บนตึกสูงที่ผนังกระจกใสรอบด้านเผยให้เห็นวิวทะเลอันกว้างไกล ซึ่งห่างจากเมืองหลวง ประมาณ 3 ชั่วโมงเจมส์นั่งร่วมประชุม ท่าทางสุขุมและจริงจังในฐานะทนายของบริษัทซึ่งกำลังหารือประเด็นสำคัญร่วมกับทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟ้องร้องบริษัทรับเหมาแห่งหนึ่ง
….“ตอนนี้บริษัท ของเราเสียหายอย่างหนัก ลูกค้ามากว่าครึ่งต้องการเงินคืน จากการผิดนัดการส่งมอบบ้านตามกำหนด และกำลังเป็นวงกว้าง เมื่อบ้านที่สร้างใช้วัสดุ ต่ำกว่ามาตรฐาน จนทำให้มีการพังถล่มลงมา จากพายุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อน” หนึ่งในกรรมการของบริษัทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล พลางเคาะนิ้วลงบนเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ประกอบกับถาพถ่ายของบ้านที่พังถล่มลงมา ……...เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง บรรยากาศเคร่งเครียดในห้องเริ่มผ่อนคลาย แอลซ่า เลขานุการของบริษัท เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอกสารในมือ เธอวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อย“ คุณเจมส์ คะ นี่คือข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นประเด็นค่ะและ ฉันคิดว่าคุณเจมส์ควรไปดูสถานที่จริง เพื่อเข้าใจปัญหาให้ละเอียดขึ้น” แอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าชัดเจน พลางยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา
เจมส์รับแฟ้มจากมือแอลซ่ามาเปิดดูทันที เขากวาดสายตาผ่านข้อมูลในแฟ้มอย่างรวดเร็ว พร้อมพยักหน้าเบาๆ
“ได้ครับ คุณแอลซ่า”เขาเงยหน้าขึ้นมองแอลซ่าที่อยู่ใกล้ สีหน้าของเขาฉายแววจริงจัง แต่ยังคงความสุภาพไว้
“เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณไปเองค่ะ” แอลซ่าพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เธอจัดเรียงเอกสารในมืออย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินนำหน้าเจมส์ออกจากห้องประชุม
ในชุดกระโปรงสั้นที่เผยให้เห็นขาเรียวบนรองเท้าส้นสูงท่วงท่าของเธอนั้นช่างดูสง่างาม แอลซ่าเดินอย่างมั่นใจมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ กระโปรงพลิ้วไหวเล็กน้อยตามจังหวะก้าวเดินของเธอ
เจมส์เดินตามหลังเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิด ราวกับกำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่เพิ่งได้รับ แต่แววตามุ่งมั่นของเขาแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะจัดการปัญหาอย่างเต็มกำลัง ทุกย่างก้าวของทั้งสองเต็มไปด้วยความจริงจัง
เมื่อพวกเขามาถึงชั้นล่างของอาคาร เสียงโห่ร้องและเสียงตะโกนของกลุ่มผู้ประท้วงก็ดังแว่วเข้ามา กลุ่มลูกค้าที่มารวมตัวกันถือป้ายเรียกร้องในมือ สายตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง มุ่งตรงไปยังตัวอาคาร ป้ายข้อความหลายอันมีถ้อยคำเช่น “คืนเงินเรา!” และ “อย่าขายฝันที่ไร้มาตรฐาน!”ชายหนุ่มในชุดลำลองหลายคนยืนอยู่แนวหน้า บางคนชี้นิ้วขึ้นมาทางพวกเขา เสียงของกลุ่มประท้วงประสานกันอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่ดังพอที่จะดึงความสนใจจากผู้ที่ผ่านไปมา
เจมส์หยุดเดินเพียงชั่วครู่เมื่อก้าวออกจากอาคาร เขากวาดตามองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตากลับสะท้อนความครุ่นคิด แอลซ่าที่เดินเคียงข้างเขามองสถานการณ์ตรงหน้าเช่นกัน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงท่าทีสงบ
เสียงตะโกนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้ประท้วงเห็นเจมส์และแอลซ่า
“รับผิดชอบสิ!” “แก้ปัญหาให้เราด้วย!” เสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาจากกลุ่มแอลซ่าหันมามองเจมส์ด้วยสายตาที่แฝงคำถาม
"เราจะผ่านตรงนี้ไปยังไงดีคะ?" เธอเอ่ยเบาๆเจมส์พยักหน้าเรียบๆ ราวกับคิดหาทางออก ก่อนหันไปมองการ์ดรักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ไม่ไกล การ์ดรีบเข้ามาประกบพวกเขาเพื่อสร้างทางเดินผ่านฝูงชน
เจมส์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมแอลซ่า โดยมีการ์ดสองคนคอยกันทาง เสียงผู้ประท้วงยังคงดังตามหลังมา แต่เขายังคงมุ่งมั่น สายตาของเจมส์และแอลซ่าจดจ่อไปยังรถยนต์ที่รออยู่
เมื่อทั้งสองก้าวขึ้นรถยนต์คันหรูของเจมส์ ความเงียบครู่หนึ่งก็ถูกทำลายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นของเขา “คุณโอเคไหม แอลซ่า?”คำถามนั้นทำให้เธอหันไปสบตาเขาโดยบังเอิญ แววตาของเจมส์เต็มไปด้วยความใส่ใจ รอยยิ้มบางเบาที่มุมปากของเขาเสริมให้ใบหน้าดูอบอุ่น
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ” แอลซ่าตอบเบาๆ พยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ เธอเลื่อนสายตาจากใบหน้าคมคายของเขาลงมองนิ้วมือที่ประสานกันอยู่บนตัก
แต่ความคิดของเธอกลับไม่สงบเท่าที่แสดงออก ภาพลักษณ์ของเจมส์ทำให้เธอหวั่นไหวเล็กน้อย จมูกโด่งคมสัน ใบหน้าที่ดูสง่า และท่าทางที่คล่องแคล้ว และขึ้นชื่อว่าเป็น ทนายที่เก่งกาจ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมอยู่ในใจ
แต่ในขณะที่เธอแอบมองเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาของเธอก็สะดุดเข้ากับแหวนบนนิ้วนางของมือซ้ายที่จับพวงมาลัย
แอลซ่ากระพริบตาเบาๆ เพื่อดึงตัวเองกลับมา เธอปรับสายตากลับไปที่เบาะข้างหน้า พร้อมกับตั้งใจบอกตัวเองให้โฟกัสกับงานตรงหน้าแทนที่จะหลงใหลไปกับเสน่ห์รูปลักษณ์ภายนอกเจมส์ไม่ได้สังเกตถึงความลังเลเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในสายตาของแอลซ่า เขายังคงจดจ่อกับถนนเบื้องหน้า ขณะเปล่งเสียงนุ่มแต่มั่นคง “วันนี้คุณช่วยเตรียมเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัทรับเหมานั้นให้ผมได้ไหมครับ?”“ได้ค่ะ” แอลซ่าตอบทันที น้ำเสียงมั่นใจอย่างไม่ลังเล แต่ในใจเธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังวนเวียนอยู่ ความรู้สึกแปลกๆ ที่เธอไม่อยากให้มันแสดงออกมา
เจมส์พยักหน้ารับคำตอบของแอลซ่าโดยไม่ได้หันกลับมามอง เขายังคงควบคุมพวงมาลัยไว้อย่างมั่นคง ดวงตาจดจ่อกับถนนเบื้องหน้า รถยนต์เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล มุ่งหน้าไปยังจุดหมายโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดพัก
แอลซ่าหันหน้าออกไปมอง ทิวทัศน์ของเมืองที่กำลังเคลื่อนผ่านไปช่วยดึงความคิดของเธอให้กลับมาอยู่กับตัวเอง เธอจับเอกสารในมือแน่น พยายามเรียกสมาธิให้กลับมาที่งานตรงหน้า แต่ความคิดกลับไม่ยอมเชื่อฟัง
ภาพของเจมส์ในมุมมองของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังคงชัดเจนในหัว รูปลักษณ์อันสง่างามของเขา เสียงพูดที่ทรงอำนาจแต่แฝงด้วยความสุภาพ และท่าทางที่ดูมั่นใจทุกครั้งที่เขาแสดงความเห็นในที่ประชุม ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเหมือนจะทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในจิตใจของเธอ
เธอสลัดความคิดนั้นออก พยายามโฟกัสไปที่ตัวหนังสือในแฟ้มข้อมูลแทน แต่มันก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่ความคิดเกี่ยวกับเจมส์จะวกกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
เสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างเป็นจังหวะในรถคันหรูเป็นดั่งเสียงดนตรีที่กล่อมบรรยากาศระหว่างพวกเขาให้สงบ ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงความคิดของแอลซ่าเต้นเร่าอยู่ภายใน.
พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ