LOGINวราลีเล่าเรื่อยๆ แต่ภีรดากลับไม่สบายใจอย่างประหลาดจากที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้พิษณุดูท่าทางสนใจวราลีไม่น้อย อีกทั้งคุณสมบัติที่เพียบพร้อมของเขาคงยากที่จะมีผู้หญิงคนไหนจะปฏิเสธ เธอนึกเป็นห่วงพี่ชายของเธอขึ้นมาทันที ถ้าภีรวัจน์รู้เข้าจะทำอย่างไร
ถึงแม้ภีรวัจน์จะไม่เคยพูดว่ารู้สึกอย่างไรกับวราลี แต่เธอก็ดูออกว่าภีรวัจน์หลงรักวราลี โดยที่ทั้งเขาและวราลีต่างก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เพราะวราลีเพื่อนของเธอเอาแต่ตั้งป้อมเกลียดภีรวัจน์จนเขาเข้าใกล้ไม่ได้ ส่วนพี่ชายของเธอก็ขยันหาสาวๆ มาควงให้วราลีเห็น คงจะหวังให้วราลีหึงหวงบ้าง แต่บ่อยครั้งที่เขาเองนั่นแหละเป็นฝ่ายลืมตัวและแสดงความหึงวราลีออกมาจนเธอจับพิรุธได้
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพิษณุก็เข้ามาทำความสนิทสนมกับวราลีมากขึ้น ท่าทีที่เขาแสดงออกเป็นไปอย่างสุภาพและเป็นผู้ใหญ่จนวราลีไว้วางใจเขา โดยพิษณุเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เขาเปิดโอกาสให้วราลีส่งงานเขียนของเธอไปที่สำนักพิมพ์ของเขาทำให้วราลีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
วันนี้พิษณุจอดรถอยู่ริมถนนในขณะที่วราลีกำลังเดินกลับบ้านในช่วงเย็นหลังจากเลิกเรียนเสร็จ เขาตั้งใจมารอเธอที่นี่
“ไหมครับ” พิษณุเรียกทันทีเมื่อเห็นเธอ
“อาจารย์กำลังจะไปไหนคะ” วราลีขานรับก่อนจะเดินแวะไปตรงที่เขาจอดรถอยู่
“ไปธุระน่ะครับ แต่ต้องการให้ไหมช่วยหน่อย” เขาพูดอย่างขอร้อง
“ไหมนี่นะคะจะช่วยอาจารย์ได้”
“ครับ ขึ้นรถเถอะครับรับรองไหมช่วยได้แน่ๆ” วราลีมองเขาอย่างไม่แน่ใจ เขาเปิดประตูรถให้ก่อนจะพูดว่า
“ขึ้นรถเถอะครับผมรับรองว่าไม่มีอันตรายใดๆ ครับ” เขารับปากพร้อมกับยิ้มให้อย่างอบอุ่น ทำให้วราลียอมก้าวขึ้นรถเขาไป
พิษณุขับรถมาจอดที่ห้างหรูแห่งหนึ่ง ก่อนจะลงจากรถและเดินไปเปิดประตูรถให้วราลีลงมา เขาเดินเข้าไปที่ร้านนาฬิกาแห่งหนึ่งโดยมีวราลีเดินตามไปอย่างงงๆ
“วันเกิดแม่ผมครับ ไหมช่วยเลือกแบบหน่อยผมจะซื้อเป็นของขวัญให้ท่าน” พิษณุอธิบาย วราลีจึงยิ้มออกมาเมื่อรู้ถึงวัตถุประสงค์ของเขา
หญิงสาวช่วยเขาเลือกแบบที่คิดว่าเหมาะกับสตรีสูงศักดิ์เช่นแม่ของพิษณุมากที่สุด พิษณุยิ้มอย่างพอใจเพราะแบบที่วราลีเลือกให้ถูกใจเขามากเช่นกัน
จากนั้นเขาก็พาเธอเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านแว่น
“อะไรกันคะอาจารย์” วราลีถามอย่างเกรงใจ
“เอาแว่นมาครับไหม” เขาพูดเหมือนออกคำสั่งกับเธอกลายๆ วราลียอมถอดแว่นส่งให้เขา พิษณุสั่งให้พนักงานทำการซ่อมแว่นให้กับเธอทันที
“ไหมขอจ่ายเองนะคะ”
“ไม่ได้ครับ ผมเป็นคนทำแตกผมก็ต้องรับผิดชอบ”
“แต่อาจารย์คะ”
“ถ้ายังคิดว่าผมเป็นอาจารย์ก็ห้ามปฏิเสธ” พิษณุยื่นคำขาดกับเธอ ทำให้วราลีต้องจำใจรับความปรารถนาดีของเขา
ค่ำนั้นพิษณุเลี้ยงข้าวเย็นวราลีก่อนที่จะพาเธอกลับไปส่งที่บ้าน
“ขอบคุณค่ะอาจารย์” วราลียกมือไหว้เขาอย่างเช่นทุกครั้ง
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณไหม”
“ไหมยินดีค่ะ”
“คืนนี้ฝันดีนะครับ” เขาบอกอย่างอบอุ่นและจริงจัง
“อาจารย์ก็เช่นกันนะคะ”
เขามองตามเธอหลังจากที่เธอลงรถไปแล้ว ยิ่งนับวันความน่ารักสดใสของวราลีก็ยิ่งเข้ามามีอิทธิพลกับเขามากขึ้น พิษณุบอกกับตัวเองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะออกรถไป
ภีรวัจน์วางสายจากภีรดาอย่างหงุดหงิดอีกครั้งในรอบหลายๆ เดือนที่เขามาอยู่ที่นี่ ข่าวคราวที่ได้รับจากภีรดาเรื่องยัยเชยทำให้เขาแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร
ตั้งแต่วราลีเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็มีหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจีบมิได้ขาด แต่คนสุดท้ายที่ภีรดาพูดถึงทำเอาเขาแทบคลั่งเพราะความหึงหวงที่มันกำลังกัดกร่อนหัวใจของเขาในตอนนี้ แค่เขาจากมาไม่ทันไรก็คิดจะมีคนอื่นแล้วอย่างนั้นเหรอ เธอคงอยากลองดีกับเขาสินะวราลี เขาคิดพร้อมกับขบกรามแน่นเพื่อระงับความโกรธ
ในขณะที่ภีรดาก็เฝ้ามองความสัมพันธ์ระหว่างวราลีและพิษณุอย่างหนักใจแทนพี่ชายของเธอ ภีรดาไม่เคยเห็นวราลีให้ความสนิทสนมกับผู้ชายคนไหนขนาดนี้ยกเว้นภวินท์ซึ่งเธอสนิทสนมด้วยมาตั้งแต่เด็ก แต่จะว่าไปเธอก็ตำหนิอะไรวราลีไม่ได้ ในเมื่อพิษณุไม่มีข้อเสียอะไรให้ตำหนิได้สักนิดตรงกันข้ามเขากลับเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมจนไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะมองข้ามเขาไปได้ง่ายๆ
วราลีนึกแปลกใจที่วันนี้ภีรดาเอาแต่นั่งจ้องเธอแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอใช้มือโบกไปมาตรงหน้าของภีรดาเพื่อเรียกสติของเพื่อนรักให้กลับมา เมื่อเห็นว่าภีรดาเริ่มจะเหม่อลอยมากขึ้นเรื่อยๆ
“พิม” เสียงของวราลีทำให้ภีรดาตื่นจากภวังค์
“อะไรนะไหม” ภีรดาถามซ้ำ
“พิมเป็นอะไรหรือเปล่า ไหมเห็นนั่งเหม่อมาตั้งนานแล้ว”
“เปล่า...แค่คิดอะไรเพลินๆ” ภีรดาบอกปัด เธอจะกล้าบอกวราลีได้อย่างไรว่ากำลังนั่งคิดถึงเรื่องของวราลีอยู่
ในขณะนั้นเองพิษณุก็เดินตรงมาบริเวณที่วราลีและภีรดากำลังนั่งอยู่
“สวัสดีค่ะอาจารย์” วราลียกมือไหว้ทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ไหมครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยครับ” พิษณุบอกก่อนจะหันมาทางภีรดาเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนที่วราลีจะเดินตามเขาไปอีกมุมหนึ่ง ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง วราลีจึงค่อยเดินกลับมาหาภีรดาซึ่งกำลังนั่งสังเกตอยู่เงียบๆ
“คุณเมธิน” เขาตอบเรียบๆ“แล้วยังไงคะ” เธอถามเขาต่อแต่ลำคอเริ่มตีบตัน“ถ้าคุณจะถอนหมั้นแล้วไปคบกับเขาผมก็ยินดีนะ” น้ำเสียงที่พูดราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายของเขาบาดลึกลงไปในหัวใจของภีรดาอย่างไม่เคยรู้สึกเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่เขาคิดจะผลักไสเธอให้คนอื่นมันเหมือนเธอไม่เคยมีความหมายอะไรต่อเขาเลย ทำให้ภีรดาต้องเมินหน้าหนีจากใบหน้าเข้มๆ ของเขาภวินท์มาจอดรถส่งเธอที่หน้าบ้านหลังจากที่ภีรดานั่งเงียบมาตลอดทาง“ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผม” เขาหันมาพูดก่อนที่ภีรดาจะเปิดประตูรถลงไป“พิมไม่เคยมีความหมายอะไรกับพี่เลยใช่ไหมคะ” เธอหันไปถามเขาอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงสั่นเครือ“พิม” เขาเรียกเธอย่างตกใจ“พี่ไก่มีหัวใจบ้างหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยอย่างตัดพ้อ น้ำตาที่สกัดกั้นไว้ตลอดทางเริ่มไหลออกมาเต็มสองแก้ม พร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ที่หันไปทุบที่หน้าอกเขาติดๆ กันเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจมาตลอด เขารวบมือของเธอไว้“ปล่อยนะ” เธอหันไปแหวใส่เขาทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดร้องไห้“หยุดร้องไห้ก่อนแล้วพูดกันดีๆ” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนลง“ไม่หยุด พิมเกลียดพี่ไก่ ใช่...พิมมันบ้า บ้าที่หลงรักพี่ ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยเห็นพิมอ
“พิมเป็นเหน็บค่ะสงสัยจะนั่งนาน”เขาช้อนร่างบางของเธอไว้ในวงแขน ก่อนจะเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ๆ และวางลง ภวินท์นั่งลงข้างล่าง ถอดรองเท้าเธอออก แล้วนวดให้อย่างเบามือ ทำให้ภีรดานึกไปถึงเมื่อสี่ปีก่อนที่เธอเคยแกล้งเขาและเขาต้องนวดให้เธอแบบนี้ หญิงสาวเริ่มหน้าแดงเมื่อนึกถึงตอนที่เขาจูบเธอเป็นครั้งแรกหลังจากนั้น“ดีขึ้นหรือยัง”“ก็เอ่อค่ะ” ในยามนี้ภีรดาเหมือนนางอายทำอะไรก็ดูขัดเขินไปหมด เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับเธอได้ขนาดนี้ภวินท์จึงหัวเราะกับท่าทางเงอะงะของคู่หมั้นสาว“พิมครับเป็นอะไรไปครับ” คำพูดของเขายิ่งทำเอาเธออ่อนยวบจนแทบละลาย คนอย่างเขาพูดเพราะกับเธอได้ขนาดนี้เลยเหรอ“พี่ไก่คะ”“ครับว่าไง”“ไม่ว่าอะไรพิมใช่ไหมคะที่พิมจะเรียกว่าพี่ไก่”“ไม่ว่าครับเพียงแต่มันไม่ชิน”“แล้วถ้าถอนหมั้นกันแล้ว พิมยังจะเรียกเหมือนเดิมได้หรือเปลา” ภีรดาถามต่อแต่คำถามของเธอทำให้เขาหน้าตึงขึ้นมาทันที“ตามใจสิ” เขาตอบห้วนๆ และทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น ภีรดาลุกขึ้นและดึงแขนเข้าไว้“เดี๋ยวก่อนค่ะ โกรธพิมเหรอคะ” เธอพูดอย่างงอนง้อ“ไม่ได้โกรธ”“แล้วทำไมต้องเดินหนีพิมล่ะคะ”“ก็แค่คู่หมั้นกำมะลอจะใส่ใจอะไรกั
“ไม่นะคะพี่เคน” เธอปฏิเสธทันที“พี่คงไม่ยอมให้เรื่องมันผ่านแล้วผ่านเลยไปอย่างแน่นอน พิมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่ทำแค่ที่พี่ทำแน่”คำพูดที่เด็ดขาดของภีรวัจน์ทำให้เธอรู้ว่าเธอหมดทางปฏิเสธ แล้วภวินท์ล่ะจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหนที่ต้องหมั้นกับเธอทั้งๆ ที่ไม่ได้รักภีรดาถูกภีรวัจน์สั่งให้ย้ายแผนกมาฝึกงานกับฝ่ายบัญชีหลังจากนั้น หากเป็นแต่ก่อนเธอคงไม่ยอมพี่ชายง่ายๆ แบบนี้แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่านั่นเป็นการดีสำหรับเธอ เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภวินท์ในตอนนี้วราลีทราบข่าวเรื่องนี้จากปากของภีรดา ทำให้เธอตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้เพื่อนรักมาเป็นพี่สะใภ้ในที่สุด เธอรู้ว่าภีรดาแอบชอบภวินท์มาหลายปีแล้ว แต่พี่ชายของเธอก็เอาแต่เมินเฉยและเย็นชาใส่ภีรดามาตั้งแต่แรกเช่นกัน เธอรู้สึกดีใจแทนภีรดาอย่างมากแต่ก็รู้สึกไม่ชอบใจนักที่รู้ว่าภีรวัจน์เป็นผู้บังคับให้ภวินท์หมั้นกับภีรดา คนร้ายกาจนั่นชอบวางอำนาจและชอบสั่งให้คนนั้นคนนี้ทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาสักนิดความห่างเหินระหว่างภวินท์กับภีรดาเริ่มมากขึ้นเ
ภวินท์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งบริษัท เพราะนอกจากเขาจะหน้าตาหล่อเหลาแล้ว เขายังวางตัวได้ดีและทำงานเก่งจนมีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงานมากกว่าคนหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวกัน ภีรดาเองก็เคยเห็นผู้หญิงมองตามเขาหลายครั้งหญิงสาวลุกขึ้นและเดินตรงมาหาเขาที่โต๊ะ เธอยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะและไม่ยอมขยับไปไหน ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานตรงหน้าต่อ“งานของคุณเสร็จแล้วเหรอ” ภีรดารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่เขาพูดกับเธอแต่ไม่ยอมมองหน้าสักนิด“ยัง”“อ้อลืมไปว่าคุณเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ส่วนผมมันแค่ลูกจ้างต้องทำงานให้คุ้มเงินเดือน” ภีรดาหน้าชาเพราะเหมือนเขากำลังย้อนสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้เพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น“ก็บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ” ภีรดาพูดอย่างงอนง้อ“ขอโทษเรื่องอะไร”“ก็ที่ฉันพูดไม่ดีกับนายวันก่อน”“คุณก็พูดถูกนี่” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของเธอสักนิด“เมื่อไหร่นายจะหายโกรธฉันซักที”“ผมคงไม่บังอาจไปโกรธลูกสาวนายจ้างอย่างคุณหรอกครับ” น้ำเสียงเขาราบเรียบและห่างเหินจนภีรดาเริ่มจะหมดความอดทน“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากสั่งอะไรนายก็ได้ใช่ไหม” เธอพู
“อย่าทำอะไรบ้าๆ อีกนะ” วราลีหันกลับมาค้อนขวับพร้อมทั้งพูดกับเขาเสียงดุๆ“ไหมก็รู้ว่าห้ามผมไม่ได้”“ถ้าคิดจะล่วงเกินไหมอีก ไหมจะ..” เธอหยุดพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าคนอย่างเธอจะสามารถทำอะไรเขาได้“จะ..อะไรครับยาหยี”“ถอยไปนะ ไหมจะไปอาบน้ำ” เธอพูดจะสะบัดตัวออกแต่ครั้งนี้กลับเป็นอิสระอย่างง่ายดาย เพราะเขายอมปล่อยเธอแต่โดยดีวราลีรีบเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำอย่างไม่ยอมเสียเวลาเพราะกลัวคนบ้านั่นจะทำอะไรบ้าๆ กับเธออีก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อคลุมอย่างมิดชิดและดวงตากลมโตของเธอหันมามองเขาที่ยังคงนอนสบายใจอยู่บนที่นอนเช่นเดิม สายตาของเขามองเธอทุกอิริยาบถจนเธอแทบจะเดินขาขวิดภีรวัจน์หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะลุกจากเตียงแล้วแกล้งเดินเฉียดเธอไปเข้าอาบน้ำบ้างวราลีแต่งตัวเสร็จและนั่งรอเขาอยู่ที่เตียง เธอหันหลังให้เขาตั้งแต่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ คนบ้านั่นหน้าไม่อายสักนิดกับการที่ต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าเธอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะมองภาพนั้นได้ภีรวัจน์เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวหลังจากที่เขาแต่งตัวเสร็จ เขามานั่งซ้อนข้างหลังและสอดมือเข้ามาที่เอวคอดของเธอ“พี่เคน”เขาไม่ตอบแต่ฝังจมูกลงบนซอกคอข
เขาผละลุกขึ้นจากร่างเปลือยเปล่าของเธออย่างรวดเร็วก่อนจะตรงเข้าไปยังห้องน้ำ และเปิดฝักบัวเพื่อให้สายน้ำเย็นๆ ดับความร้อนระอุและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายเขาจนรวดร้าวในตอนนี้ภาพการตอบสนองที่ร้อนแรงอย่างไม่รู้ตัวของวราลียังตามหลอกหลอนเขาทำเอาเขาแทบคลั่งและต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่เปิดประตูห้องน้ำกลับออกไปหาเธออีกครั้งวราลีควานหาเสื้อนอนมาใส่อย่างอับอาย ร่างกายเธอยังสั่นเทาจากพิษของแรงปรารถนาที่เพิ่งดับมอดลง เธอไม่รู้จะสู้หน้าเขาอย่างไรทั้งๆ ที่ปากตะโกนบอกว่าเกลียดเขา แต่ร่างกายเธอกลับตอบสนองเขาอย่างร้อนแรงราวกับสาวร้อนรักไม่มีผิดภีรวัจน์กลับออกมาอีกครั้ง หลังจากที่สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุของเขาลงไปได้จนเกือบเป็นปกติวราลีนั่งอยู่ที่เตียงโดยใช้ผ้าห่มพันร่างของตัวเองเอาไว้อย่างหนาแน่น ตาสองคู่ประสานกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันวาบหวามไปหญิงสาวหน้าแดงและเสหลบตาเขาอย่างอับอายเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาอันน่าอับอายของตัวเองเขาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเธอ ก่อนจะเดินลงมานั่งที่เตียงข้างๆ เธอ วราลีสะดุ้งและตะครุบชายผ้าห่มเอาไว้แน่น“ตลกน่าไหม นึกว่าผ้าห่มแค่นี้จะช่







