LOGINในวันที่คำพูดของนางเป็นเพียงลมปาก ถูกเขาเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด่าทอสารพัด หยามน้ำใจ และไม่ให้เกียรติ กล่าวหาว่านางเป็นสตรีร่าน ต่ำทรามกล้าสวมหมวกเขียวให้สามีอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่นางรักเขา...รักมากจนยอมยกทุกสิ่ง ยอมให้สตรีอื่นก้าวเข้ามาในเรือน นางยอมทุกอย่างเพียงเพื่อให้เขามีความสุข แม้ต้องแบ่งบุรุษที่เป็นสามีให้สตรีอื่น แต่สุดท้ายสิ่งตอบแทนที่ได้กลับเป็นความตายอย่างน่าสมเพช ไป๋ซูหนิงถูกบุรุษผู้นั้นสั่งลงโทษโดยไม่เคยถามไถ่ความจริง มิหนำซ้ำยังทำราวกับว่านางก่อความผิดใหญ่หลวง ทั้งที่นางบริสุทธิ์ใจต่อเขาถึงเพียงนี้ทว่าเซี่ยจวิ่นอี้กลับมอบผ้าขาวและยาพิษให้นางเลือก...เสแสร้งทำราวกับเป็นผู้มีเมตตาเสมือนเป็นบุญคุณก้อนสุดท้าย สิ่งที่เขามอบให้นั้นคือความตาย! ในคืนฟ้าฝนโหมกระหน่ำ นางสิ้นใจอย่างอนาถ พร้อมกับบุตรในครรภ์ที่ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ทว่า…ฟ้ากลับให้โอกาสนางได้ย้อนคืนมา ชาตินี้ ภพนี้ ต่อให้ต้องดิ้นรนเลือดตากระเด็น นางจะไม่ข้องแวะกับบุรุษผู้นั้นอีก! ไป๋ซูหนิงสาบาน จะพาบุตรในท้องหนีไปให้ไกลจนบุรุษผู้นั้นไม่อาจเอื้อมมือคว้านางได้อีกแน่!
View Moreวันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งวันไร้วี่แววว่าจะหยุดลงราวกับว่าพายุห่าใหญ่พัดผ่านมาไม่สิ้นสุด เสียงท้องฟ้าคำรามดังกึกก้องสั่น สะเทือนสะท้อนไปทั่วราวกับสวรรค์กำลังโกรธเกรี้ยว
ณ จวนเซี่ย ผู้คนทั้งจวนแทนที่จะยืนหลบฝนแต่กลับกางร่มท่ามกลางสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาไม่หยุด บางคนถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บจากละอองฝนแต่ไม่ลดละจากไป สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังร่างของสตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรพชนมานานหลายชั่วยาม ไร้วี่แววจะลุกหรือหาที่หลบฝน “…” อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ใบหน้าคนงามซีดเซียว ริมฝีปากบางที่เคยอวบอิ่มกลับซีดสลดจนคล้ำคล้ำจางๆ “พี่หญิงก็ยอมรับมาเถอะเจ้าค่ะ ว่าท่านสวมหมวกเขียวให้ท่านพี่จริงๆ ความสัมพันธ์ของท่านกับเว่ยอ๋องลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นสหายสนิท!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นแข่งกับเสียงฝนสาดกล่าวออกมาอย่างเหน็บแนมไร้ซึ่งความเห็นใจ “ไฉนเลยบุรุษและสตรีจะเป็นเพียงสหายกันได้” เหม่ยจินฮวายืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เยื้องจากห้องบรรพชนเล็กน้อย สายตาของนางทอดมองสตรีตรงหน้าด้วยความสมเพชฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ขัดกับน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเห็นใตเมื่อครู่… ร่างที่ตากฝนมาหลายชั่วยาม หากเป็นบุรุษคงไม่อาจทนได้เช่นนี้ ทว่าไป๋ซูหนิงกลับคุกเข่าแน่นิ่งไม่ไหวติงและไม่แม้แต่จะขยับพลิกกายเปลี่ยนท่าราวกับก้อนหินแข็งทื่อ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งทอดมองห้องตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว หากมองดูเพียงผิวเผินก็มีแต่ความดื้อรั้น หาได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย! ทว่ากลับเจือไปด้วยความขมขื่นและเจ็บปวด ไป๋ซูหนิงเหลือบสายตาขึ้นมองสตรีผู้นั้น ใบหน้าฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างดูแคลนทันที “เจ้าทำสำเร็จแล้ว เหม่ยจินฮวา ฉลาดไม่น้อย…นึกว่าจะโง่งมเหมือนใบหน้าเสียอีก” น้ำเสียงหวานแหบพร่าที่โต้ตอบกลับมาแม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินทว่าเหม่ยจินฮวากลับจับได้ทุกคำ นางหายใจแรงอย่างขุ่นเคือง มือทั้งสองข้างกำแน่นข่มโทสะสุดแรง ก่อนจะกัดฟันเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา “หึ! อวดดีเช่นนี้ พี่หญิงคงได้คุกเข่าสำนึกผิดจนตายแน่!” ไป๋ซูหนิงตวัดสายตามองขวางใส่อีกฝ่าย นางหาได้เกรงกลัวความตายไม่…เหตุใดจึงต้องยอมรับความผิดที่มิได้ก่อ ทั้งที่นางไม่มีความคิดที่จะสวมหมวกเขียวให้สามีเลยด้วยซ้ำ “วางใจเถอะ น้องหญิง…หากข้าตายย่อมไม่มีวันลืมเจ้าแน่” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วพร่าเย็นเยียบ จนแม้แต่เหล่าสาวใช้ที่ยืนมองอยู่รอบบริเวณกลับรู้สึกขนลุกซู่ไปตามๆ กัน “นายท่านขอรับ…ทำเช่นนี้เกินไปกระมัง” เซี่ยจวิ้นอี้ยืนทอดสายตามองสตรีเบื้องหน้าอยู่ภายในเรือน สายตาคมลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใด มุมปากหนาหยักยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไร้ความรู้สึก ราวกับมิได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาตลอดหลายปี “เกินไปหรือ…” เขาเลิกคิ้ว เส้นเลือดบนหลังมือปูดโป่งเมื่อกำหมัดแน่น “เหอะ! หากข้าสังหารสตรีชั่วกับมือก็คงไม่นับว่ามากเกินไปกระมัง”” กู้เฟิงได้ยินถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง ราวกับมีก้อนหินนับพันชั่งกดทับอยู่ในใจ เขาทอดสายตามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นร่างฮูหยินตากฝนจนเปียกปอนไร้เรี่ยวแรง จึงเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจไม้ได้ เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงใจแข็งได้เพียงนี้กัน… “เช่นนั้น…ท่านทำเช่นนี้ ก็มิต่างจากสังหารนางหรือขอรับ” เสียงของกู้เฟิงเจือความอัดอั้น “ไฉนเลยกล้าปล่อยฮูหยินให้นั่งตากฝนเปียกปอนมาหลายชั่วยาม โดยไม่คิดสงสารหรือเห็นใจนางแม้แต่น้อย…” ประโยคนันทำให้แววตาของเซี่ยจวิ้นอี้วูบไหว เขาเผลอขบกัดกรามจนขึ้นสันแน่น ทันใดนั้น…ภาพเหตุการณ์บางอย่างแวบเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่ สตรีชั่ว!…หรือเขาสมควรฆ่านางเสียให้สิ้นเรื่อง! เพราะเขาตามใจ ไม่เคยเอ่ยปากห้ามอันใดแม้ครึ่งคำ หาได้หมายความว่านางจะทำสิ่งใดลับหลังและทรยศเขาได้! สตรีผู้นี้ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกนัก ไม่รักดี! สายตาคมกริบแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความโกรธ “อวดดี! ทั้งที่ข้าให้โอกาสพูดแต่กลับทำเป็นใบ้ไม่ยอมเอ่ยปากแม้แต่คำเดียว!” กู้เฟิงรู้ว่าผู้เป็นนายโกรธมากจริงๆ เขายังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด สายตาก็พลันมองเห็นอีกฝ่ายก้าวออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว “นายท่านจะไปที่ใดขอรับ!” ห้องบรรพชนของจวนสกุลเซี่ยหาได้ตั้งอยู่ท้ายจวนไม่ หากตั้งอยู่ในเรือนชั้นใน ผู้ใดเดินผ่านย่อมเห็นได้ถนัดตา เพราะสร้างไว้เพื่อให้คนในจวนคำนับบรรพชนได้สะดวก…ไม่ใช่เฉพาะแค่วันสำคัญเท่านั้น ไป๋ซูหนิงเม้มริมฝีปากซีดแน่น ร่างสั่นระริกจากความหนาวเย็นที่กัดกินถึงกระดูก ทว่านางได้เปล่งเสียงอ้อนวอนแม้ครึ่งคำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งพลันมองเห็นร่างคุ้นตาของบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาพอดี มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความประหม่า หัวใจที่สงบนิ่งกลับเต้นระส่ำอย่างห้ามไม่อยู่ “…” “นายท่านเซี่ย!” เหล่าสาวใช้ที่ยืนมุงดูฮูหยินตามระเบียงและริมชายคาต่างหยุดชะงักตกใจ บ้างก็หลบสายตาคมกริบน่าหวาดกลัวคู่นั้นจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ “ท่านพี่!” น้ำเสียงของเหม่ยจินฮวาดังขึ้นทันที เมื่อสาวใช้ข้างกายสะกิดส่งสัญญาณ นางละสายตาจากสตรีตรงหน้า ดวงตาคู่งามที่เมื่อครู่ฉายแววเหยียดหยามสมเพช พลันแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนปนสงสารอย่างรวดเร็ว นางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปหา แต่กลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มตวาดลั่นจนร่างแข็งทื่อ “จวนสกุลเซี่ยไม่มีสิ่งใดให้พวกเจ้าทำแล้วหรือ! หรืออยากไปคุกเข่าสำนึกผิดพร้อมนาง!” เซี่ยจวิ้นอี้คำรามลั่น สายตาคมกริบจ้องสบกับสตรีอวดดีผู้นั้นพอดี มือยังคงกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโป่ง เหล่าสาวใช้รอบบริเวณสะดุ้งเฮือก ถอยหนีกันอย่างรวดเร็ว บางคนยังลังเลเพราะห่วงฮูหยินที่กำลังตากฝน เหม่ยจินฮวาได้ยินแล้วอดลอบยิ้มสะใจไม่ได้ สูดลมหายใจลึกกดความพึงใจนั้นลง ก่อนตีหน้าเศร้าเสแสร้ง “ท่านพี่! นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว หากพี่หญิงยังนั่งตากฝนทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ เกรงว่าจะล้มป่วยเป็นแน่” “หากนางตายไป…ก็นับว่าสมควรแล้ว” ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.) แม้จะดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ทว่าพายุฝนกลับไม่มีวี่แววจะสงบหรือหยุดลงแต่กลับยิ่งกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามก้องลากยาวสะท้อนทั่วฟากฟ้าอย่างน่าหวาดหวั่น ร่างของไป๋ซูหนิงเริ่มโอนเอน ไร้เรี่ยวแรงประคอง คล้ายจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ใบหน้าคนงามซีดเซียว ไร้สีเลือดฝาดจนแทบไม่ต่างจากร่างไร้ลมหายใจ และดวงตาคู่งามที่เคยเปล่งประกายราวดวงดาวกลับหม่นแสง…ไร้ซึ่งชีวิตชีวา มือทั้งสองค่อยๆ สั่นระริก ยกขึ้นลูบหน้าท้องผ่านอาภรณ์ที่เปียกชุ่ม น้ำฝนเย็นเฉียบซึมถึงผิว แต่กลับไม่เย็นยะเยือกไปกว่าความรู้สึกผิดที่กัดกินในอก “ฮูหยิน…นายท่านเซี่ยทรงมีเมตตา อย่างไรเสียก็เห็นแก่ความสัมพันธ์สามีภรรยาที่เคยมีกันมาในอดีต” เสียงของแม่บ้านดังขึ้นแผ่วเบา นางย่ำเท้าลงบนแอ่งน้ำข้างทาง เดินเข้ามาช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ด้านหลังฮูหยินของจวน มือถือถาดที่มีผ้าขาวผืนหนึ่งและจอกน้ำชาหนึ่งใบ ข้างกายมีสาวใช้กางร่มบังฝนให้ ขณะที่ฝนยังคงโปรยกระหน่ำไม่หยุด… เดิมทีสติของไป๋ซูหนิงก็เลือนรางอยู่แล้ว ยามค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทราสลัวริบหรี่ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะปรายหางตามองผู้มาใหม่ หึ! เมตตาหรือ…? ไป๋ซูหนิงแค่นเสียงในใจ หาได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงเงียบงันรอฟังถ้อยคำของอีกฝ่ายต่อ ไม่แม้แต่คิดจะขัดค้าน น้ำเสียงของแม่บ้านเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ทว่าเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายลมในฤดูเหมันต์ “นายท่านเซี่ยได้มอบทางเลือกให้ฮูหยินเพื่อรักษาเกียรติและหน้าจะเลือกผ้าขาวผูกคอตนเองหรือดื่มยาพิษสิ้นใจดีหรือเจ้าค่ะ หากปฏิเสธไม่เลือก…พรุ่งนี้ฟ้าสางจะตัดสินโทษประหารตะบั่นหัวทิ้งทันที!” เปรี้ยง! ทันทีที่สิ้นคำ เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ คล้ายจะผ่าลงกลางจวนเสียให้ได้ ทว่า…ร่างของไป๋ซูหนิงกลับยังคงนิ่งงัน ใบหน้าคนงามแต้มรอยยิ้มเย้ยหยัน ฉายชัดทั้งความขมขื่นและเจ็บปวด “เขาอยากให้ข้าตายหรือ…” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ราวกับรู้อยู่เต็มอกถึงคำตอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่คิดจะเอ่ยถ้อยคำใดออกไปให้น่าสมเพชไปกว่านี้อีก ไป๋ซูหนิงกำมือแน่น สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ร่างบอบบางที่คุกเข่ามาหลายชั่วยามแทบทรุดฮวบเมื่อยืนขึ้น สองขาสั่นระริกไร้เรี่ยวแรง ทว่าใบหน้ายังคงฉาบรอยเย้ยหยัน ทันใดนั้น…ความเจ็บปวดหน่วงแผ่ซ่านขึ้นจากหน้าท้องจนไป๋ซูหนิงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าย่ำแย่ซีดเผือด ร่างบิดเกร็งด้วยความทรมาน เลือดสีแดงสดเริ่มไหลย้อนลงตามเรียวขางาม เปรอะเปื้อนอาภรณ์จนชุ่ม ซึมไปกับน้ำฝนที่โปรยกระหน่ำ กลายเป็นสีแดงฉานในพริบตา ในความมืดมิด แม่บ้านหาได้สังเกตเห็นอาการนั้น นางเห็นเพียงท่าทางอวดดีของสตรีตรงหน้าเท่านั้น จึงก้าวเข้ามาใกล้ ถาดในมือยังคงวางผ้าขาวและจอกยาพิษไว้แน่นิ่ง “หากตัดสินใจเลือกได้แล้ว…ก็หยิบได้เลยเจ้าค่ะ” ไป๋ซูหนิงลอตัวลงเล็กน้อย นางกัดฟันกรอดฝืนความปวดหนึบที่บริเวณท้อง นางยื่นมือคว้าจอกยาพิษขึ้นมา น้ำเสียงหวานแผ่วเบาสั่นเครือเอ่ยถาม “ยาพิษจอกนี้…รสชาติดีหรือไม่” พอสิ้นคำถาม…ไม่รอคำตอบ นางกระดกดื่มลงไปในรวดเดียว ความร้อนผ่าวแผดเผาไหลลวกคอ ลามไปทั่วทั้งร่าง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นทวีคูณจนฝืนทนยืนไม่ไหว ล้มลงกองกับพื้นในทันที เพล้ง! จอกยาพิษหล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น เสียงดังแข่งกับเสียงฝนโปรยไม่หยุด เลือดสีแดงฉานยังคงไหลย้อนลงตามเรียวขาไม่ขาด มือทั้งสองกำหน้าท้องแน่นจนสั่นระริก นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแข็งกร้าวฉายแววโกรธแค้นสุดขีด จ้องมองไปยังเรือนหลังหนึ่งในความมืดด้วยความเคียดแค้นแน่นอก เซี่ยจวิ้นอี้…ชาตินี้ ภพนี้ ข้าและท่านไม่เกี่ยวข้องกันอีก!หลายเดือนผ่านไปจวนสกุลไป๋เผชิญเรื่องราวมากมายจนหาความสงบไม่ได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดกีดขวางและแม้กิจการของสกุลไป๋จะมีเศรษฐีมู่คอยจัดการให้ ทุกอย่างราบรื่นจนแทบไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ครรภ์ของคุณหนูก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด สุขภาพทั้งมารดาและบุตรก็แข็งแรงสมบูรณ์หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นเต้นรอคอยวันที่จะได้พบเด็กน้อยผู้นั้น คุณชายไป๋ทั้งสามต่างก็หลงหลานกันไม่ต่างกัน และนายท่านมู่ก็ไม่แพ้กัน ถึงขั้นอยากย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในจวนสกุลไป๋เพื่อดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด แต่ถูกคุณชายทั้งสามห้ามไว้เสียก่อนแม้คุณหนูไป๋กับเศรษฐีมู่จะยังไม่ได้แต่งงานร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นที่รู้กันในชิงโจวว่างานมงคลครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าแน่!ไป๋ซูหนิงนอนเอนกายริมสระบัว สายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย เคลิบเคลิ้มเกือบจะหลับไปหลายครั้งนัยน์ตาคู่สวยหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้ว นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน นอกจากนอนและกินเกือบทั้งวัน“อาเหยียน…” เสี
น้ำเสียงหวานแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เจือไปด้วยความโกรธลึกอย่างถึงที่สุด ภายในใจของนางก็เดือดดาลไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างกำจนข้อนิ้วขาวซีด ลมหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นทึ่มนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า หาได้กระพริบตาหรือหลบสายตาเลยแม้แต่น้อยมู่เหยียนเจ๋อรู้สึกปวดใจจริงๆ ไหนเลยยามนี้นางจะยังท้องอยู่อีก เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความอ่อนโยน“หากยุ่งยากนักก็ปล่อยให้ข้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าและข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” เขาไม่อยากเห็นนางโกรธ หรือต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้บังอาจทำให้อารมณ์ของนางต้องขุ่นเคืองและมัวหมองเด็ดขาด!“อือ! พวกเจ้าพานางเข้าไปในจวนเถอะ” ไป๋อวี่เซวียนเห็นด้วย เขาออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนมองอยู่ อย่างรวบรัด หาได้ให้อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธจัดการเอง มองดูแล้วคนสกุลเซี่ยผู้นี้ไม่มีทางยอมจากไปโดยง่ายแน่!เกรงว่าคงจะได้โดนเขาตีก่อนจริงๆ ถึงจะหลาบจำมู่เหยียนเจ๋อว่ามือลงบนหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบาสัมผัสแรกพลันทำให้หัวใจแกร่งกระตุกวูบ แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกอยากจะกางแขนใช้ทั้งชีวิตปกป้อง สายตาคมกริบช้อนสบกับสตรีตรงหน้า “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะปล่อยให้แมวกินปลาย่างได้!เหม่ยจินฮวาหาได้คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ล้วนเจอสายตาแปลกประหลาดจับจ้อง นางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยมทันทีทว่าเมื่อก้าวเข้าห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางชะงัก เมื่อสามีที่สมควรจะนอนแผ่อยู่บนเตียงกลับหายตัวไปเหลือเพียงไออุ่นจางๆ บนฟูกเป็นหลักฐานว่ามีเคยคนอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานก่อนเพียงชั่วขณะนั้น ความอดทนที่อดกลั้นมาหลายวันพลันพลุ่งพล่านแตกกระจาย ราวกับหม้อต้มเดือดจัดจนฝาปิดกระเด็น เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวหลุดจากปาก ดวงตาคู่งามแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับเต้นตุบๆ อย่างเด่นชัด มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเสียงแหลมปรี๊ดของนางดังลั่น ข้าวของบางชิ้นแตกกระจาย บางชิ้นหล่นกระแทกพื้นดังสนั่น ความโกรธเกรี้ยวของเหม่ยจินฮวาทำเอาห้องข้างเคียง ห้องตรงข้ามรวมถึงชั้นบนชั้นล่าง ต่างพากันได้ยินและรีบแห่มาดูอย่างตื่นตระหนก ทว่านางหาได้สนใจไม่แต่กลับตะโกนเรียกหาเจ้าของโรงเตี๊ยมแทน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอหรือสายตาสาปส่งของผู้คนแม้แต่น้อยเหม่ยจินฮวาถามกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่สองสามประโยคก็ได้ความว่า ตอนนี้เขา
กว่าจะเดินทางมาถึงชิงโจวก็ใช้เวลาหลายวัน แล้วยิ่งห่างภรรยาเกือบสองเดือน เซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตามเซี่ยจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยม สายตาคมกริบกวาดมองถนนยามสายที่หาได้คึกคักเหมือนวันแรกที่มาถึง และยอมรับตามตรงว่า เขาไม่รู้แม้แต่ว่าควรเริ่มตามหาภรรยาจากที่ใดโรงเตี๊ยมที่พักอยู่เป็นกิจการของสกุลไป๋ แซ่เดียวกับภรรยา เมื่อซักถามอยู่พักใหญ่จึงได้ความว่า ในชิงโจวมีเพียงสกุลไป๋ตระกูลเดียว ทว่ามีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีสตรีตามที่เขาตามหาเพียงเท่านี้ก็พอให้เขามั่นใจได้แล้ว เขาจำได้ว่าไป๋ซูหนิงเคยเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสามให้ฟัง เพียงแต่ตอนนั้นเขาอาจมัววุ่นอยู่กับงาน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ใครจะคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะหนีจากจวนไปเช่นนี้ จนต้องการมาตามหาเซี่ยจวิ้นอี้เดินตามทางที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแนะนำ อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง สายตาคมสอดส่องไปทั่ว ไม่แน่ว่าจะบังเอิญอาจได้พบนางระหว่างทางก็ได้ทว่ากลับผิดคาด…ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงกำยำ อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านและกลิ่นอายของขุนนาง ทำให้ระหว่างทางไม่ว่าผู้ใดต่างก็อดเหลียวมองไม่ได้ ราวกับถูกสะกดจนยา
ไป๋ซูหนิงไม่รู้ว่าเมื่อวานพี่ชายทั้งสามของนางพูดอะไรกับนายท่านมู่บ้าง เหตุใดเช้าวันถัดมาจึงส่งรถม้าสกุลมู่มารับนางถึงที่จวนโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากห้ามหรือแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาทางสีหน้า เพียงแค่กล่าวว่า เห็นนางอุดอู้เอาแต่อยู่ในจวนหลายวัน สมควรออกไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้างไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ ออกมาอย่างว่าง่ายจวนสกุลไป๋อยู่ไม่ห่างจากตลาดนัก ทว่าตลอดทางนางเอาแต่นั่งเงียบ เก็บเงื่อนงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่เอ่ยถามสักคำ เพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่วางใจจนกระทั่งเสียงล้อรถม้าหยุดลง“หากคุณหนูไป๋เปลี่ยนใจ ไม่อยากลงเดินแล้ว แต่อยากจะนั่งจ้องข้าเช่นนี้ ก็กลับดีกว่าหรือไม่ ข้าจะนั่งให้มองจนกว่าจะเบื่อ”มู่เหยียนเจ๋อรู้สึกได้ว่านางจ้องเขามาตลอดทาง ทั้งที่สงสัยมากแต่กลับนิ่งเงียบ เขาหันมาสบตากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีไป๋ซูหนิงชะงัก ก่อนเรียกสติกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ อย่างเก้อเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น “วันนั้น…พี่ชายข้าพูดอะไรกับนายท่านมู่กันแน่”นางถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมู่เหยียนเจ๋อลงจากรถม้า แล้วยื่นมือประคองนางลงอย่างระมัดระวัง สายตาคมเฝ้ามองทุกฝีเท้าราวกับกลัวว่าจะพลาดแล้วคว้
ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันสองคน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่คุณชายไป๋ทั้งสามไม่เปิดโอกาสให้เศรษฐีมู่ผู้นี้ได้พูดคุยกับคุณหนูอย่างสงบแต่กลับชักชวนอีกฝ่ายมาดวลหมากด้วยกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ดื่มน้ำชาเพียงจอกเดียว แล้วไล่ออกไปจากจวนทันที ทว่าด้วยความตั้งแง่ จึงอยากข่มขู่หยั่งเชิงเพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในจวนกลับคุกรุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันปกคลุมทั่วบริเวณสาวใช้ที่อยู่แถวนั้นพลันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียเอง ไม่ว่าจะสายตาจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมของคุณชายทั้งสามที่จ้องเขม็งนายท่านมู่ พลางทำให้พวกนางรู้สึกแทบกระอักกระอ่วนแทนไป๋ซูหนิงนอนเอนกายทอดสายตามองลานประลองหมากตรงหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างเบิกบาน“เสี่ยวเถา…เจ้าว่า พี่ชายของข้าจะแพ้หรือไม่”เสี่ยวเถาจ้องหมากกระดานอย่างตั้งใจ ก่อนจะปรายตามองคนถาม “คุณหนูว่าอย่างไรเจ้าคะ”“พี่ชายของข้าชอบดวลหมากมาก เกรงว่าคงฝีมือดีแต่กับนายท่านมู่ที่วันๆ คงดีดลูกคิดนับแต่เงิน” ไป๋ซูหนิงกล่าวตามที่เห็น แม้พี่ชายทั้งสามนั้นต่างมีนิสัยและความชอบต่างกัน ทว่าหากเมื่อใดว่าก็ชักชวนกันดวลมาก






Comments