอ ก่อนจะเดินลงมานั่งที่เตียงข้างๆ เธอ วราลีสะดุ้งและตะครุบชายผ้าห่มเอาไว้แน่น“ตลกน่าไหม นึกว่าผ้าห่มแค่นี้จะช่







