เจี้ยนเหวินพยุงร่าง ที่นอนฟุบหน้าอยู่กับพื้น
“องครัชทายาททำไมเป็นท่าน”
จิ้งเหอชักลูกดอกที่ปักคาที่แผ่นหลังออกในทันที
“อั๊กกก เจ้าสี่เจ้าสี่เจ้า ยิงข้าทำไมกัน”
พูดได้เพียงเท่านั้นองค์รัชทายาทจูเปียวก็สิ้นสติไปในทันที เจี้ยนเหวินคุกเข่าลงจับชีพจรของ บิดา
“ท่านอาแย่แล้ว ท่านพ่อ…”
“พี่ใหญ่อดทนไว้ ข้าจะพาท่านกลับไปที่ประทับ เจี้ยนเหวินล่วงหน้าไปก่อนตามหมอหลวงให้มารับองค์รัชทายาททันทีที่ไปถึง จิ้งเหอช่วยข้าพยุงองค์รัชทายาท”
เสียงฝีเท้าม้าของเจี้ยนเหวินควบตะบึงออกจากตรงนั้น พริมมี่อ้าปากค้างไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว ก็น่าอยู่หรอกองครัชทายาทถูกลูกดอกนี่ อ้าปากค้างเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ องค์รัชทายาท อ๋อง ขันที และม้า หันมองรอบตัว นี่ไม่ธรรมดาแล้วพริมมี่มาที่นี่ได้อย่างไร ฝันจะต้องเป็นฝันหรือว่าตายไปแล้ว ก้มลงกัดแขนตัวเองอย่างแรง
“โอ๊ย เจ็บจัง”ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ฝันแล้วนี่คือเรื่องจริงความจริง
นี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้น ละละแล้วพริมมี่อยู่ที่ไหนกันไหนบอกว่านิยายดีดีจะต้องมีไม่ใครข้ามมิติมาอย่างไรเล่า เอี้ยนอ๋องจูตี้พยุงร่างสูงขององค์รัชทายาทจูเปียวให้ขึ้นไปบนม้าอย่างทุลักทุเลด้วยการช่วยเหลือของขันทีจิ้งเหอคนสนิท เอี้ยนอ๋องจูตี้ไม่วายหันมาทาง พริมมี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้ากลับไปกับขันทีข้างกายเจี้ยนเหวิน สุยหลีก็แล้วกันกลางป่าเขาอันตราย หญิงงามเช่นเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่”
“ย้าาาา”
ตวัดแส้ฟาดเข้าที่หลังม้า พาร่างไร้สติของจูเปียวบนหลังม้าให้พุ่งทะยานไปทันที จิ้งเหอกระโดดขึ้นควบม้าตามไปในทันที
พริมมี่ มองตามร่างสูงที่เร่งรีบ โธ่ รีบจะตายยังห่วงพริมมี่ช่างมีน้ำใจเสียจริง ร่างเตี้ยที่คุ้นตาของสมศักดิ์เดิน มาหยุดที่พริมมี่
“สมศักดิ์นายก็มาหรือ”
เปล่านั่นไม่ใช่สมศักดิ์ในเมื่อเสื้อผ้าหน้าผมสุดเชย ในแบบขันทีโบราณถูกห่มคลุมร่างไว้บ่งบอกฐานะขันที คำพูดในวันนั้นลอยเข้ามาในหัว
“หากย้อนเวลากลับไปผมคงเป็นขันทีส่วนพี่พริมก็คงเป็นได้แค่นางในหอซักล้าง”
“ไม่มีทางนายเป็นขันทีไปคนเดียวเถอะ”
สุ่ยหลีส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาใจ สายตาที่มองพริมมี่ไม่ได้มีความไว้ใจแม้แต้น้อย
“อย่ามองฉันด้วย สายตาแบบนี้นะ”สุ่ยหลีถอนหายใจยาว
“มีมี่ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าสิ่งที่เจ้าทำ ไม่มีผลหรอกข้าละอิดหนาระอาใจกับเจ้าเสียจริง เอี้ยนอ๋องจูตี้ไม่มีทางจะชายตามองเจ้า อีกอย่างองค์ชายเจี้ยนเหวินก็ ไม่ประสาเรื่องรักใคร่เขานะเฉยชามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“มีมี่ เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ”
“มีมี่นี่เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ถึงเราจะสนิทชิดเชื้อแต่ข้าบอกเจ้าเป็นรอบที่ร้อยว่าท่านเอี้ยนอ๋องจูตี้มีชายาที่รักมั่น องค์ชายเจี้ยนเหวินก็ไม่ชายตามองหญิงใดเจ้าไม่เคยฟัง ชอบพาตัวเองมาลำบากนี่ก็คงแอบลอบตามขบวนเสด็จประพาสมาอีกแล้วใช่ไหม”
“..............”
“ฉัน ฉันนี่นะจะทำเรื่องแบบนั้น”
เรื่องอ่อยผู้ชายคิดว่ามีแค่ในสมัยนี้นี่มีมาตั้งนานแล้วหรือ
“ถอดหน้ากากใสซื่อของเจ้าออกเสียมีมี่เราสองคนรู้จักกันมาตั้งนาน ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างเจ้าแค่เพียงนางในหอซักล้าง ท่านอ๋องกับองค์ชายไม่มีทางชายตามองเจ้าอย่าแสร้งทำเป็นคนดีไร้เดียงสา เป็นเพราะเจ้าทำให้ท่านอ๋องพลาดท่าทำร้าย องค์รัชทายาท”
เวรนี่ ไม่ได้ไม่ดีดันมาโทษพริมมี่อีกหรือ
“ไปได้แล้ว กลับไปที่ประทับ ที่นั่นป่านนี้คงวุ่นวายเพราะองค์รัชทายาทกำลังบาดเจ็บข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดี อย่าทำอะไรแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นเกรงว่าสักวัน เจ้าไร้คำแก้ตัว”
หิมะขาวเกาะที่ใบสน เป็นสีขาวละเอียดบ้างก็เป็นหยดน้ำแข็ง
พริมมี่เพิ่งรู้สึกตัวว่าต้องกอดอกด้วยความหนาว สุ่ยหลีปลดเสื้อคลุมยื่นส่งให้อย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นว่าพริมมี่หน้าซีดปากสั่น
“มีมี่ ข้าเข้าใจดีว่าเรามาจากชาวบ้านธรรมดาที่ยากจนข้นแค้น แต่ถ้าอยากจะยกฐานะของตัวเองไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกเพียงนี้”
พริมมี่ถอนหายใจ จะไปไหนได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคือที่ไหน คงจะย้อนอดีตมานั่นแหละ ต้องเอาตัวรอดจากที่นี่ก่อน
องค์รัชทายาทจูเปียวอาการสาหัส หรือว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด หรือแค่เพียงความฝันที่สมจริงของพริมมี่เท่านั้นจะด้วยเทวดาฟ้าหรือผี อะไรก็แล้วแต่ที่พาพริมมี่มา พบกับเหตุการณ์ประวัติศาสร์ของราชวงค์หมิงที่ ใครวะอยากจะรู้เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด ไม่ใช่เรื่องราวประวัติศาตร์ของไทยเสียหน่อยจะอยากรู้ไปทำไมกัน สุยหลีก้าวเดินตามร่องทางเดิน ที่ปกคลุมด้วยหิมะ พริมมี่ก้าวตามไปติดๆ
ที่ประทับแรมการเสด็จประพาส ของจักรพรรดิ์จูหยวนจาง หรือหมิงไท่จู
กองทหารแน่นหนา การอารักขายิ่งใหญ่กลางหุบเขาที่ช่วยบังลมหนาวได้เป็นอย่างดีแต่กระนั้นก็ไม่พ้นหิมะขาวปกคลุมทั่วบริเวณ ลมหนาวพัดหวีดหวิวดังเสียงร้องครวญครางด้วยความโศกเศร้า
ปี2004“คุณ พงษ์ปรีดาค่ะภรรยาคุณคลอดแล้วค่ะคุณได้ลูกสาวหน้าตาน่าชังเชียวค่ะ”พ่อของพริมมี่ รีบสาวเท้าเข้าไปยังห้องคลอด อรอุมา อุ้มทารกเพศหญิงให้ดื่มนมจากอก“โอ้ลูกพ่อ ให้ผมดูหน้าเขาหน่อย พริมมี่ของพ่อ”“คุณพงษ์ยังไม่เห็นหน้าลูกอีกหรือ อรคิดว่าคุณเข้ามาก่อนแล้ว”สีหน้าแสดงความสงสัย พงษ์ปรีดารับเอาร่างกระจ้อย“เปล่านี่”“แล้วนี่คืออะไร”คุณอรอุมาวางนาฬิกาพกลงบนเตียงสีขาวสะอาดตา“นาฬิกา”“ค่ะ อรเห็นมันวางอยู่ข้างๆ ลูกของเรา”คุณพงษ์ปรีดาหันหน้าหันหลัง“อาจเป็นใครสักคน” คว้านาฬิกาขึ้นมาดูเสียงนาฬิกายังเดินปกติ“ผมจะลองเอาออกไปไกลๆ ไม่แน่อาจเป็นระเบิดเวลาหรือมีอะไรซุกซ่อนอยู่”"ดีเลยค่ะให้พยาบาลประกาศตามหาเจ้าของดีไหม”คุณพงษ์ปรีดาพยักหน้าก่อนจะรวบนาฬิกาออกห่างจากพริมมี่น้อย“อุ๊แว อุ๊แวๆๆๆๆๆๆๆ”อยู่ๆพริมมี่ก็ร้องไห้จ้า“คุณค่ะ”คุณอรอุมาให้พริมมี่กินนม เห่กล่อมก็ไม่ยอมหยุด คุณพงษ์ปรีดาวางนาฬิกาพกลงข้างๆร่างกระจ้อย ก่อนที่ร่างเล็กจะมีรอยยิ้มทั้งๆที่เพิ่งจะคลอดออกมา“อย่าเลยคุณ บางทีนี่อาจเป็นของยายหนูก็ได้แกจึงหวงมากขนาดนี้”คุณพงษ์ปรีดาถอนหายใจ จูซุนก้าวขายาวๆ ออกจากโรงพยาบาล“ฉันรอเธออย
คุณหมอหย่งก้าวขามายืนหน้าห้องพิเศษSuper vipที่พริมมี่ นอนไม่ได้สติอยู่ที่นั่น จูซุน เอนกายลงบนเตียงนอนคู่ด้านข้าง อีกฝั่งเป็นกระจกกว้างที่มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสวย และทิวทัศน์จากมุมสูง“ก็อกๆ”เคาะประตูไปสองครั้งเบาๆ“เชิญเข้ามา” จูซุน ขยับกายนั่งห้อยขาที่เตียงนอน“คุณจูซุนขอรับ กระผมมาตรวจดูอาการของ..ของคู่รักของคุณจูซุนครับ”ร่างสูงในวัยแก่กว่าจูซุนไม่กี่ปี ก้าวขามายังเตียงคนไข้ที่พริมมี่นอนอยู่แต่กลับตะลึงจังงัง กับใบหน้าคุ้นตาของพริมมี่“อืมมมยินดีที่ได้พบกัน..อีกครั้ง”หมอหย่งไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของจูซันทว่าสะดุดใจกับใบหน้าของพริมมี่ที่เขาเอาแต่เฝ้าฝันถึง“เอ่อ คะครับผมคุณผู้หญิงท่านนี้ นอนหลับไม่ได้สติมาสามคืน แล้วตามที่ผมวินิจฉัยอาการเบื้องต้นจากข้อมูลและประวัติของคนไข้ทำให้รู้ว่าร่างกายของเธอไม่ได้มีความผิดปกติอะไรสมองยังคงสมบูรณ์ไม่ได้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมอง หรือบาดเจ็บที่ศีรษะหรือภาษาบ้านๆ คือล้มหัวฟาดหรืออะไร….”จูซุนมองหมอหย่งที่บรรยายเนิบๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของพริมมี่ มือก็สารวนกับการ ใช้เครื่องเสตทโตสโคปวางลงที่อกข้างซ้าย“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฟื้นขึ้นมาทันที”หมอหย่งถอ
"อะอะนายท่านเกรงใจไปแล้วนายท่านสูงส่งรินสุราให้สุ่ยหลีไม่เหมาะนัก""ข้าเต็มใจเจ้าดื่มหมดจอกแทนคำขอบคุณข้า"สุ่ยหลียิ้มทั้งน้ำตายกจอกสุรารินลงคออย่างไม่ลังเลเพียงพริบตาสุ่ยหลีก็คอพับลงไปกับพื้นหลับใหลไปในทันที"นายท่านโธ่นายท่าน"ตะวันบ่ายสุ่ยหลีคร่ำครวญกับกองสัมภาระน้ำตาเต็มสองตาดึงยกเป้สัมภาระไม้ไผ่ขึ้นทาบแผ่นหลัง"ข้าจะตามนายท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้""ตุ๊บ"บางอย่างล่วงลงพื้นสุยหลีทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่คลี่ก้อนผ้าที่มีตัวอักษรอยู่บนนั้น"สุ่ยหลีฟังข้าที่เป่ยจิง มีโรงเตี๊ยมชื่อว่า…สุ่ยหลีที่นั่นข้าใช้เงินสร้างมันเพื่อเจ้ากลับไปรอข้าที่นั่น หากตามขึ้นมาวันไหนที่ข้ากลับไปจึงไม่พบเจ้า ฝากดูแลตำหนักชมดาว..แทนข้า แล้วเราจึงจะได้พบกัน..อย่าฝืนบัญชาหากยังตามข้าขึ้นไปพบข้าเราจึงตัดขาดกัน"ปาดน้ำตาที่ไหลรินสะอื้นอย่างหนัก"ข้าเช่นไรจะกล้าฝืนบัญชาฝ่าบาท กล้าให้ฝ่าบาทตัดขาดกับข้า"ปาดน้ำตาแห้งเหือดหันมองเทือกเขาเหลียงซานยิ้มเศร้าๆ ก้าวขาบ่ายหน้ากลับไปยังเป่ยจิงรอวันพบกันกับจูเหวินหน้าผาสูงสลับซับซ้อน มือเรียวราวลำเทียนยึดเกาะปีนป่าย"เหลือเพียงที่แห่งนี้ที่ขายังไม่เคยเสาะแสวงหาน้ำพุกาลเวลาหวังว่
สุ่ยหลียิ้ม“เช่นนั้นเขาเหลียงซานเบื้องหน้าเหมาะที่จะปีนป่ายต่อเติมความหวังในเมื่อเราเดินทางไปมาจนทั่วยังไม่พบน้ำพุแห่งกาลเวลา บางทีควรจะลองปีนเขาดูบ้าง”เจี้ยนเหวินยิ้มกว้างเป่ยจิง"จักรพรรดิหย่งเล่อทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี"เสียงถวายพระพรดังกึกก้องเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อหรือเอี้ยนอ๋องจูตี้ในอดีตเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร หย่งเล่ออมยิ้มอดคิดถึงพริมมี่กับคำว่าหย่งเล่อหรือหยกเลอค่ายกกำไลหยกสีแดงขึ้นมามองดู"ยังคงคิดถึงเจ้าเหมือนเดิมมีมี่"พึมพำเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ"ฝ่าบาท เมืองหลวงเป่ยจิงและพระราชวังต้องห้ามบัดนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ตามพระบัญชา""ดีมาก จิ้งเหอท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องนี้""พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเป่ยจิงของเรารุ่งเรืองร่มเย็น ต่างชาติล้วนต้องการผูกมิตร""ดียิ่งแล้วข้าน้อมนำดำรัสของไท่หวงซางหมิงไท่จูสืบต่อมาหวังว่าบรรพบุรุษจะชื่นชม ครั้งนี้ตั้งใจส่งสินค้าและราชทูตยังต่างชาติต่างภาษาเพื่อเจริญสัมพันธ์ทางการทูต"จิ้งเหอประสานมือตรงหน้า"ข้าน้อยยินดีเป็นตัวแทนเดินเรือยังต่างแคว้น"จักรพรรดิหย่งเล่อยิ้มกว้าง"ดีแล้วจิ้งเหอท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง"จักรพรรดิหย่งเล่อเดินเอามื
แม้จะเจ็บปวดเพียงใดขอแค่ให้ได้ลอง พริมมี่ลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ เลือดไหลซึมออกจากอกข้างซ้าย“ฉันกำลังจะตายใช่ไหม ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหม”บนเนินเขา นั่นแสงทองสุดท้ายสาดส่องไปที่ต้นไป๋กว่อ เหลืองอร่ามใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองงดงามราวกับภาพฝัน สุ่ยหลีหยุดเกี้ยว เจี้ยนเหวินอ้าปากค้างเมื่อเห็น สีเหลืองอร่ามตานั้น“พริมมี่ ดูนั่น”พยุงพริมมี่ให้ลงไปยังต้นไป๋กว่อพริมมี่ยิ้มเศร้าๆ เสียงหายใจรวยรินหอบเหนื่อยใกล้เข้ามาแล้วสินะใกล้ถึงเวลาแล้ว“ต้องอย่างนี้สิสำหรับพริมมี่ต้องงดงามแบบนี้ พาข้าไปที่นั่นเถิด”เจี้ยนเหวินช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน พาพริมมี่ไปยังต้นไป๋กว่อเหลืองอร่ามตา“จะต้องทำอย่างไร”เจี้ยนเหวินเอ่ยปากเสียแหบแห้ง ไม่อยากให้พริมมี่ต้องจากไปถึงตอนนี้คำพูดของพริมมี่ ที่เขาคิดว่าเป็นเพียงการคาดเดากลับเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง เช่นไรจึงไม่เชื่อว่านางมาจากอนาคตแล้วหากนางจะกลับไปเช่นไรเขาจึงจะไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น“พริมมี่แค่หวังว่า จะได้กลับไปจริงๆ ขอแค่ได้ลองนาฬิกาสองเรือนนั้นพาพริมมี่มาที่นี่จะต้องพากลับไปได้แน่ ภายใต้อักษรง่ายๆ แค่กดมันลงไป พริมมี่ก็จะข้ามภพกลับไปยังที่เดิม”ยิ้มบางๆ ในใจหว
เจี้ยนเหวินยิ้มเศร้าๆ“ไม่มีนาง ไม่มีข้า ไม่พบนางไม่มีข้า เพราะหัวใจข้าแหลกสลายไปเสียแล้ว มีนางจึงมีข้า”เอี้ยนอ๋องถอนหายใจ“หวังว่าฝ่าบาทจะยังไม่ทิ้งหนานจิง”“หนานจิงกับข้า บอบช้ำพอกัน เพียงแค่ข้าไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้แม้แต่คนที่รัก ก็ไม่ควรจะลอยหน้าอยู่ได้อีก เอี้ยนอ๋องหวังว่าราชวงค์หมิงจะรุ่งเรืองดังที่เสด็จปู่ต้องการ ข้าตั้งใจเร้นกายไปกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างจึงมอบให้อาสี่จึงดี”เอี้ยนอ๋องจูตี้หลับตาลงช้าๆ สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจเขาก็อยากจะเลือกพริมมี่เช่นเดียวกับเจี้ยนเหวินแต่นางไม่เลือกเขา“เคลื่อนเกี้ยว”สุายหลี ตวัดแส้ลงบนหลังม้าทั้งหกให้พุ่งทะยานไปยังเป่ยจิงที่อยู่ห่างออกไป1,022กิโลเมตร หรือ2,044ลี้ปี2024ซุนจูยืนยิ้มมองร่างไร้สติของพริมมี่ที่ใบหน้ากลับมีสีเลือดขึ้นมากว่าเมื่อวาน“ข้าใจแทบสลายในวันนั้นวันที่ต้องพาเจ้าเดินทางรอนแรมสองพันลี้เพื่อพาเจ้ากลับมาที่นี่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องมารอเจ้าถึงหกร้อยปีอยู่ที่นี่รอเจ้านานเหลือเกินพริมมี่ เรากำลังจะได้พบกันอีกครั้ง”“ฝ่าบาท ระยะทางยาวไกลเช่นไรจะพาพระสนมไปถึงที่นั่นได้”สุ่ยหลีแสดงความกังวลเจี้ยนเหวินประคองร่างเล็กที่หายใจ