เมื่อหมอหนุ่มข้ามเวลามาเป็นพระชายาแห่งองค์รัชทายาท การปรับตัวในวังหลวงและการต่อสู้เพื่อหัวใจความรักองค์รัชทายาทท่ามกลางการต่อสู้ซับซ้อนทางการเมืองและบททดสอบครั้งใหม่ในโลกที่เขาไม่เคยรู้จัก กำลังรออยู่
View Moreท่ามกลางแสงไฟนีออนสว่างไสวของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาอย่างรีบเร่ง เสียงโทรศัพท์ดังสนั่นจากเคาน์เตอร์พยาบาล แพทย์และพยาบาลต่างทำงานแข่งกับเวลาเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วย แต่ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแผนกวิสัญญีและห้องผ่าตัด ด้วยท่าทีสงบและมั่นใจ
“เตรียมคนไข้พร้อมหรือยัง” น้ำเสียงหนักแน่นของเขาดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจของห้องผ่าตัด นายแพย์ วายุ รัตนะวาทิน ศัลยแพทย์หนุ่มวัย 28 ปี ผู้มีฝีมือเป็นที่ยอมรับและโดดเด่นในวงการการแพทย์ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสวยหวานแม้แต่ผู้หญิงยังต้องอายผสมผสานกับแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความใจเย็น ทำให้เขาเป็นแพทย์ที่ผู้ป่วยทุกคนต่างไว้วางใจ
“พร้อมแล้วค่ะคุณหมอ” พยาบาลตอบกลับ ก่อนที่ประตูห้องผ่าตัดจะปิดลง
วายุเป็นแพทย์ที่ไม่เพียงแต่มีทักษะทางศัลยกรรมหัวใจและหลอดเลือดที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีความอดทนและความสงบในการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาในห้องผ่าตัดเปรียบเสมือนศิลปินที่กำลังบรรเลงบทเพลงอย่างชำนาญ การผ่าตัดที่ซับซ้อนและยากลำบากกลายเป็นเรื่องที่ดูง่ายเมื่ออยู่ในมือของวายุ
“รอดูอาการในห้องไอซียูอีก 48 ชั่วโมง แต่โอกาสรอดเกิน 90%” นายแพทย์วายุกล่าวหลังการผ่าตัดสำเร็จ ผู้ป่วยที่เคยมีสภาพวิกฤติก่อนหน้านี้ได้รับโอกาสอีกครั้งจากการรักษาของเขา
เขายืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ตรวจดูผลลัพธ์ของการผ่าตัดหัวใจด้วยความพอใจ ท่ามกลางคำชื่นชมจากทีมแพทย์และพยาบาลรอบข้าง แต่ทว่าภายใต้รอยยิ้มบาง ๆ ของเขา กลับซ่อนความเหนื่อยล้าและความกดดันที่ซ่อนอยู่ลึกในใจ วายุทุ่มเทชีวิตให้กับการรักษาผู้คนจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง
ช่วงเวลาหลังเลิกงาน ร่างโปร่งบางของวายุถอดชุดกาวน์ออกแขวนไว้ แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากโรงพยาบาล ด้วยท่าทีเรียบง่ายเหมือนทุกวัน เขามักจะขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงงานเลี้ยงสังสรรค์หรือการใช้ชีวิตหรูหรา เพราะในใจของเขาเต็มไปด้วยเป้าหมายในการช่วยเหลือชีวิตคน การรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคร้ายคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขามีความสุข
แต่ในขณะที่เขากำลังขับรถกลับบ้าน ความเงียบสงบที่วาดไว้กลับพังทลาย เมื่อรถบรรทุกที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงเบียดเข้ากับรถของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
โครม!
รถของวายุพลิกคว่ำหลายตลบก่อนจะหยุดนิ่ง ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างรุนแรง ท่ามกลางสติที่เริ่มเลือนราง เขาพยายามควบคุมตัวเองให้ไม่หลับ แต่ทุกอย่างก็ค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับเสียงหวอของรถพยาบาลที่ใกล้เข้ามา…
“ทำไม... เราต้องมาเจออะไรแบบนี้..” เสียงสุดท้ายที่เขาคิดได้ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะมืดสนิทลง โดยที่วายุไม่รู้เลยว่า ชะตากรรมของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...
แสงไฟสว่างจ้าของห้องฉุกเฉินยังคงไม่ดับลง แม้การช่วยชีวิตจะดำเนินไปอย่างไม่ลดละ กว่าแพทย์และพยาบาลจะล้อมรอบเตียงของวายุ จ้องมองที่จอมอนิเตอร์ที่แสดงผลชีพจรที่ค่อย ๆ ลดลงทุกวินาที แต่ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับสิ่งที่ยากจะเปลี่ยนแปลงได้
“หัวใจหยุดเต้น!” เสียงของแพทย์ผู้หนึ่งดังขึ้น แพทย์หลายคนเร่งช่วยกันช็อกไฟฟ้า หวังให้หัวใจของวายุกลับมาทำงานอีกครั้ง การกดหน้าอกและการให้ออกซิเจนถูกทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หนึ่ง สอง สาม...” เสียงนับอย่างรวดเร็วที่เต็มไปด้วยความหวัง เริ่มกลายเป็นเสียงที่แผ่วเบาลง เมื่อเวลาผ่านไปโดยไร้วี่แววตอบสนองจากวายุ แม้เขาจะเป็นหมอที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ทุกคนในโรงพยาบาลพยายามช่วยเหลือชีวิตของเขาอย่างสุดความสามารถ
“หยุดแล้ว...” เสียงหนึ่งที่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นหลังจากความพยายามที่ยืดเยื้อนานกว่าชั่วโมง แพทย์ที่อยู่รอบเตียงถอนหายใจเงียบ ๆ ด้วยความเสียใจ ชีพจรของวายุหยุดลงอย่างถาวร ทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้ชีวิตของศัลยแพทย์หนุ่มผู้เป็นที่รักของทุกคน
คุณพ่อและคุณแม่ของวายุนั่งอยู่ในห้องรับรอง หัวใจของพวกเขาเหมือนหยุดเต้นลงเช่นเดียวกับลูกชาย เสียงโทรศัพท์แจ้งเหตุการณ์ทำให้พวกเขารีบรุดมาที่โรงพยาบาลด้วยความหวังว่าลูกชายที่พวกเขารักจะฟื้นคืนมาอย่างปลอดภัย แต่เมื่อนายแพทย์วาทิน ผู้เป็นลูกชายคนโต ที่ทำการช่วยชีวิตน้องชายเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง พวกเขารู้ในทันทีว่าความหวังที่มีอยู่ได้พังทลายลง
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมเสียใจครับ ที่ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตน้องเอาไว้ได้ ฮือ ฮือ ฮือ” วาทิน ผู้เป็นลูกและเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผู้ทำหน้าที่รักษาวายุได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้ำตาไหลอาบน้ำ ส่วนคนเป็นพ่อกับแม่ต่างไม่พูดอะไร พวกท่านทั้งสองเป็นอดีตแพทย์ศัลยกรรมมือหนึ่งและเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ รู้ดีว่าสุดท้ายแล้วชีวิตลูกชายของตัวเองต้องจบลงเช่นไร ท่านทั้งสองจึงได้แต่กอดกัน ร้องไห้สะอื้นเบา ๆ เสียงนั้นเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ลูกชายคนเล็กที่เคยเป็นความหวังและความภูมิใจของครอบครัวอีกคนได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานศพของนายแพทย์วายุถูกจัดขึ้นที่วัดใกล้บ้าน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมถึงผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาจากเขาต่างหลั่งไหลเข้ามาเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย ดอกไม้สีขาวถูกวางไว้เรียงรายเต็มทั่วบริเวณ รูปถ่ายของวายุในชุดกาวน์ยืนเด่นอยู่กลางโลงศพ แสดงถึงความสง่างามและความเมตตาที่เขาเคยมอบให้แก่ผู้ป่วย
เสียงสวดมนต์ในงานศพแผ่วเบาไปพร้อมกับน้ำตาของคนที่มาไว้อาลัย หลายคนยังไม่เชื่อว่าแพทย์หนุ่มผู้ทุ่มเทคนนี้ได้จากโลกไปอย่างกระทันหัน ขณะที่พ่อและแม่ของเขายังคงนั่งเงียบอยู่ข้างโลงศพ ดวงตาที่เคยเปี่ยมด้วยความรักและภูมิใจในลูกชาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและสูญเสีย
ในคืนสุดท้ายของการสวดมนต์ก่อนการเผาศพ ฝนตกหนักราวกับท้องฟ้ากำลังร่ำไห้ เสียงฟ้าร้องกึกก้องไปทั่ว พ่อและแม่ของวายุยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงศพลูกชาย โดยไม่สนใจความหนาวเย็นที่ปกคลุม
“ลูกแม่... ทำไมชีวิตถึงเป็นแบบนี้” แพทย์หญิงวารุณี แม่ของวายุกระซิบเบา ๆ น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด ขณะที่นายแพทย์ศรัญ พ่อของวายุได้แต่กอดภรรยาไว้แน่น พวกเขาทั้งคู่ยังไม่สามารถยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้ได้
ท่ามกลางความโศกเศร้าที่คลุ้งไปทั่ว วายุกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใด เขาไม่รู้ตัวว่าเวลานี้เขากำลังจะก้าวเข้าสู่การผจญภัยที่เหนือความคาดหมาย และกำลังจะพบกับชีวิตใหม่ในยุคที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน...
วันหนึ่งในขณะที่หลี่หยางและหวังหยู่อยู่ด้วยกันในสวน ทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย หลี่หยางคอยดูแลหวังหยู่อย่างใกล้ชิด หวังหยู่กล่าวขึ้นด้วยความอบอุ่นในใจ “ข้ารู้ว่าการที่ท่านปฏิเสธการมีสนมทุกคนที่เข้ามา ข้ารู้สึกขอบคุณที่ท่านยังคงยืนหยัดในความรักเดียวใจเดียวที่มีต่อข้า ท่านทำให้ข้ารู้สึกว่าข้ามีค่าสำหรับท่าน” หลี่หยางยิ้มก่อนที่จะดึงหวังหยู่เข้ามาในอ้อมกอด “ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ข้ารักเจ้าเพราะเจ้าคือคนที่ข้าต้องการเพียงคนเดียว ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่สามารถแทนที่เจ้าได้” คำพูดหวานซึ้งของหลี่หยางทำเอาหวังหยู่ถึงกับเขินอาย หลี่หยางมองหน้าฮองเฮาด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความรัก “เจ้าช่างอายได้อย่างน่ารัก ยามอยู่ในสวนเจ้าสวยกว่าดอกไม้พวกนี้เสียอีก ข้าอยากให้เรามีเวลามากขึ้นเช่นนี้ทุกวัน และที่สำคัญข้าอยากพาเจ้ามาชมสวนตอนกลางคืนจังเลย อ๊าาา แค่คิดดาบของข้าก็รู้สึกแข็งตัวพร้อมรบแล้ว” หวังหยู่ที่กำลังมองดอกไม้หันกลับมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับคำพูดของพระสวามี “ท่านก็รู้ว่าข้าเขินเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ท่านชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อย คนหื่น”
หลังจากที่ทุกอย่างในราชสำนักเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบสุขและฮ่องเต้หลี่หยางกับฮองเฮาหวังหยู่มีความสุขกับการเลี้ยงดูพระโอรสน้อย ความท้าทายใหม่ก็เกิดขึ้นในราชสำนัก เมื่อวันหนึ่งมีขุนนางท่านหนึ่งนำธิดาของตัวเองเข้ามาถวายตัวให้กับฮ่องเต้ ด้วยความหวังจะได้เข้าไปเป็นสนมในราชสำนัก การถวายตัวในครั้งนี้สร้างความอึดอัดใจให้กับหลี่หยางเป็นอย่างมาก เพราะแม้เขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่เขามีหวังหยู่เป็นที่รักเพียงคนเดียว และไม่เคยต้องการสนมเพิ่มเติมเลย เขารู้สึกไม่สบายใจที่มีคนเข้ามาถวายตัวเช่นนี้ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมในราชสำนัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมา ในท้องพระโรงขณะที่ขุนนางผู้ได้ทูลเสนอให้ธิดาของเขาเข้าถวายตัวเป็นสนม หลี่หยางรู้สึกอึดอัดแต่พยายามรักษาท่าทีที่สง่างาม เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “ข้าขอบใจในความหวังดีของเจ้า แต่ข้ามีฮองเฮาที่คอยเคียงข้างกายและร่วมสร้างอนาคตกับข้าอยู่แล้ว ข้าไม่คิดจะรับสนมเพิ่มอีกในตอนนี้” แต่ข่าวการถวายตัวของธิดาขุนนางก็มาถึงหูของหวังหยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อหวังหยู่ได้ยินข่าวนี้ เขาไม่อาจซ่อนความรู้สึกไม่พอใจได้ แม้จะรู้ว่าหลี่หยางรักและภักดีต่อเขา แต่การท
เช้าวันหนึ่งในท้องพระโรงใหญ่ ฮ่องเต้ประทับบนราชบัลลังก์ด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความสง่างาม แต่หากสังเกตลึกลงไป จะเห็นถึงความมุ่งมั่นที่ฉายชัดในพระเนตร ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายตามลำดับขั้น “วันนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศแก่ทุกคน” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะวางมือจากภาระอันใหญ่หลวงนี้ และส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้ที่คู่ควร เพื่อให้แผ่นดินนี้มีผู้นำรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ขุนนาง ฮองเฮาที่ยืนเคียงข้างมองไปยังหลี่หยาง ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งขององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทหลี่หยาง ข้าตัดสินใจแล้วที่จะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า เจ้าจงขึ้นครองราชย์ในฐานะฮ่องเต้คนต่อไป เจ้าคือผู้ที่ข้าฝากความหวังไว้ ให้นำพาแผ่นดินนี้สู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป” หลี่หยางที่ได้ฟังถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับ ท่ามกลางขุนนางและราชวงศ์ทั้งหมด “เสด็จพ่อ ข้าซาบซึ้งในพระเมตตา แต่ข้ายังเกรงว่าข้าอาจไม่พร้อมสำหรับหน้าที่นี้” ฮ่องเต้ยิ้มบาง “หลี่หยาง เจ้าแสดงให้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน เจ้าผ่านบททดสอบมากมาย ทั้งการรั
“พระชายาเจ็บครรภ์เพคะ เรียกหมอหลวงด่วน” ความสงบสุขในยามราตรีของตำหนักถูกทำลาย เมื่อเสียงนางกำนัลร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก เพราะหวังหยู่ที่กำลังพักผ่อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง อาการเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขามั่นใจว่าการคลอดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลี่หยางที่กำลังตรวจราชกิจในห้องทรงงานได้ยินเสียงรีบลุกพรวดทันที เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ววิ่งตรงมายังพระชายาทันที ใบหน้าเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลและตื่นเต้น แต่ก็พยายามควบคุมสติให้นิ่งที่สุดเพื่อให้หวังหยู่ไม่เครียด “เกิดอะไรขึ้น อาการของพระชายาเป็นอย่างไร” หลี่หยางถามพลางมองนางกำนัลที่กำลังช่วยพยุงหวังหยู่ไปยังห้องที่เตรียมประสูติ หวังหยู่ที่ทรุดตัวลงบนเตียงหายใจแรง ใบหน้าซีดเซียว แต่ยังคงพยายามส่งยิ้มให้หลี่หยาง "ข้าไม่เป็นไร ท่านอย่ากังวลไปเลย" “เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะดูแลเจ้าและลูกของเรา” หลี่หยางจับมือหวังหยู่แน่น พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ฮองเฮาทรงเข้ามาช่วยจัดการทุกอย่าง พระนางเรียก.ให้หมอหลวงรีบเร่งเข้ามาเตรียมการ ทุกคนในตำหนักวุ่นวายกันไปหมด ขณะที่หลี่หยางทั้งผุดลุกผุดนั่งสสลับกับเดินวนไปมาอย
“พระชายา ทรงต้องดื่มน้ำแกงนี้จนหมดเพคะ ฮองเฮาทรงกำชับให้ต้องดูแลพระองค์เป็นพิเศษ” เสียงนางกำนัลกล่าวพลางวางถ้วยน้ำแกงลงอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาหวังหยู่ถูกเผยแพร่ออกไป ฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งองค์รัชทายาททรงมีพระบัญชาให้ดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหวังหยู่ต้องดีที่สุดและปราศจากข้อบกพร่อง ทุกเช้า พระชายาจะได้รับน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกปลาชั้นดี ใส่สมุนไพรช่วยบำรุงเลือด ข้าวต้มหอมกรุ่นใส่พุทราจีนช่วยบำรุงกำลัง และผลไม้สดที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาล ขันทีและนางกำนัลถูกจัดส่งมาเพิ่มเติมเพื่อช่วยดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่เตรียมอาหารไปจนถึงการดูแลกิจวัตรประจำวัน ทุกมื้ออาหารของหวังหยู่ถูกคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศ เช่น โสมหายากจากแดนไกล รังนกที่เก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน และสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและคุณประโยชน์ “ข้าต้องการให้พระชายาได้รับของที่ดีที่สุด อย่าให้ขาดสิ่งใดแม้แต่น้อย” ฮองเฮาตรัสขณะตรวจดูเมนูอาหารที่ถวายแด่หวังหยู่ หวังหยู่แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดูแลเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เ
ในเช้าวันหนึ่งหลังจากที่หลี่หยางตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ทันทีที่ลุกจากเตียง ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าจนน่าประหลาดใจ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนโลกหมุนเวียนไปมารอบตัว จนไม่สามารถฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นไปว่าราชการได้อย่างเคยหวังหยู่สังเกตเห็นอาการที่ผิดปกติของหลี่หยาง เขารู้ทันทีว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง พระชายารีบเข้ามาตรวจดูอาการของหลี่หยางอย่างใกล้ชิดหวังหยู่พยายามใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เขามีอยู่เพื่อตรวจสอบอาการของหลี่หยาง เขาเริ่มจับชีพจรของหลี่หยางเบื้องต้น ก่อนจะสรุปได้ว่าอาการคลื่นไส้และเวียนหัวนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย แต่เบื้องต้นเขาคิดว่าอาจเป็นผลมาจากความเครียดและการทำงานหนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา“หลี่หยาง ท่านต้องพักผ่อนมากกว่านี้ ข้าคิดว่าอาการของท่านน่านี้เกิดจากความเครียดสะสมและการทำงานหนักเกินไปติดต่อกันหลายวัน ท่านไม่ควรฝืนตัวเองไปว่าราชการในวันนี้ ข้าขอร้อง อย่าฝืนอีกเลย” หวังหยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย หลี่หยางที่ฟังคำแนะนำของหวังหยู่ แม้จะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้น แต่แรงกายกลับไม่เอื้ออำนวย เขารู้สึกอ่อนล้าจนต้องยอมจำนนรับความจริง เขาพยักหน้าช้า ๆ และนอนลงบน
Comments