แกรก ! เสียงของประตูเสื้อผ้าเปิดออกเบาๆ ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดยามรุ่งสาง เจมส์ยืนอยู่หน้า ตู้เสื้อผ้าที่แง้มออก ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเขาอยู่ในเงามืด ดวงตาเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความลังเล มือของเขาหยิบเสื้อแจ็กเก็ตออกมาพร้อมกับกางเกงที่พับไว้อย่างเรียบร้อย
แสงไฟที่ลอดมาจากหน้าต่างเผยให้เห็นเงาร่างของอิมิลี่ที่พลิกตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง เธอสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนั้นปลุกเธอให้หลุดจากความหลับใหล
“เจมส์... คุณกำลังจะไปไหนแต่เช้า” น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“ผมมีประชุมเช้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ก็ฟังดูเหนื่อยล้า “งานสำคัญ... คดีใหญ่ ผมต้องรีบไป อิมิลี่”ขณะที่เขากำลังติดกระดุมเสื้อและดวงตาเขาจับจ้องไปยังเสื้อแจ็กเก็ตที่แขวนอยู่ในมือคำพูดนั้นตรงไปตรงมา แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้ในอากาศ เสียงกุกกักของเข็มขัดที่เขารัดเอวเพิ่มความอึดอัดให้กับห้อง อิมิลี่มองตามเขา ดวงตาของเธอแสดงความลังเล แต่คำถามที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่ในลำคอ
“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถามเบาๆ น้ำเสียงที่แฝงความกังวลและไม่เข้าใจ เจมส์หยุดมือชั่วขณะ ก่อนจะดึงเสื้อแจ็กเก็ตมาสวม ขยับไหล่เล็กน้อยให้เข้าที่
“ใช่ ครับ” เขาตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันไปมองเธอในที่สุด แววตาเขาสื่อถึงบางสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่าจะพูดออกมาในคำสองคำนั้น
เจมส์ ก้าวเข้ามาใกล้อิมิลี่ที่ยังนั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยคำถาม เขามองเธอครู่หนึ่ง แววตาทีแฝงความเหนื่อยล้า
“พักผ่อนนะครับ ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาเหมือนจะสะท้อนความรู้สึกห่วงใยแต่ก็ปนไปด้วยระยะห่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้
“เดี๋ยวถ้ามีอะไรผมโทรหาคุณ นะ”เขาพูดพลางหมุนตัวออก.. เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไป พร้อมเสียงประตูที่เปิดออกและปิดลงเบาๆเธอนั่งนิ่งอยู่ในบรรยากาศที่ดูว่างเปล่า… ดันตัวเองขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกที่ไม่สดใสนัก ตรงเข้าไปในครัว เปิดเครื่องทำกาแฟ และปล่อยให้เครื่องทำงานขณะที่ตัวเองทรุดนั่งลงที่โต๊ะอาหาร กลิ่นอาราบีก้า ลอยมาทำลายความเฉยชาในอากาศ เธอโยกตัวลุกขึ้น เดินไปหยิบแก้วช็อตกาแฟที่เพิ่งเสร็จจากเครื่อง กลิ่นกาแฟนั้นเข้มข้นลอยแตะจมูก เธอยกมันขึ้นจิบ รสขม แตะลิ้น เธอรู้สึกถึงพลังเล็กๆ ที่ค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ตัว เป็นการเติมเต็มที่เพียงพอจะทำให้วันใหม่เป็นในแบบที่เธอต้องการ……….
ช่วงสายของวัน อิมิลี่เดินไปยังร้านภาพ The Brushstroke ตามเส้นทางที่เธอเคยชิน แต่วันนี้ลมเย็นของต้นฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนดูเหมือนจะแตกต่างออกไป มันไม่ใช่แค่ความเย็นที่พัดผ่านผิวกาย หากแต่เป็นความเหน็บหนาวที่แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ
เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวโปรดและกอดตัวเองแน่น ทว่าความอบอุ่นเพียงเท่านี้ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะต้านทานความหนาวเหน็บที่มาจากหัวใจ
เส้นทางที่คุ้นเคยไม่เคยรู้สึกยาวนานขนาดนี้มาก่อน เสียงใบไม้แห้งกรอบที่ปลิวตามลมกระทบพื้นราวกับตอกย้ำกับชีวิตคู่ที่คลุมเคลือ เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต ความแตกต่างของเธอและเจมส์เป็นคำถามอยู่ในหัว ที่ยังไม่สามารถไขคำตอบได้..
"กริ๊ง..." สียงกระดิ่งของร้าน The Brushstroke ดังกังวานแผ่วเบา ราวกับคำทักทายอบอุ่นที่คอยต้อนรับผู้มาเยือนเสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับการเปิดประตูเบาๆ เป็นจังหวะที่พอดิบพอดีกับสายลมหนาวที่แทรกตัวเข้ามาในร้าน
“สวัสดีครับ” เสียงทักทายของชายหนุ่มดังขึ้นทันทีอิมิลี่เงยหน้าสบตากับหนุ่มคนนี้อีกครั้งพลาง เอ่ยชื่อ เขาใน ลำคอ “เลโอ”หนุ่มในภาพวาดที่เธอยังคงวาดไม่เสร็จแต่ วันนี้เขายืนอยู่ตรงที่ของซาร่า ซึ่งทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ พลางขยับริมฝีปากอย่างลังเล“แล้วซาร่าละคะ?” “เธอไม่ค่อยสบาย เลยขอให้ผมมาแทน” เลโออธิบาย ขณะที่อิมิลี่รู้สึกงงงวย เพราะร้อยวันพันปี เธอไม่เคยเห็นซาร่าหายไปจากหน้าเคาท์เตอร์ แต่ก็เข้าใจได้ว่าบางครั้งคนเราก็ต้องการพักผ่อน
“อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ” อิมิลี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความเห็นอกเห็นใจแต่การเห็นเลโออยู่ที่นี่กลับทำให้เธอรู้สึกถึงความสดชื่นและมีพลังใหม่บางอย่าง เขาเป็นคนที่มีรอยยิ้มอบอุ่นและสายตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ซึ่งทำให้วันของเธอดูสดใสขึ้น "มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?"รอยยิ้มของเลโอนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย ราวกับว่าเขามีบางอย่างที่สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้โดยไม่ต้องพยายามมากนัก
"เปล่าค่ะ" อิมิลี่ตอบพลางหลบสายตาของเลโอ ความประหม่าเล็กน้อยสะท้อนอยู่ในท่าทางของเธอ เธอรีบเดินหลบเข้าไปหลังม่านส่วนกั้นที่ถูกจัดไว้เป็นมุมพิเศษสำหรับเธอและศิลปินภาพวาดเมื่อเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวอิมิลี่วางกระเป๋าลงข้างโต๊ะไม้ตัวเล็กก่อนจะหันไปมองภาพที่ตั้งอยู่บนขาตั้ง ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันคือใบหน้าของเลโอรอยยิ้มและสายตาในภาพนั้นยังคงดูเหมือนมีชีวิตราวกับกำลังรอคอยบางสิ่งที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม
เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย ลมหายใจของเธอแผ่วเบา ขณะที่ความคิดของเธอพลุ่งพล่านเกี่ยวกับสิ่งที่ขาดหายไปในภาพวาดนี้
ทันใดนั้น เสียงม่านที่พลิ้วไหวเพราะลมอ่อนๆ ทำให้อิมิลี่สะดุ้ง เธอหันไปมอง แต่ก่อนที่สายตาจะทันจับจ้องได้ชัดเจน เสียงของเลโอดังขึ้นจากด้านหลัง
"เดี๋ยว ถ้าเย็นนี้คุณไม่รีบไปไหน เราต่อภาพนี้ให้เสร็จกันไหมครับ?"อิมิลี่หันกลับมามอง เลโอยืนอยู่พร้อมแววตาเปี่ยมด้วยความตั้งใจและประกายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เธอรู้สึกถึงแรงกระตุ้นบางอย่างในใจ แม้จะไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่คำตอบก็หลุดออกมาจากปากอย่างไม่ลังเล
"ได้ค่ะ""แล้วเดี๋ยวต้องการอะไรเพิ่มเติม แจ้งผมได้นะครับ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางถอยหลังส่งยิ้ม
"ค่ะ" อิมิลี่ตอบกลับสั้นๆ แต่สายตาเธอกลับจับจ้องเขาไว้ชั่วขณะ รอยยิ้มและแววตาของเลโอช่างคุ้นเคย ราวกับคล้ายใครบางคนในอดีตที่เธอเคยรู้จัก แต่เธอก็ไม่อาจแน่ใจหรือไขปริศนานี้ได้ เพราะสุดท้ายเลโอก็เป็นเพียงเพื่อนของซาร่าเท่านั้น
พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ