หลังจากใช้เวลาในชนบทร่วมกับองค์รัชทายาทหลี่หยางและพระชายาหวังหยู่มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติ หวังหยู่เริ่มสังเกตเห็นปัญหาใหญ่ที่อาจเป็นอันตรายต่อชาวบ้านมากที่สุด นั่นคือโรคระบาด ที่เริ่มแพร่กระจายในหมู่ชาวบ้าน เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและขาดแคลนทรัพยากรที่เพียงพอแม้จะมีการรักษาโรคเบื้องต้นและจัดยาบรรเทาให้ชาวบ้านแล้ว แต่หวังหยู่รู้ดีว่าการรักษาโรคระบาดนั้นไม่เพียงพอ หากไม่ได้ป้องกันโรคให้ถูกวิธี โรคระบาดอาจกลับมาแพร่กระจายอีกได้ทุกเมื่อหวังหยู่ใช้ความรู้ด้านการแพทย์จากตอนเป็นวายุมาช่วยในการคิดวิเคราะห์ จึงตัดสินใจเรียกชาวบ้านมารวมตัวกันที่ศาลากลางหมู่บ้าน เพื่อแนะนำวิธีป้องกันโรคระบาดและให้ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัยที่จำเป็นหวังหยู่พูดกับชาวบ้านด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและมั่นใจ “พวกท่านทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าและองค์รัชทายาทอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน แต่ข้าต้องการให้พวกท่านเข้าใจวิธีป้องกันโรคระบาด เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคร้ายนี้”ชาวบ้านที่มารวมตัวกันต่างตั้งใจฟังสิ่งที่พระชายาจะบอก ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่พระชายาขององค์รัชทายาทสนใจและห่วงใยสุขภาพของพวกเขาหวัง
ลิ้นร้อนขององค์รัชทายาทสอดเข้าไปในโพรงปากหวานของพระชายา ก่อนจะไปเกี่ยวพันกับลิ้นเรียวของร่างบาง ทั้งสองดูดแลกน้ำหวานกันจนพอใจก่อนที่ลิ้นร้อนจะผละออกแล้ว เริ่มต้นเลียตามลำคอขาวลงมาเรื่อยจนถึงหน้าอกแบนเนียน ปลายลิ้นทักทายจุกเล็กกลางหน้าอกด้วยการรัวลิ้นก่อนที่จะเอาปากครอบดูดทั้งฐานเต้านมจนจุกเล็กกลายเป็นตุ่มไต ส่วนอีกข้างที่รอการสัมผัสจากเรียวลิ้นอยู่หลี่หยางก็ใช้ปลายนิ้วเขี่ยสะกิดรอไปก่อน ก่อนที่จะเคลื่อนใบหน้าคมไปทางยอดถันที่รออยู่อีกข้าง หวังหยู่ทนเสียวไม่ไหวยกมือเรียวขึ้นมาสอดเข้าไปในเส้นผมดำเรียงตัวสวยของพระสวามีแล้วแอ่นอกสู้กับปลายลิ้นร้อน “หลี่หยาง ดูดถันข้าให้แรงๆกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ อ๊าาา ซี๊ดดด อ๊าาา อย่างนั้นแหละ อูยยยย ดีเหลือเกินพระสวามีข้า”“พระชายาข้าอยากให้เจ้าทำให้ข้า ไปพร้อมๆ กับที่ข้าทำให้เจ้า เรานอนตะแคงกันดีกว่าเจ้าช่วยอมดาบให้ข้าที” องค์รัชทายาทจับพระชายานอนตะแคงเข้าหาลำกายของตัวเอง ก่อนที่ร่างสูงจะหันศีรษะไปทางด้านแท่งหยกร้อนของพระชายาและจูบทักทายส่วนปลายด้วยลิ้นร้อนก่อน จากนั้นก็จับแท่งหยกสวยเข้าไปในปากแล้วรูดเข้ารูดออกให้ ทางด้านหวังหยู่ก็ไม่ยอมน้อยหน้า มือเร
หลังจากที่ทั้งวันองค์รัชทายาทหลี่หยางและหวังหยู่ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นทั้งสองรู้สึกสบายใจที่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เมื่อค่ำคืนมาเยือนความเหนื่อยล้ากลับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศที่สงบเงียบและสวยงามของชนบท ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ส่องแสงอ่อน ๆ สร้างบรรยากาศที่โรแมนติกและอบอุ่นยิ่งขึ้น หลี่หยางมองดูพระชายาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของหวังหยู่เป็นประกาย แม้หวังหยู่จะดูเป็นคนที่บอบบางน่าทะนุถนอมมากกว่าในสายตาของคนที่ได้พบเห็น แต่ทว่าตอนนี้ องค์รัชทายาทรู้แล้วว่าพระชายาเป็นคนที่แข็งแกร่งและสามารถต่อสู้หรือทำงานหนักเพียงใด และในเวลานี้ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องหวังหยู่ดูงดงามและอ่อนโยนอย่างที่สุด หลี่หยางที่นั่งเงียบข้างหวังหยู่มองท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันมามองพระชายาอย่างต้องมนต์ สายลมเย็น ๆ พัดผ่านเบา ๆ ทำให้บรรยากาศดูเป็นใจเหมาะสำหรับเกี้ยวพระชายา “เจ้าเหนื่อยมากหรือเปล่า” หลี่หยางถามเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีความห่วงใย หวังหยู่ยิ้มเล็กน้อยขณะที่มองดวงจันทร์ “นิดหน่อย แต่ข้ารู้สึกดีท
หวังหยู่ พบว่าขบวนของเขาถูกลอบโจมตีอย่างไม่คาดคิด ขณะที่ขบวนคุ้มกันเล็ก ๆ ของเขากำลังเดินทางผ่านเส้นทางที่เปลี่ยวและคดเคี้ยวในชนบท มือสังหารที่ซุ่มโจมตีเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น พวกเขาฟันฝ่าผ่านแนวป้องกันขององครักษ์เข้ามาได้บางส่วนหวังหยู่ที่เคยผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และวิทยายุทธ์ในยุคปัจจุบันยังคงมีสติและความมั่นใจ เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการทดสอบที่สำคัญ เขาไม่สามารถพึ่งพาใครได้ ต้องอาศัยฝีมือของตัวเองทันทีที่มือสังหารเข้ามาในระยะ หวังหยู่กระชับดาบในมือและใช้ทักษะการต่อสู้ที่รวดเร็วและแม่นยำ เขาป้องกันการโจมตีของมือสังหารได้อย่างง่ายดาย สัญชาตญาณของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังอยู่ในสนามประลองยุทธ์หวังหยู่พลิกตัวและตวัดดาบฟาดใส่มือสังหารคนแรกที่เข้ามาใกล้ได้สำเร็จ ร่างของศัตรูที่ล้มลงกับพื้น ทำให้มือสังหารที่เหลือต้องถอยออกไปอย่างชั่วครู่“ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้ามาทำร้ายข้าและองค์รัชทายาทได้ง่าย ๆ” หวังหยู่พูดเสียงเข้ม พลางประเมินสถานการณ์รอบตัวอย่างรวดเร็วมือสังหารอีกหลายคนยังคงพยายามบุกเข้ามา แต่หวังหยู่ก็สามารถรับมือได้ทุกการโจมตี เขาใช้ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหว บาง
ท่ามกลางความสงบสุขและความรักที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่าง องค์รัชทายาทหลี่หยางและพระชายาหวังหยู่กลับมีเงาแห่งความอิจฉาแฝงอยู่ในมุมมืดของราชสำนัก ผู้ที่รู้สึกขัดเคืองใจและเต็มไปด้วยความอิจฉาคือโอรสจากพระสนมที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก องค์ชายหลี่จิ้งพระโอรสของพระสนมฉินฮวา ที่เติบโตขึ้นมาด้วยความทะเยอทะยาน และรู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับตำแหน่งที่สูงกว่า เขามักจะเห็นว่าหลี่หยางได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่เสมอ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากขุนนางต่าง ๆ จนเป็นรัชทายาทผู้ที่เหมาะสมจะสืบทอดบัลลังก์ แต่ในสายตาของหลี่จิ้ง สิ่งนี้ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย เขามองว่าตนเองมีความสามารถและควรคู่ที่จะได้รับตำแหน่งรัชทายาทเช่นกัน ความทะเยอทะยานที่ล้นเกินกลายเป็นความอิจฉาริษยา จนในที่สุดเขาก็เริ่มวางแผนที่จะโค่นล้มหลี่หยางและขึ้นเป็นรัชทายาทแทน องค์ชายหลี่จิ้งใช้เวลาหลายคืนเฝ้าคิดหาทางทำลายชื่อเสียงขององค์รัชทายาทหลี่หยาง และลอบวางแผนที่จะก่อการบางอย่าง แผนเเรกที่ตำหนักนอกเมืองพลาด เขาเริ่มหาพันธมิตรจากเหล่าขุนนางที่ไม่พอใจในอำนาจของรัชทายาท และรู้ดีว่ามีหลายคนในราชสำนักที่ไม่พอ
ข่าวการลอบทำร้ายองค์รัชทายาทหลี่หยางและพระชายาแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักอย่างรวดเร็ว เมื่อข่าวการที่องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บขณะปกป้องพระชายาถูกส่งไปถึงฮ่องเต้ พระองค์ทรงกริ้วอย่างยิ่งที่มีคนบังอาจลอบทำร้ายพระโอรสผู้เป็นที่รัก และเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์โดยตรง ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ทหารและองครักษ์ออกตามล่าตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอย่างเร่งด่วน การลอบทำร้ายองค์รัชทายาทไม่เพียงแต่เป็นการท้าทายอำนาจของพระองค์ แต่ยังเป็นภัยต่อราชสำนักและความมั่นคงของแผ่นดิน พระองค์จึงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมเหล่าขุนนางและองครักษ์ผู้รับผิดชอบทั้งหมด พร้อมประกาศด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใครก็ตามที่บังอาจลอบทำร้ายองค์รัชทายาท ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปได้ พวกเจ้าจงเร่งมือค้นหาตัวคนทำผิดมาให้ได้โดยเร็วที่สุด และข้าต้องการรายงานความคืบหน้าโดยด่วน” บรรดาขุนนางและองครักษ์ต่างรับคำสั่งด้วยความเคร่งเครียดและเร่งมือออกสืบหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้ ขณะที่พระองค์เองก็ทรงรู้สึกกังวลต่อความปลอดภัยขององค์รัชทายาทหลี่หยาง จึงตัดสินพระทัยเสด็จไปเยี่ยมพระโอรสด้วยพระองค