LOGINหญิงสาวรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย วิ่งไปดักหน้าเขา
“พี่เฟิ่ง ท่านรู้ดีว่าตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหญิงไม่ประสา ในใจข้าก็มีเพียงท่านแล้ว ทำไมเล่า ทำไมท่านไม่มองข้าบ้าง ไยต้องมองหาสตรีที่ไม่คู่ควรที่หายตัวไปทางใดก็ไม่รู้ผู้นั้นด้วย”
ฝีเท้าอันหนักอึ้งชะงักกึก หางตาจ้าวเฟิ่งกระตุกเบาๆ
หวังซูเหยาเห็นดังนั้นก็เริ่มลำพองใจ สองตาปริ่มน้ำแลดูงดงามหยาดเยิ้มจึงส่งให้ไม่มีลดละ จ้องมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาคมดำไร้ก้นบึ้งของเขาอย่างจงใจ
ด้วยสภาพของเขายามนี้หากถูกสตรียื้อเวลาให้ร่วมเสวนา เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องส่งแม่สื่อไปเจรจาหมั้นหมายตามแผนการ
หวังซูเหยาลอบแย้มยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนทางสำเร็จรำไร
ทว่าท้ายที่สุด จ้าวเฟิ่งกลับไม่ใส่ใจว่านางจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน แววตาของเขายังคงเฉยเมยคล้ายผลักไส น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบผิดกับอาการร้อนรุ่มในอก
“ไม่เกี่ยวว่าข้ามีใครเคียงหรือครองตัวสันโดษ เพราะสิ่งเดียวคือข้าไม่ต้องการเจ้า”
กล่าวจบเขาปรายตามองนางนิ่งๆ เดินจากไปอย่างเย็นชา
อีกคราที่หวังซูเหยาทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าจนลับตา รับรู้เพียงกลิ่นอายรังเกียจที่เขาทิ้งไว้ให้แผ่ซ่านรอบตัวนาง ตอกย้ำเด่นชัดถึงคำปฏิเสธอันเฉียบคมและเน้นว่าวันหน้าไม่มีโอกาสแล้ว...
เรือนเฉินเฟิงตั้งตระหง่านในจวนเฉิงอ๋อง
ขันทีเร่งรุดเข้าหาทันทีที่เห็นผู้เป็นนายกลับเข้าเรือนมา “ท่านอ๋อง”
จ้าวเฟิ่งเดินเข้าห้อง ไม่หันมอง “เตรียมน้ำให้เปิ่นหวาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อมกายรับคำ หันไปสั่งให้คนดำเนินการ
นางกำนัลผู้มีสายตามากประสบการณ์มองจ้าวเฟิ่งครู่หนึ่งจึงรับรู้ถึงความผิดปกติของผู้เป็นนาย นางเอ่ยอย่างรู้งานอย่างดี “ท่านอ๋อง บ่าวจะไปตระเตรียมสาวงามให้เดี๋ยวนี้”
จบคำก็ยอบกายแล้วจากไปจัดการทันที
น้ำในถังไม้ถูกเติมจนเต็ม ในจังหวะที่ขันทีนามหลี่อี้กำลังยกน้ำร้อนค่อยๆ เติมให้ เฉิงอ๋องยกมือห้ามไว้ “ไม่ต้อง”
จบคำก็ปลดผ้าออกจากร่างแล้วนั่งลงถังไม้ทั้งอย่างนั้น
หลี่อี้นิ่วหน้า “ท่านอ๋อง น้ำเย็นเกินไป ขอท่านอ๋องโปรดถนอมพระวรกายด้วย” ยังพูดไม่จบ เสียงแหบพร่าก็ตัดบท
“แต่เปิ่นหวางกำลังจะตายหากไม่ได้น้ำเย็น เจ้ารู้หรือไม่?”
รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ในเมื่อเขาเห็นชัดเจนว่าผู้เป็นนายเหนือหัวถูกวางยาอันใดมา หลี่อี้ยืดคอยาว มองประตูครั้งแล้วครั้งเล่า หวังให้นางกำนัลพาตัวสาวงามมาโดยไว
ในถังไม้ จ้าวเฟิ่งลำตัวสั่นเทา ฝ่ามือที่จับขอบถังเกร็งแน่น หลังมือตลอดจนท่อนแขนเข็งแกร่งมีเส้นเลือดปูดนูนเด่น แลดูมีเสน่ห์ร้อนแรงแฝงความเย้ายวนดึงดูดใจคนเป็นพิเศษ ยังมีสันกรามที่ขบกัน จมูกโด่งสันขึ้นสีแดงเรื่อ ริมฝีปากบางเม้มแน่น องคาพยพบนใบหน้ายามนี้คำว่าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ยังน้อยเกินไป
ขณะเหม่อมอง หลี่อี้ก็ต้องรีบหมุนตัวหันหลังหนีทันที เมื่อเห็นเฉิงอ๋องเริ่มกระทำบางอย่างเพื่อจัดการกับความปรารถนาของตัวเอง แม้ตอนนี้หลี่อี้ไม่มีสิ่งนั้นแล้ว แต่ก็ยังรู้ดีว่าคืออันใด
จ้าวเฟิ่งกัดฟันขบริมฝีปาก พาร่างกายตนฝ่าพายุร้าย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงผ่านพ้นมรสุมลูกแรก เขาสูดปากหายใจหอบใหญ่
ทว่าฤทธิ์ของยาที่ได้รับกลับไม่บรรเทาลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ยิ่งเพิ่มเพลิงปรารถนาให้ยิ่งลุกไหม้โหมกระพือ
เสมือนว่าเมื่อครู่ที่เขาทำลงไปเป็นการเพิ่มเชื้อไฟท่ามกลางไม้สน[1]กองพะเนินเท่านั้น
อ๋องหนุ่มสายตาเย็นเยือกผิดกับตัวตนที่ร้อนรุ่มเกินบรรยาย
จังหวะนั้น นางกำนัลนามเซวียเทาก็เอาตัวสาวงามเข้ามา ก่อนพยักหน้าให้ขันทีเดินออกไปพร้อมกัน
ประตูห้องถูกปิดลง เหลือเพียงสาวงามระเหิดระหงกำลังยืนมองเฉิงอ๋องด้วยดวงตาสั่นไหว
นางดีใจแทบตายเมื่อได้รู้ว่าคืนนี้จะต้องปรนนิบัติเฉิงอ๋อง
สาวงามเดินกรีดกรายเข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการปีนป่าย
“ท่านอ๋องเพคะ...”
นางสะสวยอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพธิดาทิ้งชั้นฟ้าลงมา น้ำเสียงยังหวานละมุนมาก รูปร่างอ่อนนุ่มยวนตา หน้าอกยวนใจ บั้นท้ายใคร่เสน่หา
สาวน้อยปรือตาฉ่ำน้ำแวววาวมองริมฝีปากที่ขบกันแน่นบนใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นนาย มองแววตาคมเข้มที่เหมือนมีประกายไฟอยู่ข้างใน มองเส้นสายลายกล้ามและเส้นเลือดข้างลำคอที่กำลังปูนโปน
[1] ไม้สน ไม้เกี๊ยะ จุดเป็นเชื้อเพลิง ใช้ก่อฟืน ก่อถ่าน ตั้งเตา ตั้งกระโจมล้อมวงสุราในป่า
ติงอี้เทากล่าวเสียงเนิบช้า ทว่าฟังดูทุ้มต่ำทรงพลังดุดัน “ข้าไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดหนิงเอ๋อร์จึงปักใจรักเพียงเจ้า”ชายชราถอนหายใจ แววตาดุดันแฝงแววจนใจ“น่าเสียดายที่ความรักมักทำให้คนขาดสติด้อยปัญญา แต่เอาเถิด เรื่องที่จวนอ๋องของเจ้า ข้าจะไม่รื้อฟื้นหรือกล่าวโทษใด ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องที่ข้าติงอี้เทาเข้าใจได้ แต่เจ้าลองมองดู”ติงอี้เทาเอ่ยขึ้นขณะหันหน้าออกไปที่บานหน้าต่างดังเดิม จ้าวเฟิ่งมองตาม เบื้องหน้าในระยะสายตาของทั้งสองคือเส้นทางทอดยาวอันไกลโพ้นมองไม่เห็นปลายอีกฝั่งมิอาจประเมินระยะทางได้แม่นยำ แต่กลับมองออกว่าเป็นทางกลับไปเมืองหลวงแคว้นจิน“ไกลมากใช่หรือไม่?” ติงอี้เทาเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเยือกเย็น “นอกจากไกลแล้วยังสูงส่งเกินเอื้อมอีกด้วย”เมื่อวาจายืดยาวเอ่ยถึงตรงนี้ จ้าวเฟิ่งที่ฟังอยู่ถึงกับชะงัก ติงอี้เทาค่อยๆ ผินใบหน้ากลับมามองอ๋องหนุ่ม สุ้มเสียงยังคงเนิบนาบเชื่องช้าไม่เร่งร้อน “หากเป็นชายหญิงทั่วไปเมื่อใจรักระยะทางใกล้ไกลย่อมไร้ปัญหา ฐานะที่แตกต่างล้วนนำพาซึ่งชื่อเสียงหน้าตา ส่งตัวตนขึ้นเหนือคนในวงสังคมอย่างไร้เงื่อนไข เพียงแต่ ตัวท่านที่เป็นถึงอ๋องย่อมไม่อาจทำตามแ
เขาเปิดประตูเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เชิญท่าน...ตามข้ามา” เขาปรายตามองจ้าวเฟิ่งปราดหนึ่ง “แค่ท่านคนเดียว ผู้อื่นไม่เกี่ยว”เหล่าองครักษ์ถึงขั้นกระชับดาบข้างเอว สายตามองข่มขวัญสื่อนัยวาจาว่า‘บังอาจ’ถ้วนหน้า พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทข้างกายและตายแทนได้ เคยห่างจากผู้เป็นนายเสียที่ใด หาไม่ หากเฉิงอ๋องตกอยู่ในอันตรายหรือเป็นอะไรไป พวกเขามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด แววตาคมกริบขององครักษ์กับแววตามืดดำของสมุนยวี้จู๋พลันเปล่งประกายพร้อมปะทะ บรรยากาศตึงเครียดยิ่งจ้าวเฟิ่งจึงยกมือปราม ทุกคนถึงได้สงบลงเมื่ออ๋องหนุ่มพ้นบานประตู บุรุษร่างใหญ่กำยำผู้หนึ่งพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุม สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเข้ามายืนอยู่ตรงด้านหน้าของจ้าวเฟิ่งก็เพียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่เฉยชาว่า “เชิญทางนี้ ท่านประมุขกำลังรอท่านอยู่”จ้าวเฟิ่งตอบรับเสียงอืมในลำคอค่อยกล่าว “เชิญนำทาง”ชายหนุ่มเดินตามการเชื้อเชิญของบุรุษตัวโตด้วยท่าทีลุ่มลึก มิได้รู้สึกขัดเคืองหรือมีโทสะอันใดกับการปฏิบัติแบบไม่เกียรตินี้ เพราะเพียงคิดถึงการกระทำอันเอาแต่ใจของตนที่ผ่านมายามปฏิบัติต่อเพ่ยหนิงก็ตระหนักได้ว่าสมควร
ที่โต๊ะริมหน้าต่างอันเป็นที่ประจำของเพ่ยหนิง จ้าวเฟิ่งนั่งมองเตากำยานอย่างเหม่อลอย ครั้นได้สติก็เพียงหลับตา ยกนิ้วคลึงหว่างคิ้วช้าๆ สีหน้าเคร่งเครียด นึกปวดใจยิ่งจ้าวไท่หรงค่อยๆ เยื้องย่างเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ด้วยรู้ตัวดีว่าตนอาจเป็นต้นเหตุเภทภัยในรักของน้องชาย จึงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงรบกวนทว่าจ้าวเฟิ่งมีหรือจะไม่รู้ถึงการมาเยือน เขาค่อยๆ ลืมตา เอ่ยเสียงเนิบช้า“พี่ใหญ่สมควรตอบรับสมรสพระราชทานไปเสีย เลิกคิดเรื่องสตรีของข้า ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใด ท่านไม่ควรใส่ใจทั้งสิ้น”จ้าวไท่หรงยกมือขึ้นเบื้องหน้าอันหมายความว่าเขายอมแพ้ แต่ปากกลับบอก “แต่พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบลู่ซือฉี พี่ใหญ่ชอบเพ่ยหนิง”เมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายไม่เสื่อมคลายของคนเป็นพี่ชาย จ้าวเฟิ่งพลันหน้าบึ้งตึง เอ่ยเสียงเยียบเย็น ไม่ไว้หน้า“นางเป็นภรรยาของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าคิดหมายปอง”คราวนี้จ้าวไท่หรงไม่เพียงเบิกตาโพลง ยังเงียบกริบทันทีรัชทายาทหนุ่มนึกไม่ถึงว่าน้องชายผู้รักษาจารีตเคร่งครัด ไม่เคยปล่อยตัวไปกับอารมณ์กำหนัดจะรวบรัดคนเขาแล้วน้องสี่ เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก...นอกเขตเมืองหลวง จากภูชมมังกรมองเห็นทิ
ติงอี้เทาบันดาลโทสะกับโต๊ะไม้โบราณตัวโปรดเสร็จก็ลุกขึ้นอย่างโกรธา หนวดเคราสีขาวกระพือด้วยแรงอารมณ์ที่พ่นออกมาเป็นลมหายใจร้อนผ่าวราวเปลวเพลิงทางจมูกเขาผิดเองที่รักและตามใจหลานสาวคนเดียวผู้นี้มากเกินไป ดูแลฟูมฟักอย่างดีล้นเหลือจนแทบจะประคับประคองในอุ้งมือ กระทั่งอีกฝ่ายแข็งแรงเพียงภายนอกแต่กลับอ่อนต่อโลกไปทั้งจิตใจเช่นนี้เขายังจะเอาหน้าเหี่ยวๆ ไปพบเขยแซ่เพ่ยกับลูกสาวในปรโลกอย่างไรไหวติงอี้เทานึกโกรธตัวเองยิ่งนัก ทั้งยังโกรธจ้าวเฟิ่งจนแทบหลั่งน้ำตาเจ้าอ๋องน่าตาย...หานตงเห็นอาจารย์เคียดแค้นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยเสียงเข้มขรึม“ขออาจารย์โปรดอย่าเข้าใจในตัวเฉิงอ๋องในทางเลวร้าย ประเมินดูแล้วทุกฝ่ายล้วนเข้าใจผิดต่อกัน แต่ทั้งที่เข้าใจผิดปานนั้น หนิงเอ๋อร์อยู่ในฐานะนักโทษไม่ต่างจากเชลยด้วยซ้ำ คนจะให้ปรนเปรออย่างทรมานเช่นไรก็ย่อมได้ จะรังแกหรือเอาเปรียบก่อนฆ่าทิ้งก็ไม่นับว่าผิดแผก ทว่าเฉิงอ๋องกลับดูแลทะนุถนอมอย่างดี ลอบปกป้องนางจากพี่ชายเสเพลเต็มที่ มองแล้วพวกเขาก็เป็นเแค่คู่รักที่มีปัญหาไม่เข้าใจกันเท่านั้น ยามนี้ขอเพียงทั้งสองได้พบหน้าพูดคุย ทุกอย่างย่อมคลี่คลาย”แม้หานตงจะพูดจามีหลักการและเหต
ท่านหมอแย้มยิ้มบอกกล่าวข่าวดี กำชับอีกหลายประโยค “อายุครรภ์ยังน้อยนัก ระวังสุขภาพและเรื่องโลดโผนหน่อยจึงจะดี อย่าให้แม่นางวิตกกังวลหรือมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากอีกเลย”หานตงพยักหน้าเคร่งขรึม วางเงินอีกก้อนอย่างไม่ตระหนี่ท่านหมอมองเงินบนโต๊ะก็ให้รู้สึกสะท้อนใจ ไฉนคนที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่งถึงมีเงินก้อนให้ใช้จ่ายมือเติบได้หนอ หานตงไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของท่านหมอชรา เพียงลุกขึ้นหันมาโอบอุ้มบุตรสาวบุญธรรมขึ้นแนบอกแล้วจากไปควรต้องทราบว่าหานตงแม้เบื้องหน้าปลูกผักขายไปวันๆ ทว่าเบื้องหลังนั้นยังมีร้านสมุนไพรเก่าแก่ที่สุดของยุทธภพซึ่งปลูกและตัดแต่งเพาะพันธุ์จนพืชกลายพันธุ์พัฒนาไปไกล เขามีฉายาโดยไม่เผยโฉมว่าเทพโอสถหมื่นพิษ คนมีเงินมั่งคั่งเท่านั้นถึงจะหาซื้อสินค้านี้ของเขาได้ อีกทั้งหานตงยังทำการค้าหลากหลาย สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้มากมาย ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดส่วนการปลูกผักนั้นแท้จริงเป็นเพียงความชอบส่วนตัวที่นิยมปรุงอาหารผสมพืชพันธุ์สมุนไพรบำรุงร่างกายให้อายุยืนนานเหมือนที่เพ่ยหนิงชื่นชอบการปลูกดอกไม้แล้วนำมาแปลงเป็นอาวุธร้ายนั่นแลหานตงอุ้มเพ่ยหนิงขึ้นรถม้า หวดแส้บ
หน้าประตูบานใหญ่จวนเฉิงอ๋องเพ่ยหนิงมองภาพทหารร่างใหญ่กำยำยื่นคมหอกขวางหน้า พวกเขาล้วนมีท่าทางถมึงทึงอย่างไม่ยอมอ่อนข้อหรือหลงกลเสน่ห์มารยาก็ให้นึกท้อใจ แม้นางจะเอ่ยปากว่าตัวเองเป็นคนของเฉิงอ๋องก็ยังไม่เป็นผล คนยังมองนางเหมือนมดปลวกตัวเล็กๆ ไร้ค่าให้ใส่ใจ“อย่าว่าแต่สตรีต่ำต้อยมีดีแค่สะสวยเช่นเจ้าเลย ต่อให้เป็นคุณหนูสูงส่งผู้งดงามก็ใช่ว่าจะเข้าหาท่านอ๋องของพวกเราได้ง่ายๆ ช่างฝันเฟื่องไม่เจียมตัวยิ่งนัก ไร้ยางอายมาก” ทหารคนหนึ่งพูดจบก็โบกมือไล่เพ่ยหนิงเหมือนไล่แมลงโสโครก“ไปๆ ออกไป อย่าได้พาตัวเองมาทำให้ท่านอ๋องของข้าต้องแปดเปื้อนมัวหมองเพราะสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้า”“...”เพ่ยหนิงเบิกโต อุทานในใจว่าโอโห ปากหรือนี่ ฉับพลันนั้นนางนึกอยากสั่งสอนทหารผู้นี้จับใจ ให้เขาลิ้มรสฝีมือนางจนลงไปนอนแดดิ้นสิ้นใจเสียตรงนี้ แต่นางไม่ไร้เหตุผลขนาดนั้น จึงเพียงแต่ชี้หน้าว่า “สามหาวนัก!”“บังอาจ! กล้าชี้หน้าคนของจวนอ๋องเชียวรึ?”“ทำไมจะไม่กล้า! ข้าจะตีปากของเจ้าด้วย”ทหารหรี่ตาตวาด “เจ้า!”เพ่ยหนิงเองก็โมโหไม่ยอมความ “ทำไม?”พวกเขาจึงเริ่มมีปากเสียงรุนแรง แน่นอนว่าหานตงไม่เสี่ยงกระโดดข้ามกำแพงเข้าไ







