 LOGIN
LOGINหลังจากนั้นไม่นานตัวนางก็ร้อนรุ่ม รู้สึกถึงเพลิงผลาญที่แล่นพล่านจะไปทั่วตัวก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและดิ่งลงต่ำไปที่ท้องน้อย ท้ายที่สุดนางก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของเขา
เขาตัวเกร็ง นิ่วหน้ามอง
พวกเราต่างไม่รู้ว่าในน้ำชามีอันใด
ขันทีที่อยู่นอกห้องถูกเฉิงอ๋องเรียกมาสอบถามถึงได้รู้ว่าเป็นชาพระราชทานจากฮ่องเต้ที่รัชทายาทแบ่งมาให้
สองมือแกร่งที่ประคองบั้นท้ายของนางซึ่งกำลังถูไถไปมาบนหน้าขาของเขาชะงักค้างไปทันที
“ไหวหรือไม่?” เขาถามเสียงเครียด
นางตอบเสียงสั่น “ไม่ไหว...”
หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกค่ำคืน คือนางไม่ได้ออกจากห้องลับ และเขาก็จะกลับมานอนด้วยแทบทุกคืน
ไม่รู้ว่าใครติดใจใคร
เฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่แค่กระดิกนิ้วก็มีสาวงามวิ่งตามเป็นพรวนกับนางที่เรียกร้องเขาเพราะยาแค่ครั้งเดียว...
หญิงสาวถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับ จากนั้นพลันลุกขึ้น กระชับชุดนางกำนัลไร้สีสันให้แน่นขึ้น ทำท่าจะเดินไปทางเตียงนอน
ในตอนนี้เอง ประตูเล็กฝั่งที่ติดกับห้องอาบน้ำก็เปิดออก ร่างบุรุษสูงสง่าสวมเพียงเสื้อคลุมเผยแผ่นอกตึงแน่นก็เดินเข้ามา
เพ่ยหนิงปรายตามองเฉิงอ๋องที่แผ่กลิ่นอายเย็นเยือกนิ่งๆ ก่อนจะไล่สายตามองลงตรงหยดน้ำที่เกาะพราวบนกล้ามหน้าอก ปลายผมของเขาที่แผ่สยายพาหยดน้ำมากมายพร่างพรายที่ตรงนั้น มองดูแล้วคล้ายหยาดเหงื่อที่นางเห็นตอนอยู่ใต้ร่างเขา
หญิงสาวพลันหน้าแดง รู้สึกสับสน ใจเต้นระรัวขึ้นมา
ดูสิ! เห็นแค่นี้ก็คิดไปไกล ใครติดใจใครคงไม่ต้องสืบกระมัง
เพ่ยหนิงกัดปาก รู้สึกราวกับมีกวางกระโดดวิ่งชนอยู่ในหัวใจ นางไม่ชอบความรู้สึกนี้เท่าใดจึงลุกจากม้านั่งกลมไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มปิดหน้า ไม่สนใจบุรุษผู้มาเยือน
จ้าวเฟิ่งไม่ใส่ใจอาการมองเมินนั้นของนาง เพียงเดินมาหย่อนกายลงนอนด้านข้าง เท้าแขนตะแคงมอง ถามเสียงนิ่ง “ระดูของเจ้าหมดแล้วหรือยัง?”
ใบหน้าเรียวเล็กแดงซ่านค่อยๆ โผล่จากผ้าห่ม นิ่วหน้าตอบ “เพิ่งมาจะหมดได้ไง”
ได้ยินดังนั้นบุรุษก็ให้รู้สึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาแค่นเสียงเย็น “ดี ดีมาก เพราะเจ้า คืนนี้ข้าถึงได้มีสภาพอนาถ”
คืนนั้น นางถูกฤทธิ์ยารุมเร้ายังมีเขาช่วย แต่คืนนี้นางกลับเป็นระดู!
จ้าวเฟิ่งดึงผ้าห่มออกจากตัวเพ่ยหนิง ทอดสายตาอ้อยอิ่งไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของนาง
สตรีที่เคยต้องมือชายแล้ว ทั่วตัวจะมีเสน่ห์อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา และชายผู้นั้นก็คือตัวเขาเองที่กำลังมองนางไม่วางตา รู้สึกอย่างถ่องแท้ถึงเสน่หาที่มีมากกว่าเดิมของนางได้อย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ผิวพรรณเนียนละเอียดของนางมองแล้วให้ความรู้สึกอยากสัมผัส อยากแตะต้อง ปรารถนาครอบครอง
แต่เมื่อได้ทำทุกอย่างตามใจแล้วกลับให้ความรู้สึกว่าไม่พอ คล้ายกับว่าทั่วตัวของนางมีเสน่ห์ยั่วยวนที่อธิบายไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา
ภาพดวงตาฉ่ำน้ำใต้คิ้วเรียวที่ขมวดยามสีหน้ากำลังเผยความเจ็บปวดสุขสม กลีบปากบวมช้ำเม้มน้อยๆ ครางเบาๆ เนินอกหิมะมีรอยจ้ำ เอวคอดกิ่วขยับขึ้นลงซ้ำๆ ตามจังหวะของเขา ภาพเหล่านั้นทำอย่างไรก็ลืมไม่ลงแม้เสี้ยวเวลา ยังมีกลิ่นเหงื่อที่หอมอบอวลไปทั่วโพรงจมูก รสชาติอันหวานล้ำที่ติดปลายลิ้น
ทุกสิ่งของนางนุ่มหวานเกินบรรยาย
จ้าวเฟิ่งไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากำลังหลงใหลทุกสิ่งในตัวเพ่ยหนิง คิดอยากรังแกนางตลอดเวลา
เขาหลับตา หวังเพียงว่ากลางลำตัวที่ยังมีเพลิงราคะตกค้างอยู่ขณะนี้จะสงบลงเสียที ทว่าจนแล้วจนรอด มันก็ยังไม่ยอมสงบ ซ้ำร้ายยังแข็งขึงมากกว่าเดิม
อ๋องหนุ่มลืมตา พลิกตัว มือข้างหนึ่งที่ร้อนผ่าวยื่นออกมา รั้งร่างนุ่มโอบกอดด้วยวงแขนที่ปวดเมื่อยจนชาหนึบ
ร่างของเพ่ยหนิงแข็งทื่อ บุรุษผู้นี้คล้ายกับอดกลั้นมานานปี เขาทำราวกับกำลังจะคุมตัวเองไม่ไหว เหมือนอยากจะฝังตัวนางเข้าไปในกายเขาจนหมด
“ท่านใจเย็น...”
จ้าวเฟิ่งขบกราม ถามเสียงขรึม “หมดเมื่อใด?”
เพ่ยหนิงกลอกตานับ “อีกสามวันห้าวัน”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “นานไป”
หญิงสาวผงกหัวเผยแก้มแดงก่ำน่ารักจากอ้อมอกร้อนผ่าว
“เรื่องนี้ท่านต่อรองกับข้าไม่ได้”
เขาเลื่อนสายตาลงต่ำ พูดเสียงเย็นชาว่า “พรุ่งนี้”
“ห๊ะ...”
เขาเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึม “ข้าหวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะสะดวก”
นางไม่มีอะไรจะตอบ และไม่มีทางบอกเขาด้วยว่าวันนี้ระดูหมดแล้ว เหอะ! ปล่อยให้เขานอนทรมานไปเช่นนี้แหละ!
ทว่าเพ่ยหนิงกลับคิดผิดไปถนัด เพราะคนที่ต้องทรมานมิใช่จ้าวเฟิ่ง แต่เป็นตัวนางเองที่ถูกเขาทำให้ทรมานจนกระสับกระส่าย
เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะมือของเขาอยู่ที่เนินอกของนาง เขาล้วงเข้าไปในเสื้อแล้วบีบคลึงอย่างถึงอารมณ์ ส่วนมือของนาง ถูกเขาจับไปกอบกุมส่วนสำคัญอันหวงแหนของเขาไม่หยุดปะไร

เพ่ยหนิงปรือตามองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาประชิดมา ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประกบอย่างอุกอาจเอาแต่ใจ หญิงสาวถูกจุมพิตที่ไม่หยาบกระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนถาโถมเข้าใส่จนมึนงงลมหายใจของนางกำลังถูกลมหายใจของเขาที่ร้อนเร่ายิ่งกว่าเตาไฟเผาไหม้จนแทบละลาย ความแข็งขืนมิผ่อนปรนของเขาทำหัวใจของนางเต้นแรง ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครอง ฝ่ามือยังถูกเขากอบกุมยากปัดป้อง เนื้อตัวถูกเขารุกเร้าเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆเพ่ยหนิงรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบ สมองขาวโพลน คล้ายถูกมอมเมาด้วยจุมพิตอันร้อนแรง ร้ายที่สุดก็คือถูกชักจูงด้วยสิ่งที่ฝ่ามือนางกุมแทบไม่หมดนั้นและก่อนที่นางจะขาดอากาศหายใจ เขาค่อยๆ ผละออก แต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายลิ้นที่ไล้เลียเปลี่ยนจูบเร่าร้อนเป็นการละเลียดชิมริมฝีปากอย่างเว้าวอน คล้ายอ้อนวอนให้ช่วยเหลือกัน“ท่านอ๋อง” นางเสียงสั่น“ช่วยหน่อย” เขาสั่งเสียงเข้ม แฝงนัยร้องขอสาวน้อยหลับตา ข่มอารมณ์ข่มใจอย่างยากลำบาก นางปวดมือมากยิ่งนางขยับ เขาก็เหมือนยิ่งขยาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป...“ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”“คืนนั้นเจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้มิใช่หรือไร
หลังจากนั้นไม่นานตัวนางก็ร้อนรุ่ม รู้สึกถึงเพลิงผลาญที่แล่นพล่านจะไปทั่วตัวก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและดิ่งลงต่ำไปที่ท้องน้อย ท้ายที่สุดนางก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของเขาเขาตัวเกร็ง นิ่วหน้ามองพวกเราต่างไม่รู้ว่าในน้ำชามีอันใดขันทีที่อยู่นอกห้องถูกเฉิงอ๋องเรียกมาสอบถามถึงได้รู้ว่าเป็นชาพระราชทานจากฮ่องเต้ที่รัชทายาทแบ่งมาให้สองมือแกร่งที่ประคองบั้นท้ายของนางซึ่งกำลังถูไถไปมาบนหน้าขาของเขาชะงักค้างไปทันที“ไหวหรือไม่?” เขาถามเสียงเครียดนางตอบเสียงสั่น “ไม่ไหว...”หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกค่ำคืน คือนางไม่ได้ออกจากห้องลับ และเขาก็จะกลับมานอนด้วยแทบทุกคืนไม่รู้ว่าใครติดใจใครเฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่แค่กระดิกนิ้วก็มีสาวงามวิ่งตามเป็นพรวนกับนางที่เรียกร้องเขาเพราะยาแค่ครั้งเดียว...หญิงสาวถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับ จากนั้นพลันลุกขึ้น กระชับชุดนางกำนัลไร้สีสันให้แน่นขึ้น ทำท่าจะเดินไปทางเตียงนอนในตอนนี้เอง ประตูเล็กฝั่งที่ติดกับห้องอาบน้ำก็เปิดออก ร่างบุรุษสูงสง่าสวมเพียงเสื้อคลุมเผยแผ่นอกตึงแน่น
นางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหลยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”“ช้าก่อน”เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้วทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”“...!?”“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”“เอ่อ...ท่ะ”ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันทีประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไปผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น
หญิงสาวรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย วิ่งไปดักหน้าเขา“พี่เฟิ่ง ท่านรู้ดีว่าตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหญิงไม่ประสา ในใจข้าก็มีเพียงท่านแล้ว ทำไมเล่า ทำไมท่านไม่มองข้าบ้าง ไยต้องมองหาสตรีที่ไม่คู่ควรที่หายตัวไปทางใดก็ไม่รู้ผู้นั้นด้วย”ฝีเท้าอันหนักอึ้งชะงักกึก หางตาจ้าวเฟิ่งกระตุกเบาๆ หวังซูเหยาเห็นดังนั้นก็เริ่มลำพองใจ สองตาปริ่มน้ำแลดูงดงามหยาดเยิ้มจึงส่งให้ไม่มีลดละ จ้องมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาคมดำไร้ก้นบึ้งของเขาอย่างจงใจด้วยสภาพของเขายามนี้หากถูกสตรียื้อเวลาให้ร่วมเสวนา เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องส่งแม่สื่อไปเจรจาหมั้นหมายตามแผนการหวังซูเหยาลอบแย้มยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนทางสำเร็จรำไรทว่าท้ายที่สุด จ้าวเฟิ่งกลับไม่ใส่ใจว่านางจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน แววตาของเขายังคงเฉยเมยคล้ายผลักไส น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบผิดกับอาการร้อนรุ่มในอก“ไม่เกี่ยวว่าข้ามีใครเคียงหรือครองตัวสันโดษ เพราะสิ่งเดียวคือข้าไม่ต้องการเจ้า”กล่าวจบเขาปรายตามองนางนิ่งๆ เดินจากไปอย่างเย็นชาอีกคราที่หวังซูเหยาทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าจนลับตา รับรู้เพียงกลิ่นอายรังเกียจที่เขาทิ้งไว้ให้แผ่ซ่าน
“น้องเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่” จ้าวเฟิ่งถามเสียงพร่าหญิงผู้นี้มีนามว่า หวังซูเหยา บิดาคือหวังซวี่ ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นับเป็นขุนนางน้ำดีผู้หนึ่ง ส่วนมารดาคือญาติผู้น้องของอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับซึ่งเป็นมารดาของเฉิงอ๋อง กล่าวก็คือ หวังซูเหยานับเป็นสตรีที่ไม่อาจดูเบาในเรื่องสายสัมพันธ์หวังซูเหยามองจ้าวเฟิ่งด้วยสายตาตัดพ้อ มีน้ำตาเอ่อคลอน่าสงสาร สื่อนัยคล้ายต่อว่าสามีที่มิค่อยกลับบ้านมาดูดำดูดีภรรยา“พี่เฟิ่ง รัชทายาททรงให้เหยาเอ๋อร์เข้าวังมาเพื่อพูดคุยกับท่านเรื่อง...เอ่อ...การหมั้นหมายของเราเจ้าค่ะ”ไม่พูดเปล่า นางยังโถมกายอ้อนแอ้นเข้าใกล้ ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้คนต้องโอบกอดเกินห้ามใจสองแขนงามราวหยกที่เกาะเกี่ยวไหล่หนาคล้ายเกาะเกี่ยวเข้าไปในอณูเนื้อตรงอกด้านซ้าย ความรู้สึกนี้แทรกผ่านเสื้อผ้าเข้าปะทะกล้ามเนื้อหน้าอกทำเอาหัวใจเต้นรัว จ้าวเฟิ่งขนลุกเกรียวลำคอบุรุษแห้งผาก หากเขาคล้อยตามนางสักเล็กน้อย แม้จะกึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อน นางย่อมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ดังใจทว่าจ้าวเฟิ่งแค่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากบาง ก้มมองนางนิ่งๆ มิได้กอด แค่ไม่หลบเลี่ยงอาจเพราะร่างกายของเขาตอนนี้กำลังมีความต้อ
รัชศกจิ้นหยวนปีที่สิบเก้า กลางเดือนสามในโถงงานเลี้ยงอันโอ่อ่าหรูหรา เบื้องบนฝั่งแท่นประธานปรากฏเรือนร่างสูงศักดิ์ขององค์รัชทายาทเด่นสง่าใบหน้าคมสันหล่อเหลาและงดงามเป็นเอกมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับริมฝีปากสีแดงสดตลอดเวลา ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าค้นหา ทั้งน่าหลงใหลชวนฝันถึงพระองค์สวมผ้าแพรสีม่วงลายมังกรสีขาวปักดิ้นสีทองอร่าม ขับเน้นให้เผยคำว่า ‘รูปงาม’ ยากหาใดเทียมเขาคือองค์รัชทายาทแคว้นจิน นามจ้าวไท่หรงด้านข้างพระวรกายสูงค่าขององค์รัชทายาทจ้าวไท่หรงคือเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำเข้มของเฉิงอ๋อง นามจ้าวเฟิ่งเดิมทีหากไม่มีบุรุษสูงศักดิ์ผู้อื่นนอกจากรัชทายาท ทุกสายตาของบรรดาคุณหนูวัยกำดัดทั้งหลายต่างย่อมต้องมองเพียงว่าที่ประมุขแผ่นดินผู้นี้ผู้เดียว ทว่าวันนี้นั้นแตกต่าง เมื่อในงานเลี้ยงมีเฉิงอ๋องอยู่ด้วย ทุกสายตาจึงเปลี่ยนมาจับจ้องที่จ้าวเฟิ่งเป็นตาเดียวเหล่าสาวงามนางรำในห้องรับรองก็เช่นกัน พวกนางต่างแอบมองบุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายอย่างจ้าวเฟิ่งจนตาเป็นมันหากเอ่ยว่ารัชทายาทหนุ่มทรงหล่อเหลารูปงามเหนือผู้คน บุรุษผู้เหมาะสมเปรียบเทียบเท่าเท








