LOGINด้วยความชอบในไก่ทอด มีมี่ สาวไทยจึงเดินทางไปรอบโลกเพื่อชิมไก่ทอด และมาหยุดที่เมืองต้าเหลียง ขณะที่นั่งกินไกทอดและดูวิวอยู่บนห้องนั่นเองทุกอย่างก็มืดดับลง “แม่หนูไก่ทอด ตื่นได้แล้ว” “อะไรค่ะ อ่าวตายแล้วหรอเนี่ย ท่านตาข้ายังไม่ได้ไปกินที่เกาหลีกับญี่ปุ่ณเลยน่ะ” “เอาล่ะ ข้าผิดเอง งั้นเอานี่ไประบบไก่ทอดและพลังระดับพื้นฐาน เอาล่ะไปได้ปายยย” “อ้ากกกกกกก” มีมี่โดนถีบลงมา “หืมอะไรกานหนายดูดิ เห้ย!” “อารายกันรึ” “ท่าน! ตาแก่นี้ให้บอลพลังผิดลูกไปเจ้าค่ะ” “ก็อีดอกแล้วนิ” “แต่มันระดับสูงสุดน่ะเจ้าค่ะ” !!!!!!!
View More“โอ้ย! เจ็บตัวไปหมดเลยโว้ย ไก่จ้า ไก่ทอด อยู่หนายย ไก่ทอดดด...หื้ม...เดียวน่ะ” มีมี่พูดกับตัวเองแล้วพยายามยันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมทรุดโทรม
“ตายล่ะอยู่ไหนกัน...กะ...กลิ่นอะไร”
กลิ่นเหม็นสาบเหมือนไปนอนแช่ในบ่อขยะลอยโชยมาจากจุดหนึ่งในห้อง จนกระทั่งมาถึงเสื้อของตัวเอง “กลิ่นบ้านอะไรว่ะเนี่ย” มันเกินจะทนแล้วไหนจะกองเลือดตรงนี้อีก เจ้าของร่างเดิมไปทำอะไรมาถึงมีสภาพแบบนี้
“อาบน้ำก่อนดีกว่าเหม็นมาก”
รางหนารีบตรงไปยังลำธารหลังบ้านทันทีเพื่ออาบน้ำ พอเห็นธารน้ำใสก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดลงไป แต่พอเปลืองผ้าออกก็ถึงกับผงะไปชั่วครู่
“น่ะ...นี่มันสาวงามกับภูเขาลูกใหญ่คงต้องลดหุ่นหน่อยแล้ว”
สุดท้ายก็ตัดสินใจอาบน้ำก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันเพราะสุดจะทนกับกลิ่นที่เหม็นเกินบรรยาย สบู่ยาสระผมก็เอาออกมาจากมิติที่ได้รับการชดเชยมาจากเทพขี้เมา
“เสร็จ เสร็จซ่ะทีแล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้ ก่อนอื่นต้องทวนความจำก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วอยู่ที่ไหน”
เมื่อคิดได้แล้วก็เริ่มเรียบเรียงความทรงจำใหม่ทั้งหมด
“จินเชียง นักฆ่าจากเปอร์เซีย อื้ม~ เกษียณตัวเองตัวอายุ 25 เพื่อออกมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและสงบ...แล้วใครกันที่ฆ่านาง”
คิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปที่ว่านางคงตายเพราะป่วยด้วยพิษไข้ป่า แล้วล้มหัวฟาดพื้นตาย
“เฮ้อ~ คนเราช่างตายได้ง่ายดายแท้ แต่ไม่ต้องห่วงเราจะใช้ชีวิตต่อให้ดีเองสบายใจได้” ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดผ่านพร้อมเสียงขอบคุณและกระซิบว่าให้ใช้ชีวิตตามสบาย ‘แน่นนอนความแค้นช่างมันซิ’
มีมี่หรือจินเชียง ตัดสินใจรีบทำความสะอาดบ้านก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยร่างนี้เป็นคนทีมีพละกำลังมหาศาลเวลาทำสิ่งใดจึงเป็นเรื่องง่ายไม่ว่าหาบน้ำหรือล่าหมี
“บ้านไม่ใหญ่มาก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น ถึงดูแล้วจะเป็นแค่กระท่อมก็เถอะแต่ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับอยู่คนเดียว”
และเสียงท้องเจ้ากรรมก็ดังขึ้นของกินก็ไม่มีเงินก็หายไปจนหมด จึงตัดสินใจเดินไปลำธารหลังบ้านเพื่อจับปลามาทำอาหาร
‘ติ๊ง! จับปลา 5 ตัว! จงนำมาทำปลาย่างแสนอร่อย ระบบมีเกลือและพริกไทยให้ยืม’
“ปลาย่างก็ปลาย่าง”
ถอนหายใจดังๆ แล้วเดินตรงไปที่ลำธารหลังบ้างที่เต็มไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ในมือมีเพียงธนูที่ตกอยู่ในบ้าน ได้แต่มองและถอนหายใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยิงได้ไหม
“เจ้าป่าเจ้าเขาขอให้ลูกยิงธนูได้ด้วยเถิดดด” และมีเสียงลอยตามลมมา ‘ก็ยิงเป็นอยู่แล้วขอจะทำไม’
“……..” กวนตรีน
สุดท้ายก็ขี้เกียจทะเลาะกับลมจึงรีบเดินไปที่ลำธาร มองหาปลาอยู่ไม่นานก็ยกธนูขึ้นง้าง ‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว’ ลูกธนูพุ่งเข้าหาปลาตัวใหญ่ที่ดูแลใกล้หมดอายุขัยตายภายในดอกเดียว
“ปลาตัวใหญ่มาก” เมื่อไหว้ส่งวิญญาณปลาแล้ว ก็จัดการแล่ปลาทั้งหมดก่อนจะเอาไปล้างในลำธาร “ทำไมล้างเท่าไหร่ก็ไม่หมด” จินเซียงที่ออกแรงล้างอยู่นานก็แปลกใจว่าทำไมในน้ำถึงยังเป็นสีแดง
พอมองตามไปที่ต้นทางของสายเลือดที่ไหลมาตามน้ำ “เวรแล้วนี่มันเลือดคน”
ปลาถูกโยนลงมิติ แล้วรีบเดินตามรอยเลือดไปที่ต้นน้ำ ปลายทางที่เดินมาถึงนั้นเต็มไปด้วยซากศพที่เกิดจากการต่อสู้ แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะมีบางคนที่ยังไม่ตาย คนผู้นั้นสวมหมวกปิดบังใบหน้าในมือกำดาบแน่นเหมือนกำลังปกป้องใคร พอมองดูแล้วก็เห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนหลบอยู่ด้านหลัง
“เฮ้! พวกท่าน” จินเซียงเดินเข้าไปหาทั้งสอง
“ฝะ...ฝาก...คะ..คุณหนูด้วย” ฟุบ! คนผู้นั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น ถึงแม้ตอนแรกจะมีท่าทีหวาดระแวงอยู่บ้าง
“เช่นนั้นไปบ้านข้าก่อน อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้”
“แล้วนางตายแล้วรึ” หญิงสาวถาม จินเซียงก็เลยจับชีพจรดู
“ยังไม่ตาย แต่ต้องรีบรักษา มาเถอะรีบไปจากที่นี่กัน”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วรีบไปเก็บสิ่งของที่จำเป็นแล้ววิ่งตามหญิงสาวชาวบ้านที่เอาคนเจ็บขึ้นพาดบ่าเดินนำหน้าไปเหมือนกับวิ่ง
จินเซียงเดินลงไปในลำธารเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย เดินลงตามลำธารมาไม่นานก็มาถึงบ้านหลังน้อยใกล้ลำธารที่มีอุปกรณ์จับปลาวางอยู่หน้าบ้าน ทั้งคู่พากันเข้าไปในบ้านก่อนจะรีบทำแผลและเปลี่ยนผ้าให้คนเจ็บรวมถึงตรวจดูอาการให้หญิงสาวที่มาด้วยกัน
“ท่านเป็นใครกัน เหตุใดถึงรู้วิชาแพทย์ได้”
“เจ้าควรแนะนำตัวก่อนที่จะถามคนอื่นน่ะ”
“ข้าแซ่ถัง ชื่ออี้ ชื่อรองหลัน ถังอี้หลัน ส่วนนางเป็นคนสนิทข้าของเองชื่อถิงถิง”
“ข้าจินเซียง พวกเจ้าพักก่อนข้าทำแผลให้แล้วเดี๋ยวขอตัวไปย่างปลาก่อนมีอะไรก็เรียก”
“ขอบใจเจ้ามากน่ะ”
“อื้ม”
พูดจบจินเซียงก็เดินออกไปที่กองไม้ที่เตรียมไว้ก่อนจะจุดไฟและปรุงรสปลานิดหน่อยก่อนจะเสียบไม้ที่เตรียมไว้แล้วเอาไปปักไว้รอบ กองไฟ กลิ่นปลาย่างลอยตามสายลมไปในอากาศ มันปลุกให้คนเจ็บที่เกือบตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ถิงถิงที่รู้สึกตัวเพราะความหิวก็ลืมตาขึ้นก่อนจะมองสำรวจไปรอบตัวเอง
“คุณหนู พวกเราอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ”
“บ้านสตรีชาวบ้าน ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าพักเถอะเดี๋ยวถ้าปลาย่างเสร็จแล้วนางก็คงมาเรียกเอง”
“เจ้าค่ะ”
'ก๊อก ก๊อก' เสียงจินเซียงเคาะประตู
“เข้ามาเถอะ” ถังอี้หลันบอกคนหลังประตู
“ข้ามาตามพวกเจ้าไปกินข้าว”
“ขอบใจมากน่ะ”
จินเซียงเอาอาหารจัดวางบนโต๊ะกลางห้อง สองนายบ่าวที่เห็นอาหารก็พากันกลืนน้ำลายเพราะกลิ่นของปลาย่างหอมจนลืมตัวซัดอาหารทั้งโต๊ะหมดลงเหมือนไม่เคยมีอยู่จริง
“จินเซียงปลาย่างของเจ้าอร่อยยิ่งนัก” ถังอี้หลันเอามือลูบท้องตัวเอง
“ขอบคุณที่ชม แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อ”
“คงจะพักซักระยะแล้วค่อยกลับตระกูล ไม่ต้องห่วงข้าตอบแทนน้ำใจของเจ้าแน่นอน”
“อื้ม เช่นนั้นก็พักเถอะ เดี๋ยวเก็บของแล้วข้าจะไปอาบน้ำ”
“จินเซียงนี่ยังไม่เย็นเลยนะ” เจ้าของชื่อหันกลับมามองคนถาม
“อี้หลันเจ้าหันไปดูนอกหน้าต่างด้วย พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว”
อี้หลันมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นจริงดังว่า “แล้วบ้านเจ้ามีกี่ห้องกัน”
“หนึ่ง” พูดจบก็ยกอาหารที่ทานหมดแล้วออกไปเก็บ
ไม่นานจินเซียงก็กลับมาพร้อมผ้าสำหรับปูนอน สองสาวมองเจ้าของบ้านเอาผ้าปูบนพื้นพร้อมจัดที่หลับที่นอนและล้มตัวลงนอน
“พวกเจ้าไม่นอนรึไงตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว รีบนอนเถอะข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันพวกนักฆ่าจะต้องหาที่นี่เจอแน่”
“นั่นซิ แล้วที่นี่คือที่ไหน”
“นอนเถอะ ฝันดี” จินเซียงไม่ตอบแต่หลับแทน
“อย่างงี้ก็ได้หรอ” สองสาวมองหน้ากันแล้วก็หลับพักผ่อน
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ





