LOGINนางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหล
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง
“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”
ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”
“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”
จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”
ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”
“ช้าก่อน”
เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้ว
ทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน
“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”
“...!?”
“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”
“เอ่อ...ท่ะ”
ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันที
ประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไป
ผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น เขานั่งอยู่ในถังไม้ที่มีน้ำเย็นเยียบ สองคิ้วขมวดแน่น สองตาเคร่งเครียด
การสลายฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดมิใช่สิ่งที่สองมือจะทำได้
ชั่วขณะนั้น ภาพหนึ่งพลันปรากฏให้ห้วงภวังค์ เป็นภาพฝันเมื่อคืนก่อน
เขามองเห็นสตรีชุดแดงยืนขนาบข้าง นางผู้งดงามย่อมเป็นเจ้าสาวของเขาจึงใส่ชุดสีแดงเช่นเดียวกับเขา ยืนคู่กับเขาท่ามกลางบรรยากาศมงคลรอบกาย
ในตอนนั้นเบื้องหน้าของเขาคือสตรีอีกคน
นางสวมชุดสีฟ้าเรียบๆ ยืนมองเขาเงียบๆ ใบหน้าเย่อหยิ่งสงบนิ่งสุดหยั่ง พูดเสียงเนิบนาบว่า ‘ยินดีด้วย’
เขาสะบัดแขนจากเจ้าสาวข้างกาย ก้าวเท้ารุดขึ้นหน้า จับตัวนางกระชากเข้าหา คำรามเสียงลอดไรฟันว่า ‘ยินดีหรือ? เรื่องของเราคงเป็นข้าที่ปรนเปรอให้เจ้ากระมัง’
นางเงยหน้า ทุกคำล้วนเฉือนใจ ‘ในเมื่อท่านแต่งงานแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าต้องอยู่ข้างกายท่านอีก ข้าแค่หวังว่าท่านจะอยู่ดีมีความสุขกับสตรีที่มีท่านในใจเท่านั้น ในใจข้าไม่ได้มีท่าน’
พูดจบก็สะบัดแขนเดินจากไปอย่างไม่ใยดี นางทิ้งตัวเขาไว้เพียงเบื้องหลังให้มองตามอย่างสิ้นหวัง
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะความเป็นจริง นางยังคงอยู่ในห้องหนังสือ และตัวเขาก็ไม่ได้แต่งงานกับใคร
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่มีสิทธิ์หันหลังให้เขา...
ห้องส่วนตัวของเฉิงอ๋องอยู่ติดกับห้องหนังสือกว้างใหญ่ ด้านนอกมีชั้นหนังสือวางตั้งเรียงราย มีโต๊ะทำงานที่สลักลวดลายน่าเกรงขาม
ระหว่างพื้นที่กว้างใหญ่นั้นด้านในคือห้องอาบน้ำที่มีฉากกั้น หากขยับฉากกั้นออกเล็กน้อยจะมีกลไกซ่อนอยู่
กำแพงที่เชื่อมกับห้องอาบน้ำและห้องหนังสือนี้ถูกจัดให้เป็นห้องพักห้องหนึ่ง ด้านในหรูหรามีระเบียบและเร้นสายตา
ห้องลับของห้องหนังสือแห่งนี้ นับเป็นอาณาเขตหวงห้าม ยากค้นหา มิให้ผู้ใดเข้ามา
ในห้องลับ เพ่ยหนิงกำลังยืนหันหลังพิงผนังห้องเงียบๆ ฟังความเคลื่อนไหวจากห้องอีกฝั่งนิ่งๆ
ยิ่งดึกยิ่งหนาว แสงดาวพราวเต็มฟ้า ส่องแสงลอดช่องเล็กๆ ของหน้าต่างเข้ามา หญิงสาวกลับมานั่งตรงโต๊ะตัวเดิมที่มีอาหารหลากสีสันวางอยู่ละลานตา แต่ละอย่างหายากเลื่องชื่อและน่ากิน รสชาติดียิ่งกว่าเหลาอาหารที่นางเคยกินมาตลอดชีวิตสิบหกปี
นอกจากอาหารจะชั้นเลิศ แต่ละมื้อยังอิ่มหนำสำราญ กินเสร็จยังได้นอนหลับกลางวัน ไม่ต้องตรากตรำทำงานอันใด
ทว่าแม้นางจะชอบกินและอาหารหน้าตาชวนลิ้มลอง หากแต่ดวงตากลมโตดุจกวางน้อยกลับละจากอาหารอย่างไม่ใส่ใจ
นางเท้าคางมองแสงเทียนที่ส่องสว่างกลางห้อง
หน้าต่างที่ไม่ถูกอนุญาตให้เปิดออกทำให้นางต้องนั่งมองแสงจากเทียนแทนแสงจากดวงดาว
ช่างน่าอนาถใจ...
เพ่ยหนิงกำลังนึกถึงคืนแรกที่ทำให้ตัวเองต้องเข้ามาอยู่ในนี้
คืนนั้น นางเข้ามาต่อรองไมตรีกับเฉิงอ๋อง ในใจคิดว่าวันนี้ฆ่ารัชทายาทไม่ได้ วันหน้าย่อมมีโอกาส
นางจึงทวงบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเขา ให้เขาปล่อยนางไป แล้วนางจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
ใครจะคาด หลังจากเอ่ยปากไม่เป็นผล นางที่โวยวายจนลำคอแหบแห้งก็ยกน้ำชาที่ไร้การแตะต้องบนโต๊ะของเขาขึ้นดื่มอย่างถือวิสาสะด้วยท่าทางโอหัง
ติงอี้เทากล่าวเสียงเนิบช้า ทว่าฟังดูทุ้มต่ำทรงพลังดุดัน “ข้าไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดหนิงเอ๋อร์จึงปักใจรักเพียงเจ้า”ชายชราถอนหายใจ แววตาดุดันแฝงแววจนใจ“น่าเสียดายที่ความรักมักทำให้คนขาดสติด้อยปัญญา แต่เอาเถิด เรื่องที่จวนอ๋องของเจ้า ข้าจะไม่รื้อฟื้นหรือกล่าวโทษใด ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องที่ข้าติงอี้เทาเข้าใจได้ แต่เจ้าลองมองดู”ติงอี้เทาเอ่ยขึ้นขณะหันหน้าออกไปที่บานหน้าต่างดังเดิม จ้าวเฟิ่งมองตาม เบื้องหน้าในระยะสายตาของทั้งสองคือเส้นทางทอดยาวอันไกลโพ้นมองไม่เห็นปลายอีกฝั่งมิอาจประเมินระยะทางได้แม่นยำ แต่กลับมองออกว่าเป็นทางกลับไปเมืองหลวงแคว้นจิน“ไกลมากใช่หรือไม่?” ติงอี้เทาเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเยือกเย็น “นอกจากไกลแล้วยังสูงส่งเกินเอื้อมอีกด้วย”เมื่อวาจายืดยาวเอ่ยถึงตรงนี้ จ้าวเฟิ่งที่ฟังอยู่ถึงกับชะงัก ติงอี้เทาค่อยๆ ผินใบหน้ากลับมามองอ๋องหนุ่ม สุ้มเสียงยังคงเนิบนาบเชื่องช้าไม่เร่งร้อน “หากเป็นชายหญิงทั่วไปเมื่อใจรักระยะทางใกล้ไกลย่อมไร้ปัญหา ฐานะที่แตกต่างล้วนนำพาซึ่งชื่อเสียงหน้าตา ส่งตัวตนขึ้นเหนือคนในวงสังคมอย่างไร้เงื่อนไข เพียงแต่ ตัวท่านที่เป็นถึงอ๋องย่อมไม่อาจทำตามแ
เขาเปิดประตูเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เชิญท่าน...ตามข้ามา” เขาปรายตามองจ้าวเฟิ่งปราดหนึ่ง “แค่ท่านคนเดียว ผู้อื่นไม่เกี่ยว”เหล่าองครักษ์ถึงขั้นกระชับดาบข้างเอว สายตามองข่มขวัญสื่อนัยวาจาว่า‘บังอาจ’ถ้วนหน้า พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทข้างกายและตายแทนได้ เคยห่างจากผู้เป็นนายเสียที่ใด หาไม่ หากเฉิงอ๋องตกอยู่ในอันตรายหรือเป็นอะไรไป พวกเขามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด แววตาคมกริบขององครักษ์กับแววตามืดดำของสมุนยวี้จู๋พลันเปล่งประกายพร้อมปะทะ บรรยากาศตึงเครียดยิ่งจ้าวเฟิ่งจึงยกมือปราม ทุกคนถึงได้สงบลงเมื่ออ๋องหนุ่มพ้นบานประตู บุรุษร่างใหญ่กำยำผู้หนึ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุม สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเข้ามายืนอยู่ตรงด้านหน้าของจ้าวเฟิ่งก็เพียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่เฉยชาว่า “เชิญทางนี้ ท่านประมุขกำลังรอท่านอยู่”จ้าวเฟิ่งตอบรับเสียงอืมในลำคอค่อยกล่าว “เชิญนำทาง”ชายหนุ่มเดินตามการเชื้อเชิญของบุรุษตัวโตด้วยท่าทีลุ่มลึก มิได้รู้สึกขัดเคืองหรือมีโทสะอันใดกับการปฏิบัติแบบไม่เกียรตินี้ เพราะเพียงคิดถึงการกระทำอันเอาแต่ใจของตนที่ผ่านมายามปฏิบัติต่อเพ่ยหนิงก็ตระหนักได้ว่าสมควร
ที่โต๊ะริมหน้าต่างอันเป็นที่ประจำของเพ่ยหนิง จ้าวเฟิ่งนั่งมองเตากำยานอย่างเหม่อลอย ครั้นได้สติก็เพียงหลับตา ยกนิ้วคลึงหว่างคิ้วช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด นึกปวดใจยิ่งจ้าวไท่หรงค่อยๆ เยื้องย่างเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ด้วยรู้ตัวดีว่าตนอาจเป็นต้นเหตุเภทภัยในรักของน้องชาย จึงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงรบกวนทว่าจ้าวเฟิ่งมีหรือจะไม่รู้ถึงการมาเยือน เขาค่อยๆ ลืมตา เอ่ยเสียงเนิบช้า“พี่ใหญ่สมควรตอบรับสมรสพระราชทานไปเสีย เลิกคิดเรื่องสตรีของข้า ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใด ท่านไม่ควรใส่ใจทั้งสิ้น”จ้าวไท่หรงยกมือขึ้นเบื้องหน้าอันหมายความว่าเขายอมแพ้ แต่ปากกลับบอก “แต่พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบลู่ซือฉี พี่ใหญ่ชอบเพ่ยหนิง”เมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายไม่เสื่อมคลายของคนเป็นพี่ชาย จ้าวเฟิ่งพลันหน้าบึ้งตึง เอ่ยเสียงเยียบเย็น ไม่ไว้หน้า“นางเป็นภรรยาของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าคิดหมายปอง”คราวนี้จ้าวไท่หรงไม่เพียงเบิกตาโพลง ยังเงียบกริบทันทีรัชทายาทหนุ่มนึกไม่ถึงว่าน้องชายผู้รักษาจารีตเคร่งครัด ไม่เคยปล่อยตัวไปกับอารมณ์กำหนัดจะรวบรัดคนเขาแล้วน้องสี่ เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก...นอกเขตเมืองหลวง จากภูชมมังกรมองเห็นทิ
ติงอี้เทาบันดาลโทสะกับโต๊ะไม้โบราณตัวโปรดเสร็จก็ลุกขึ้นอย่างโกรธา หนวดเคราสีขาวกระพือด้วยแรงอารมณ์ที่พ่นออกมาเป็นลมหายใจร้อนผ่าวราวเปลวเพลิงทางจมูกเขาผิดเองที่รักและตามใจหลานสาวคนเดียวผู้นี้มากเกินไป ดูแลฟูมฟักอย่างดีล้นเหลือจนแทบจะประคับประคองในอุ้งมือ กระทั่งอีกฝ่ายแข็งแรงเพียงภายนอกแต่กลับอ่อนต่อโลกไปทั้งจิตใจเช่นนี้เขายังจะเอาหน้าเหี่ยวๆ ไปพบเขยแซ่เพ่ยกับลูกสาวในปรโลกอย่างไรไหวติงอี้เทานึกโกรธตัวเองยิ่งนัก ทั้งยังโกรธจ้าวเฟิ่งจนแทบหลั่งน้ำตาเจ้าอ๋องน่าตาย...หานตงเห็นอาจารย์เคียดแค้นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยเสียงเข้มขรึม“ขออาจารย์โปรดอย่าเข้าใจในตัวเฉิงอ๋องในทางเลวร้าย ประเมินดูแล้วทุกฝ่ายล้วนเข้าใจผิดต่อกัน แต่ทั้งที่เข้าใจผิดปานนั้น หนิงเอ๋อร์อยู่ในฐานะนักโทษไม่ต่างจากเชลยด้วยซ้ำ คนจะให้ปรนเปรออย่างทรมานเช่นไรก็ย่อมได้ จะรังแกหรือเอาเปรียบก่อนฆ่าทิ้งก็ไม่นับว่าผิดแผก ทว่าเฉิงอ๋องกลับดูแลทะนุถนอมอย่างดี ลอบปกป้องนางจากพี่ชายเสเพลเต็มที่ มองแล้วพวกเขาก็เป็นเแค่คู่รักที่มีปัญหาไม่เข้าใจกันเท่านั้น ยามนี้ขอเพียงทั้งสองได้พบหน้าพูดคุย ทุกอย่างย่อมคลี่คลาย”แม้หานตงจะพูดจามีหลักการและเหต
ท่านหมอแย้มยิ้มบอกกล่าวข่าวดี กำชับอีกหลายประโยค “อายุครรภ์ยังน้อยนัก ระวังสุขภาพและเรื่องโลดโผนหน่อยจึงจะดี อย่าให้แม่นางวิตกกังวลหรือมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากอีกเลย”หานตงพยักหน้าเคร่งขรึม วางเงินอีกก้อนอย่างไม่ตระหนี่ท่านหมอมองเงินบนโต๊ะก็ให้รู้สึกสะท้อนใจ ไฉนคนที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งถึงมีเงินก้อนให้ใช้จ่ายมือเติบได้หนอ หานตงไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของท่านหมอชรา เพียงลุกขึ้นหันมาโอบอุ้มบุตรสาวบุญธรรมขึ้นแนบอกแล้วจากไปควรต้องทราบว่าหานตงแม้เบื้องหน้าปลูกผักขายไปวันๆ ทว่าเบื้องหลังนั้นยังมีร้านสมุนไพรเก่าแก่ที่สุดของยุทธภพซึ่งปลูกและตัดแต่งเพาะพันธุ์จนพืชกลายพันธุ์พัฒนาไปไกล เขามีฉายาโดยไม่เผยโฉมว่าเทพโอสถหมื่นพิษ คนมีเงินมั่งคั่งเท่านั้นถึงจะหาซื้อสินค้านี้ของเขาได้ อีกทั้งหานตงยังทำการค้าหลากหลาย สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้มากมาย ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดส่วนการปลูกผักนั้นแท้จริงเป็นเพียงความชอบส่วนตัวที่นิยมปรุงอาหารผสมพืชพันธุ์สมุนไพรบำรุงร่างกายให้อายุยืนนานเหมือนที่เพ่ยหนิงชื่นชอบการปลูกดอกไม้แล้วนำมาแปลงเป็นอาวุธร้ายนั่นแลหานตงอุ้มเพ่ยหนิงขึ้นรถม้า หวดแส้บ
หน้าประตูบานใหญ่จวนเฉิงอ๋องเพ่ยหนิงมองภาพทหารร่างใหญ่กำยำยื่นคมหอกขวางหน้า พวกเขาล้วนมีท่าทางถมึงทึงอย่างไม่ยอมอ่อนข้อหรือหลงกลเสน่ห์มารยาก็ให้นึกท้อใจ แม้นางจะเอ่ยปากว่าตัวเองเป็นคนของเฉิงอ๋องก็ยังไม่เป็นผล คนยังมองนางเหมือนมดปลวกตัวเล็กๆ ไร้ค่าให้ใส่ใจ“อย่าว่าแต่สตรีต่ำต้อยมีดีแค่สะสวยเช่นเจ้าเลย ต่อให้เป็นคุณหนูสูงส่งผู้งดงามก็ใช่ว่าจะเข้าหาท่านอ๋องของพวกเราได้ง่ายๆ ช่างฝันเฟื่องไม่เจียมตัวยิ่งนัก ไร้ยางอายมาก” ทหารคนหนึ่งพูดจบก็โบกมือไล่เพ่ยหนิงเหมือนไล่แมลงโสโครก“ไปๆ ออกไป อย่าได้พาตัวเองมาทำให้ท่านอ๋องของข้าต้องแปดเปื้อนมัวหมองเพราะสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้า”“...”เพ่ยหนิงเบิกโต อุทานในใจว่าโอโห ปากหรือนี่ ฉับพลันนั้นนางนึกอยากสั่งสอนทหารผู้นี้จับใจ ให้เขาลิ้มรสฝีมือนางจนลงไปนอนแดดิ้นสิ้นใจเสียตรงนี้ แต่นางไม่ไร้เหตุผลขนาดนั้น จึงเพียงแต่ชี้หน้าว่า “สามหาวนัก!”“บังอาจ! กล้าชี้หน้าคนของจวนอ๋องเชียวรึ?”“ทำไมจะไม่กล้า! ข้าจะตีปากของเจ้าด้วย”ทหารหรี่ตาตวาด “เจ้า!”เพ่ยหนิงเองก็โมโหไม่ยอมความ “ทำไม?”พวกเขาจึงเริ่มมีปากเสียงรุนแรง แน่นอนว่าหานตงไม่เสี่ยงกระโดดข้ามกำแพงเข้าไ


![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




