Masukด้วยความชอบในไก่ทอด มีมี่ สาวไทยจึงเดินทางไปรอบโลกเพื่อชิมไก่ทอด และมาหยุดที่เมืองต้าเหลียง ขณะที่นั่งกินไกทอดและดูวิวอยู่บนห้องนั่นเองทุกอย่างก็มืดดับลง “แม่หนูไก่ทอด ตื่นได้แล้ว” “อะไรค่ะ อ่าวตายแล้วหรอเนี่ย ท่านตาข้ายังไม่ได้ไปกินที่เกาหลีกับญี่ปุ่ณเลยน่ะ” “เอาล่ะ ข้าผิดเอง งั้นเอานี่ไประบบไก่ทอดและพลังระดับพื้นฐาน เอาล่ะไปได้ปายยย” “อ้ากกกกกกก” มีมี่โดนถีบลงมา “หืมอะไรกานหนายดูดิ เห้ย!” “อารายกันรึ” “ท่าน! ตาแก่นี้ให้บอลพลังผิดลูกไปเจ้าค่ะ” “ก็อีดอกแล้วนิ” “แต่มันระดับสูงสุดน่ะเจ้าค่ะ” !!!!!!!
Lihat lebih banyak“โอ้ย! เจ็บตัวไปหมดเลยโว้ย ไก่จ้า ไก่ทอด อยู่หนายย ไก่ทอดดด...หื้ม...เดียวน่ะ” มีมี่พูดกับตัวเองแล้วพยายามยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมทรุดโทรม
“ตายล่ะอยู่ไหนกัน...กะ...กลิ่นอะไร”
กลิ่นเหม็นสาบเหมือนไปนอนแช่ในบ่อขยะลอยโชยมาจากจุดหนึ่งในห้อง จนกระทั่งมาถึงเสื้อของตัวเอง “กลิ่นบ้านอะไรว่ะเนี่ย” มันเกินจะทนแล้วไหนจะกองเลือดตรงนี้อีก เจ้าของร่างเดิมไปทำอะไรมาถึงมีสภาพแบบนี้
“อาบน้ำก่อนดีกว่าเหม็นมาก”
รางหนารีบตรงไปยังลำธารหลังบ้านทันทีเพื่ออาบน้ำ พอเห็นธารน้ำใสก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดลงไป แต่พอเปลืองผ้าออกก็ถึงกับผงะไปชั่วครู่
“น่ะ...นี่มันสาวงามกับภูเขาลูกใหญ่คงต้องลดหุ่นหน่อยแล้ว”
สุดท้ายก็ตัดสินใจอาบน้ำก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันเพราะสุดจะทนกับกลิ่นที่เหม็นเกินบรรยาย สบู่ยาสระผมก็เอาออกมาจากมิติที่ได้รับการชดเชยมาจากเทพขี้เมา
“เสร็จ เสร็จซ่ะทีแล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้ ก่อนอื่นต้องทวนความจำก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วอยู่ที่ไหน”
เมื่อคิดได้แล้วก็เริ่มเรียบเรียงความทรงจำใหม่ทั้งหมด
“จินเชียง นักฆ่าจากเปอร์เซีย อื้ม~ เกษียณตัวเองตัวอายุ 25 เพื่อออกมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและสงบ...แล้วใครกันที่ฆ่านาง”
คิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปที่ว่านางคงตายเพราะป่วยด้วยพิษไข้ป่า แล้วล้มหัวฟาดพื้นตาย
“เฮ้อ~ คนเราช่างตายได้ง่ายดายแท้ แต่ไม่ต้องห่วงเราจะใช้ชีวิตต่อให้ดีเองสบายใจได้” ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดผ่านพร้อมเสียงขอบคุณและกระซิบว่าให้ใช้ชีวิตตามสบาย ‘แน่นนอนความแค้นช่างมันซิ’
มีมี่หรือจินเชียง ตัดสินใจรีบทำความสะอาดบ้านก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยร่างนี้เป็นคนทีมีพละกำลังมหาศาลเวลาทำสิ่งใดจึงเป็นเรื่องง่ายไม่ว่าหาบน้ำหรือล่าหมี
“บ้านไม่ใหญ่มาก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น ถึงดูแล้วจะเป็นแค่กระท่อมก็เถอะแต่ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับอยู่คนเดียว”
และเสียงท้องเจ้ากรรมก็ดังขึ้นของกินก็ไม่มีเงินก็หายไปจนหมด จึงตัดสินใจเดินไปลำธารหลังบ้านเพื่อจับปลามาทำอาหาร
‘ติ๊ง! จับปลา 5 ตัว! จงนำมาทำปลาย่างแสนอร่อย ระบบมีเกลือและพริกไทยให้ยืม’
“ปลาย่างก็ปลาย่าง”
ถอนหายใจดังๆ แล้วเดินตรงไปที่ลำธารหลังบ้างที่เต็มไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ในมือมีเพียงธนูที่ตกอยู่ในบ้าน ได้แต่มองและถอนหายใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยิงได้ไหม
“เจ้าป่าเจ้าเขาขอให้ลูกยิงธนูได้ด้วยเถิดดด” และมีเสียงลอยตามลมมา ‘ก็ยิงเป็นอยู่แล้วขอจะทำไม’
“……..” กวนตรีน
สุดท้ายก็ขี้เกียจทะเลาะกับลมจึงรีบเดินไปที่ลำธาร มองหาปลาอยู่ไม่นานก็ยกธนูขึ้นง้าง ‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว’ ลูกธนูพุ่งเข้าหาปลาตัวใหญ่ที่ดูแลใกล้หมดอายุขัยตายภายในดอกเดียว
“ปลาตัวใหญ่มาก” เมื่อไหว้ส่งวิญญาณปลาแล้ว ก็จัดการแล่ปลาทั้งหมดก่อนจะเอาไปล้างในลำธาร “ทำไมล้างเท่าไหร่ก็ไม่หมด” จินเซียงที่ออกแรงล้างอยู่นานก็แปลกใจว่าทำไมในน้ำถึงยังเป็นสีแดง
พอมองตามไปที่ต้นทางของสายเลือดที่ไหลมาตามน้ำ “เวรแล้วนี่มันเลือดคน”
ปลาถูกโยนลงมิติ แล้วรีบเดินตามรอยเลือดไปที่ต้นน้ำ ปลายทางที่เดินมาถึงนั้นเต็มไปด้วยซากศพที่เกิดจากการต่อสู้ แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะมีบางคนที่ยังไม่ตาย คนผู้นั้นสวมหมวกปิดบังใบหน้าในมือกำดาบแน่นเหมือนกำลังปกป้องใคร พอมองดูแล้วก็เห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนหลบอยู่ด้านหลัง
“เฮ้! พวกท่าน” จินเซียงเดินเข้าไปหาทั้งสอง
“ฝะ...ฝาก...คะ..คุณหนูด้วย” ฟุบ! คนผู้นั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น ถึงแม้ตอนแรกจะมีท่าทีหวาดระแวงอยู่บ้าง
“เช่นนั้นไปบ้านข้าก่อน อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้”
“แล้วนางตายแล้วรึ” หญิงสาวถาม จินเซียงก็เลยจับชีพจรดู
“ยังไม่ตาย แต่ต้องรีบรักษา มาเถอะรีบไปจากที่นี่กัน”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วรีบไปเก็บสิ่งของที่จำเป็นแล้ววิ่งตามหญิงสาวชาวบ้านที่เอาคนเจ็บขึ้นพาดบ่าเดินนำหน้าไปเหมือนกับวิ่ง
จินเซียงเดินลงไปในลำธารเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย เดินลงตามลำธารมาไม่นานก็มาถึงบ้านหลังน้อยใกล้ลำธารที่มีอุปกรณ์จับปลาวางอยู่หน้าบ้าน ทั้งคู่พากันเข้าไปในบ้านก่อนจะรีบทำแผลและเปลี่ยนผ้าให้คนเจ็บรวมถึงตรวจดูอาการให้หญิงสาวที่มาด้วยกัน
“ท่านเป็นใครกัน เหตุใดถึงรู้วิชาแพทย์ได้”
“เจ้าควรแนะนำตัวก่อนที่จะถามคนอื่นน่ะ”
“ข้าแซ่ถัง ชื่ออี้ ชื่อรองหลัน ถังอี้หลัน ส่วนนางเป็นคนสนิทข้าของเองชื่อถิงถิง”
“ข้าจินเซียง พวกเจ้าพักก่อนข้าทำแผลให้แล้วเดี๋ยวขอตัวไปย่างปลาก่อนมีอะไรก็เรียก”
“ขอบใจเจ้ามากน่ะ”
“อื้ม”
พูดจบจินเซียงก็เดินออกไปที่กองไม้ที่เตรียมไว้ก่อนจะจุดไฟและปรุงรสปลานิดหน่อยก่อนจะเสียบไม้ที่เตรียมไว้แล้วเอาไปปักไว้รอบ กองไฟ กลิ่นปลาย่างลอยตามสายลมไปในอากาศ มันปลุกให้คนเจ็บที่เกือบตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ถิงถิงที่รู้สึกตัวเพราะความหิวก็ลืมตาขึ้นก่อนจะมองสำรวจไปรอบตัวเอง
“คุณหนู พวกเราอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ”
“บ้านสตรีชาวบ้าน ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าพักเถอะเดี๋ยวถ้าปลาย่างเสร็จแล้วนางก็คงมาเรียกเอง”
“เจ้าค่ะ”
'ก๊อก ก๊อก' เสียงจินเซียงเคาะประตู
“เข้ามาเถอะ” ถังอี้หลันบอกคนหลังประตู
“ข้ามาตามพวกเจ้าไปกินข้าว”
“ขอบใจมากน่ะ”
จินเซียงเอาอาหารจัดวางบนโต๊ะกลางห้อง สองนายบ่าวที่เห็นอาหารก็พากันกลืนน้ำลายเพราะกลิ่นของปลาย่างหอมจนลืมตัวซัดอาหารทั้งโต๊ะหมดลงเหมือนไม่เคยมีอยู่จริง
“จินเซียงปลาย่างของเจ้าอร่อยยิ่งนัก” ถังอี้หลันเอามือลูบท้องตัวเอง
“ขอบคุณที่ชม แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อ”
“คงจะพักซักระยะแล้วค่อยกลับตระกูล ไม่ต้องห่วงข้าตอบแทนน้ำใจของเจ้าแน่นอน”
“อื้ม เช่นนั้นก็พักเถอะ เดี๋ยวเก็บของแล้วข้าจะไปอาบน้ำ”
“จินเซียงนี่ยังไม่เย็นเลยนะ” เจ้าของชื่อหันกลับมามองคนถาม
“อี้หลันเจ้าหันไปดูนอกหน้าต่างด้วย พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว”
อี้หลันมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นจริงดังว่า “แล้วบ้านเจ้ามีกี่ห้องกัน”
“หนึ่ง” พูดจบก็ยกอาหารที่ทานหมดแล้วออกไปเก็บ
ไม่นานจินเซียงก็กลับมาพร้อมผ้าสำหรับปูนอน สองสาวมองเจ้าของบ้านเอาผ้าปูบนพื้นพร้อมจัดที่หลับที่นอนและล้มตัวลงนอน
“พวกเจ้าไม่นอนรึไงตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว รีบนอนเถอะข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกนักฆ่าจะต้องหาที่นี่เจอแน่”
“นั่นซิ แล้วที่นี่คือที่ไหน”
“นอนเถอะ ฝันดี” จินเซียงไม่ตอบแต่หลับแทน
“อย่างงี้ก็ได้หรอ” สองสาวมองหน้ากันแล้วก็หลับพักผ่อน
บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่พลันเงียบลง กลุ่มคนเริ่มแตกฮือหนีเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ยกอาวุธเข้ามา จินเซียงขยับตัวเล็กน้อย ดันเด็กสาวญี่ปุ่นทั้งสองให้หลบไปอยู่หลังเผยอิง“ข้าถามอีกครั้ง มีเรื่องอะไรกับเด็กสองคนนี้” เสียงของนางนิ่งเรียบ แต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายชะงักวูบหนึ่งชายหน้าบากหัวเราะหยัน “หึ! เจ้าไม่ต้องรู้หรอกคุณหนูใหญ่ แค่ส่งตัวพวกนางมา เรื่องก็จบ”“ขู่ข้า? ถ้าไม่จบล่ะ” จินเซียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยสิ้นคำพูด ร่างของนางหายวับไปจากที่ยืน ก่อนจะปรากฏอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งกดข้อมือของเขาอย่างแรงจนดาบร่วงลงพื้น เสียงเหล็กกระทบดัง เคร้ง!“เจ้าจะ!” อีกสองคนรีบพุ่งเข้ามา แต่เพียงพริบตา จินเซียงสะบัดชายแขนเสื้อออก หมัดและปลายเท้าแทรกผ่านราวสายลม ปัดอาวุธออกจากมือพวกมันทีละคนอย่างแม่นยำเสียงแตกตื่นดังไปทั่วตลาด พ่อค้าแม่ค้าพากันถอยหนี บรรยากาศรอบท่าเรือกลายเป็นความวุ่นวายเผยอิงก้าวขึ้นมาข้าง ๆ พลางชักดาบสั้นที่พกติดตัวไว้“หากยังกล้าแตะต้องพวกนางอีกแม้แต่น้อย… อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”สีหน้าของชายฉกรรจ์เริ่มแปรเปลี่ยนจากหยิ่งผยองเป็นหวาดหวั่น เหลือบตามองฝูงชนที่เริ่ม
กลองศึกยังไม่ทันเงียบสนิท เสียงกีบม้าก็เร่งเร้าสะท้านพื้นดินสะเทือน ร่างของจินเซียงที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งของตนเองและศัตรู ถูกหามลงจากหลังม้าโดยทหารที่น้ำตาคลอ ดวงตาของผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนแดงก่ำ ทั้งยกย่อง ทั้งโกรธแค้นที่คนอย่างนางต้องบาดเจ็บเพราะ ‘การตัดสินใจชักช้า’ ของเบื้องบน“ท่านรองแม่ทัพ… ฮึดไว้นะ! อย่าหลับตาเด็ดขาด!”เสียงของนายกองดังแทรก ขณะนางถูกหามเข้าไปในกระโจมใหญ่ กลิ่นสมุนไพรผสมคาวเลือดคลุ้งไปทั่วเผยอิงที่รออยู่แล้วแทบวิ่งเข้าใส่ เมื่อเห็นร่างที่ไร้สติของคนรัก “เซียง…เจ้าอย่ากล้าทิ้งข้าเชียวนะ!” น้ำเสียงสั่นเครือแต่ก็เต็มไปด้วยความ เด็ดเดี่ยว“ท่านกุนซือ! หากนางเป็นอะไรไป ข้าจะมาเอาชีวิตท่านเอง!”เสียงของแม่ทัพถังประจำเหอเป่ย์ดังก้องไปทั่วค่าย ทหารหลายพันสายตาจับจ้องมาที่ชายชราซึ่งเป็นกุนซือใหญ่“หาใช่ความผิดของข้า! ข้าเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าที่จะเดิมพันกับชีวิตเพียงคนเดียว!” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างของกุนซือก็ปลิวกระแทกพื้นอย่างแรงจากฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่“นี่! สำหรับพี่น้องข้าที่ตายไปเพราะคนเห็นแก่ตัวเช่นท่าน!”เตียวหลางชี้หน้าด้วยเสียงสั่นสะท้านไปด้วยโทสะ ความเงียบอึดอัดปกค
แม้ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงไรแต่ก็ไม่กระทบกับการกินอาหารแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีอาหารมากมายพอๆ กับคนที่มีเยอะ ดีที่หวังซุนเทียนได้จองไว้ทั้งชั้นทำให้ไม่มีใครรบกวน“ท่านเอ่อ~” “เรียกข้าซียงก็พอ ไม่ว่าจินเต้องมาก็พิธี” “เจ้าค่ะ พี่จินเซียง จริงซิพวกท่านจะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ใช่รึไม่” “ใช่แล้ว คนเยอะน่าจะขายดี” ตอบตามที่คิด เพราะนางคิดจะหาเงินจากงานนี้โดยเฉพาะ พอกินข้าวแล้วตีกัน เมื่อโรงเตี้ยมพัง คนก็จะมากินที่ร้านนาง “พวกท่านจะว่าอะไรรึ ไม่ถ้าพวกเราขอตามขบวนท่านไป” จินเซียงเหลือบมองกุ้ยเฟยเล็กน้อย กุ้ยเฟยก็พยักหน้า “ตกลง พวกเราเป็นสตรีเหมือนๆ กัน การที่จะเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่แปลกอันใด มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้าในนามตัวแทนศิษย์สำนักดอกเหมยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” “ดี! มาทุกคนดื่ม” “ดื่ม!” ทุกคนร่วมกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทางเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เชิญนักดนตรีมาแสดงให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับสตรีที่อยู่ในห้อง ไม่บ่อยครั้งที่ผู้นำตระกูลหวังจะออกหน้าเพื่อเหมาชั้น สั่งเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในเหล่าอาหารไว้เช่นกัน “ไม่ทราบว่าพี่สา
เช้าวันต่อมาหลังทานอาหารแล้ว จินเซียงกับเผยอิงก็เข้าไปคุยกับหยางจินเทาเรื่องที่ทางโซซอนส่งคนมาขอความช่วยเหลือ นางรู้ดีว่าโซซอนเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการรุกรานของพวกญี่ปุ่นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงพวกโจรสลัดก็ตาม ถึงแม้ในความฝันคนที่คิดว่าเป็นเทพพระเจ้าจะบอกไว้ว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับโลกเดิมของนางก็ตาม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วทางหยางจินเทาก็มีความกังวลเรื่องปืนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ปืนใหญ่แบบที่ต้าซ่งมีในครอบครองนั้น ที่อื่นยังไม่มีใช้ประกอบกับทหารของต้าซ่งเองก็ใช่ว่าเข้มแข็งเช่นยุคของต้าถัง “ปู่คงต้องไปปรึกษากับพระองค์ดูก่อนว่าจะทำเช่นไร เพราะทางโกโจเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้เพราะคนล่ะกลุ่มกัน” “เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่หลานต้องไปคุ้มกับกุ้ยเฟย” “งานนี้ได้ข่าวว่าจัดที่ภาคกลาง เอ่~ อ้อ ปู่นึกออกแล้วว่าจัดที่ไหน” “ที่ไหนรึเจ้าค่ะ” เผยอิงถาม “ก็ที่ทำการหลักของพรรคฝ่ายธรรมมะที่เหวย์ฟาง เขตซานตง” “หลานเคยได้ยินมาบ้างว่า-” “ใช่แล้ว!” สองปู่หลานถึงกับสะดุ้งเพราะอยู่ๆ อีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ใช่อะไรท่านพี่” เผยอิงหันไป
เช้าวันต่อมา จินเซียงพาเผยอิงและสองสาวไปเล่นน้ำที่น้ำตกใกล้บ้าน แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมลงเพราะการเปลืองผ้าเล่นน้ำนั้นถือว่าผิดหลักสอนหญิง แต่บางทีพวกนางอาจลืมไปว่าทีนี่มีแต่สตรีเท่านั้น จินเซียงโดดลงน้ำโดยมีเพียงบังทรงกับกางเกงสั้นเท่านั้น ซู่มม~ “สดชื่นจริงๆ อ้าวพวกเจ้าไม่ลงมาล่ะ ฮูหยินข้า เจ้าไม่ลงมาหรอ” “พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เผยอิงตอบตามตรง “อะไรกัน เช่นนั้นก็นั่งเล่นกันดีๆ น่ะ” “เจ้าค่ะ” วันเวลาอันสงบสุขก็ดำเนินต่อไปจนวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง ทั้งสี่ช่วยกันเก็บข้างของขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปที่จวน “เสี่ยวจูเจ้าเก็บของมาครบรึยัง” “เจ้าค่ะฮูหยิน” เสียวจูตอบ “ฮวาฮวาปิดรั้วให้ดีด้วยน่ะ จะได้ไม่มีใครเข้าไปได้” “แน่ใจรึเจ้าค่ะ” จินเซียงย้ำอีกรอบ “เชื่อข้า” ฮวาฮวาพยักหน้าแล้วปิดรั้วให้สนิท แล้วเดินมาขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกห่างจากบ้านช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าบ้านหลังดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนอกจากจินเซียงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กุบกับ กุบกับ เสียงรถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางขรุขระมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เซี่ยโจว “ทำไมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่






Komen