Masukเขาทำท่าจะหันหลังกลับไปทันที เพราะไม่อยากอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอนานๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกรำคาญเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่กำลังสั่นคลอนหัวใจของเขา
“เดี๋ยวก่อนสิ” ภีรดาเรียกเขาไว้ก่อนจะวิ่งมาขวางเขาไว้
“มีอะไร” เขาถามอย่างหงุดหงิดตัวเองที่ราวกับตบะจะแตกอยู่เรื่อยเมื่ออยู่ใกล้ๆ ยัยตัวแสบนี่
“ทำไมต้องรีบหลบหน้าฉัน”
“ผมมาหาไหม ในเมื่อไหมไม่อยู่ก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ต่อ”
“ฉันมันน่ารังเกียจมากใช่ไหมนายถึงไม่เคยอยากอยู่ใกล้” เสียงของภีรดาสั่นเครือเมื่อถามประโยคนั้นกับเขาทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจ
“หลีกไปได้แล้วผมจะกลับ” ภวินท์พูดเสียงราบเรียบ
“ก็ไปสิ” ภีรดาพูดอย่างตัดก่อนจะถอยให้เขาอย่างยอมแพ้
ภวินท์เดินผ่านหน้าเธอไปโดยไม่ได้มองหน้าเธอเหมือนอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำ ภีรดาได้แต่มองตามอย่างเจ็บปวดเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่จู่ๆ ภวินท์ก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดประโยคหนึ่ง
“ฝันดีนะ”
เขาพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามแบบของเขาแต่กลับทำให้ภีรดาตัวแข็งไปได้ชั่วขณะ นี่เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมที่ได้ยินภวินท์พูดกับเธอแบบนั้น…ภีรดายิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุขอีกครั้ง
วราลีและภีรดามองหน้ากันอย่างมีความสุขในวันที่ทั้งสองจบการศึกษา ครอบครัวของภีรดาต้องการให้เธอเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศเช่นเดียวกับภีรวัจน์ แต่ภีรดาต้องการเรียนต่อในประเทศมากกว่าเพราะเธอไม่อยากจากบ้านไปไกลและโดยเฉพาะกับการที่ต้องอยู่ห่างจากภวินท์เธอคงไม่สามารถทำใจได้ แค่ตอนนี้ที่เขาทำงานเธอก็แทบจะเจอกับเขานับครั้งได้ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานให้กับบริษัทของครอบครัวเธอก็ตาม
ภีรดาขอมาฝึกงานที่บริษัทก่อนที่จะเริ่มเรียนต่อซึ่งทางพ่อและแม่ของเธอก็เห็นด้วยกับภีรดา เธอรู้สึกดีใจไม่น้อยเพราะนอกจากจะได้ฝึกงานแล้วเธอยังจะมีโอกาสได้เจอภวินท์ที่นั่นด้วย
ในขณะที่วราลีเข้าไปทำงานให้กับสำนักพิมพ์ของพิษณุเต็มตัว เธอตื่นเต้นอย่างมากเพราะในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริงแต่คนที่ดีใจมากกว่าก็คือพิษณุนั่นเอง เพราะเขาจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับวราลีผู้หญิงที่เขาแอบรักมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า เขามักหาโอกาสพาวราลีไปกินข้าวและไปส่งเธอที่บ้านเป็นประจำจนทุกคนในสำนักพิมพ์ของเขาต่างรู้กันว่าวราลีคือคนพิเศษของเจ้านาย
“ไหม” พิษณุเรียกเธอในช่วงเวลาใกล้เลิกงาน
“คะอาจารย์”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกอาจารย์” พิษณุบ่นไม่จริงจังนัก
“ก็มันติดปากไปแล้วนี่คะ” เธอหัวเราะกับท่าทางงอนๆ ของเขา
“พี่ไปส่งนะ” เขาพูดอย่างอบอุ่น
“วันนี้ไหมมีนัดกับพิมค่ะพี่ณุ”
พิษณุทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดึงดันอะไรกับเธอ การวางตัวของพิษณุทำให้วราลีสบายใจที่จะคบกับเขา เขายังคงเป็นสุภาพบุรุษเสมอต้นเสมอปลายกับเธอ มันคงจะดีกว่านี้หากเธอจะไม่ได้รู้สึกกับเขาแค่พี่ชาย เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างไรความรู้สึกของเธอที่มีให้เขาก็เป็นได้เพียงแค่นั้น
เย็นวันนั้นภีรดาขับรถมารับวราลีที่สำนักพิมพ์ที่วราลีทำงานอยู่
“ไปไหนน่ะพิม” วราลีถามเมื่อเห็นภีรดาขับรถอย่างรีบร้อน
“สนามบิน” ภีรดาตอบเรียบๆ
“ใครจะไปไหนเหรอจ๊ะ” วราลีถามอย่างสงสัย
“ไม่มีใครไปไหนหรอกจ้ะ แต่พิมกำลังจะพาไหมไปรับพี่เคน”
ชื่อนั้นทำให้หัวใจของวราลีเต้นแรงขึ้นมาทันที เขากำลังจะกลับมาอย่างนั้นเหรอ ถึงแม้ในส่วนลึกของหัวใจวราลีจะรู้สึกดีใจมากแค่ไหน แต่เธอกลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูกและไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภีรวัจน์ในเวลานี้
“ไหมไม่ไปนะพิม พิมจอดให้ไหมลงก่อน”
“ไม่ได้หรอกไหม นี่มันบนทางด่วนนะไหมจะลงได้ยังไง” ภีรดาปฏิเสธอย่างเดียวและเร่งความเร็วของรถขึ้นจนกระทั่งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
ภีรดาและวราลีไปถึงในช่วงที่เครื่องบินลงจอดพอดี ภีรดามองดูผู้โดยสารที่กำลังทยอยออกมาอย่างตื่นเต้น ในขณะที่วราลีกลับไม่อยากให้ถึงเวลานั้น
“พี่เคนทางนี้”
ภีรดาโบกมือให้พี่ชายขณะที่ภีรวัจน์กำลังเดินออกมา วราลีตัวแข็งไปชั่วคราวเมื่อสบตากับนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นอีกครั้งในรอบสามปี แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งภีรดาและวราลีตกตะลึงมากไปกว่าสิ่งไหนๆ นั่นคือ ภีรวัจน์ไม่ได้เดินออกมาคนเดียวแต่กลับมีสาวสวยคนหนึ่งเดินเกาะแขนเขาออกมาอย่างสนิทสนม
วราลีหมุนตัวกลับไปยังทางออกทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกของภีรดา เธอเดินแกมวิ่งและโบกรถแท็กซี่เพื่อให้พาเธอออกไปให้พ้นจากสนามบินนี้ทันที
ภีรดาหน้างอไปเช่นกัน ดูเอาเถอะเธออุตส่าห์วางแผนให้วราลีมารับพี่ชายของเธอ แต่พี่ชายตัวดีของเธอก็ทำเสียเรื่องจนได้
ภีรวัจน์รีบก้าวเข้ามาใกล้บริเวณที่ภีรดายืนอยู่ เขาไม่ได้ตาฝาดแน่ เมื่อสักครู่เขาเห็นวราลียืนอยู่กับภีรดาแน่นอน แค่เห็นเพียงแวบแรกเขาก็จำเธอได้ เพราะภาพของเธอยังติดตาเขาอยู่เสมอ
“พี่ว่า พี่เห็นเพื่อนเรา” ภีรวัจน์ถามในขณะนั่งรถกลับบ้าน
“ค่ะ” ภีรดาตอบสั้นๆและหน้างอใส่พี่ชายมาตลอดทาง
“เป็นอะไรเรา หน้าบึ้งมาตั้งแต่สนามบินจนจะถึงบ้านอยู่แล้ว”
“คุณเมธิน” เขาตอบเรียบๆ“แล้วยังไงคะ” เธอถามเขาต่อแต่ลำคอเริ่มตีบตัน“ถ้าคุณจะถอนหมั้นแล้วไปคบกับเขาผมก็ยินดีนะ” น้ำเสียงที่พูดราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายของเขาบาดลึกลงไปในหัวใจของภีรดาอย่างไม่เคยรู้สึกเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่เขาคิดจะผลักไสเธอให้คนอื่นมันเหมือนเธอไม่เคยมีความหมายอะไรต่อเขาเลย ทำให้ภีรดาต้องเมินหน้าหนีจากใบหน้าเข้มๆ ของเขาภวินท์มาจอดรถส่งเธอที่หน้าบ้านหลังจากที่ภีรดานั่งเงียบมาตลอดทาง“ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผม” เขาหันมาพูดก่อนที่ภีรดาจะเปิดประตูรถลงไป“พิมไม่เคยมีความหมายอะไรกับพี่เลยใช่ไหมคะ” เธอหันไปถามเขาอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงสั่นเครือ“พิม” เขาเรียกเธอย่างตกใจ“พี่ไก่มีหัวใจบ้างหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยอย่างตัดพ้อ น้ำตาที่สกัดกั้นไว้ตลอดทางเริ่มไหลออกมาเต็มสองแก้ม พร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ที่หันไปทุบที่หน้าอกเขาติดๆ กันเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมาตลอด เขารวบมือของเธอไว้“ปล่อยนะ” เธอหันไปแหวใส่เขาทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดร้องไห้“หยุดร้องไห้ก่อนแล้วพูดกันดีๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง“ไม่หยุด พิมเกลียดพี่ไก่ ใช่...พิมมันบ้า บ้าที่หลงรักพี่ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยเห็นพิมอ
“พิมเป็นเหน็บค่ะสงสัยจะนั่งนาน”เขาช้อนร่างบางของเธอไว้ในวงแขน ก่อนจะเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ๆ และวางลง ภวินท์นั่งลงข้างล่าง ถอดรองเท้าเธอออก แล้วนวดให้อย่างเบามือ ทำให้ภีรดานึกไปถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่เธอเคยแกล้งเขาและเขาต้องนวดให้เธอแบบนี้ หญิงสาวเริ่มหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนที่เขาจูบเธอเป็นครั้งแรกหลังจากนั้น“ดีขึ้นหรือยัง”“ก็เอ่อค่ะ” ในยามนี้ภีรดาเหมือนนางอายทำอะไรก็ดูขัดเขินไปหมด เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับเธอได้ขนาดนี้ภวินท์จึงหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคู่หมั้นสาว“พิมครับเป็นอะไรไปครับ” คำพูดของเขายิ่งทำเอาเธออ่อนยวบจนแทบละลาย คนอย่างเขาพูดเพราะกับเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอ“พี่ไก่คะ”“ครับว่าไง”“ไม่ว่าอะไรพิมใช่ไหมคะที่พิมจะเรียกว่าพี่ไก่”“ไม่ว่าครับเพียงแต่มันไม่ชิน”“แล้วถ้าถอนหมั้นกันแล้ว พิมยังจะเรียกเหมือนเดิมได้หรือเปลา” ภีรดาถามต่อแต่คำถามของเธอทำให้เขาหน้าตึงขึ้นมาทันที“ตามใจสิ” เขาตอบห้วนๆ และทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ภีรดาลุกขึ้นและดึงแขนเข้าไว้“เดี๋ยวก่อนค่ะ โกรธพิมเหรอคะ” เธอพูดอย่างงอนง้อ“ไม่ได้โกรธ”“แล้วทำไมต้องเดินหนีพิมล่ะคะ”“ก็แค่คู่หมั้นกำมะลอจะใส่ใจอะไรกั
“ไม่นะคะพี่เคน” เธอปฏิเสธทันที“พี่คงไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านแล้วผ่านเลยไปอย่างแน่นอน พิมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่ทำแค่ที่พี่ทำแน่”คำพูดที่เด็ดขาดของภีรวัจน์ทำให้เธอรู้ว่าเธอหมดทางปฏิเสธ แล้วภวินท์ล่ะจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหนที่ต้องหมั้นกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้รักภีรดาถูกภีรวัจน์สั่งให้ย้ายแผนกมาฝึกงานกับฝ่ายบัญชีหลังจากนั้น หากเป็นแต่ก่อนเธอคงไม่ยอมพี่ชายง่ายๆ แบบนี้แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการดีสำหรับเธอ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภวินท์ในตอนนี้วราลีทราบข่าวเรื่องนี้จากปากของภีรดา ทำให้เธอตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้เพื่อนรักมาเป็นพี่สะใภ้ในที่สุด เธอรู้ว่าภีรดาแอบชอบภวินท์มาหลายปีแล้ว แต่พี่ชายของเธอก็เอาแต่เมินเฉยและเย็นชาใส่ภีรดามาตั้งแต่แรกเช่นกัน เธอรู้สึกดีใจแทนภีรดาอย่างมากแต่ก็รู้สึกไม่ชอบใจนักที่รู้ว่าภีรวัจน์เป็นผู้บังคับให้ภวินท์หมั้นกับภีรดา คนร้ายกาจนั่นชอบวางอำนาจและชอบสั่งให้คนนั้นคนนี้ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาสักนิดความห่างเหินระหว่างภวินท์กับภีรดาเริ่มมากขึ้นเ
ภวินท์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งบริษัท เพราะนอกจากเขาจะหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เขายังวางตัวได้ดีและทำงานเก่งจนมีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงานมากกว่าคนหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวกัน ภีรดาเองก็เคยเห็นผู้หญิงมองตามเขาหลายครั้งหญิงสาวลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเขาที่โต๊ะ เธอยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะและไม่ยอมขยับไปไหน ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานตรงหน้าต่อ“งานของคุณเสร็จแล้วเหรอ” ภีรดารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่เขาพูดกับเธอแต่ไม่ยอมมองหน้าสักนิด“ยัง”“อ้อลืมไปว่าคุณเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ส่วนผมมันแค่ลูกจ้างต้องทำงานให้คุ้มเงินเดือน” ภีรดาหน้าชาเพราะเหมือนเขากำลังย้อนสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้เพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น“ก็บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ” ภีรดาพูดอย่างงอนง้อ“ขอโทษเรื่องอะไร”“ก็ที่ฉันพูดไม่ดีกับนายวันก่อน”“คุณก็พูดถูกนี่” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของเธอสักนิด“เมื่อไหร่นายจะหายโกรธฉันซักที”“ผมคงไม่บังอาจไปโกรธลูกสาวนายจ้างอย่างคุณหรอกครับ” น้ำเสียงเขาราบเรียบและห่างเหินจนภีรดาเริ่มจะหมดความอดทน“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากสั่งอะไรนายก็ได้ใช่ไหม” เธอพู
“อย่าทำอะไรบ้าๆ อีกนะ” วราลีหันกลับมาค้อนขวับพร้อมทั้งพูดกับเขาเสียงดุๆ“ไหมก็รู้ว่าห้ามผมไม่ได้”“ถ้าคิดจะล่วงเกินไหมอีก ไหมจะ..” เธอหยุดพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าคนอย่างเธอจะสามารถทำอะไรเขาได้“จะ..อะไรครับยาหยี”“ถอยไปนะ ไหมจะไปอาบน้ำ” เธอพูดจะสะบัดตัวออกแต่ครั้งนี้กลับเป็นอิสระอย่างง่ายดาย เพราะเขายอมปล่อยเธอแต่โดยดีวราลีรีบเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำอย่างไม่ยอมเสียเวลาเพราะกลัวคนบ้านั่นจะทำอะไรบ้าๆ กับเธออีก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมอย่างมิดชิดและดวงตากลมโตของเธอหันมามองเขาที่ยังคงนอนสบายใจอยู่บนที่นอนเช่นเดิม สายตาของเขามองเธอทุกอิริยาบถจนเธอแทบจะเดินขาขวิดภีรวัจน์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะลุกจากเตียงแล้วแกล้งเดินเฉียดเธอไปเข้าอาบน้ำบ้างวราลีแต่งตัวเสร็จและนั่งรอเขาอยู่ที่เตียง เธอหันหลังให้เขาตั้งแต่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ คนบ้านั่นหน้าไม่อายสักนิดกับการที่ต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าเธอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะมองภาพนั้นได้ภีรวัจน์เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวหลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จ เขามานั่งซ้อนข้างหลังและสอดมือเข้ามาที่เอวคอดของเธอ“พี่เคน”เขาไม่ตอบแต่ฝังจมูกลงบนซอกคอข
เขาผละลุกขึ้นจากร่างเปลือยเปล่าของเธออย่างรวดเร็วก่อนจะตรงเข้าไปยังห้องน้ำ และเปิดฝักบัวเพื่อให้สายน้ำเย็นๆ ดับความร้อนระอุและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายเขาจนรวดร้าวในตอนนี้ภาพการตอบสนองที่ร้อนแรงอย่างไม่รู้ตัวของวราลียังตามหลอกหลอนเขาทำเอาเขาแทบคลั่งและต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่เปิดประตูห้องน้ำกลับออกไปหาเธออีกครั้งวราลีควานหาเสื้อนอนมาใส่อย่างอับอาย ร่างกายเธอยังสั่นเทาจากพิษของแรงปรารถนาที่เพิ่งดับมอดลง เธอไม่รู้จะสู้หน้าเขาอย่างไรทั้งๆ ที่ปากตะโกนบอกว่าเกลียดเขา แต่ร่างกายเธอกลับตอบสนองเขาอย่างร้อนแรงราวกับสาวร้อนรักไม่มีผิดภีรวัจน์กลับออกมาอีกครั้ง หลังจากที่สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุของเขาลงไปได้จนเกือบเป็นปกติวราลีนั่งอยู่ที่เตียงโดยใช้ผ้าห่มพันร่างของตัวเองเอาไว้อย่างหนาแน่น ตาสองคู่ประสานกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันวาบหวามไปหญิงสาวหน้าแดงและเสหลบตาเขาอย่างอับอายเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาอันน่าอับอายของตัวเองเขาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเธอ ก่อนจะเดินลงมานั่งที่เตียงข้างๆ เธอ วราลีสะดุ้งและตะครุบชายผ้าห่มเอาไว้แน่น“ตลกน่าไหม นึกว่าผ้าห่มแค่นี้จะช่







