ช่วงเวลานี้เจมส์กำลังพยายามที่จะพยุงสถานะของคำว่า "สามีที่ดี" ให้มั่นคงขึ้น เขาจับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวลเป็นระยะๆระหว่างขับรถเพื่อจะไปร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรูที่เขาตั้งใจเลือกมาเพื่อปรับความสัมพันธ์
บรรยากาศภายในอบอุ่นด้วยแสงไฟโทนสีทอง โต๊ะที่ถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถันมีผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดและจานอาหารที่วางอย่างลงตัว มันดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวจากเจมส์ที่เขาพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สำหรับอิมิลี่ บางทีสิ่งนี้อาจยังไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเธอเมื่ออาหารถูกรินราดด้วยซอสและจัดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมเย้ายวนจากเมนูหลากหลายชนิดกระจายไปทั่วบริเวณ ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยแสงไฟสีอ่อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ก่อนที่เจมส์จะได้สัมผัสส้อมหรือลองชิมรสชาติของอาหาร เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นแทรกความเงียบเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ "แอลซ่า" เขาเอ่ยชื่อเธอในลำคอ
เจมส์เหลือบมองอิมิลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอก้มหน้ามองจานของตัวเอง ราวกับพยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เจมส์สังเกตเห็นรอยหม่นในดวงตาของเธอ
เขาลังเลเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ “อิมิลี่ เดี๋ยวผมมานะครับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงพยายามทำให้เป็นปกติ พร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ ที่ไม่อาจซ่อนความรู้สึกผิดในแววตา
อิมิลี่พยักหน้าเบา ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เธอจับส้อมในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เจมส์เดินออกไปทางสวนของร้านอาหารที่ปูด้วยพื้นหินเรียงราย เธอเหลือบมองตามหลังเขาผ่านกระจกใส เขายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูและเริ่มพูดคุย ท่าทางของเขาดูจริงจังจนยากจะละสายตาจนแทบจะอดคิดไม่ได้ ว่า “คุยกับใคร”
เจมส์ถือโทรศัพท์แนบหู ขณะยืนอยู่ด้านนอกของร้านอาหาร เสียงของแอลซ่าผ่านสายมีน้ำเสียงที่หนักแน่นและชัดเจน ราวกับสะกดความสนใจของเขาให้ไม่อาจละสายตาไปมองอิมิลี่ที่อยู่ด้านในร้านผ่านกระจกใส
“คุณเจมส์คะ บริษัทของเราจะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทรับเหมาก่อสร้างเนื่องจากผิดสัญญาส่งมอบงานและการสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานจนถูกลูกค้าฟ้องร้องบริษัทของเราซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และยอดขายของเราอย่างมาก” แอลซ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พรุ่งนี้เช้าจะมีการประชุมใหญ่ของทุกฝ่าย และอยากให้คุณเจมส์เข้าร่วมเพื่อช่วยวางแผนจัดการเรื่องนี้ค่ะ”
เจมส์เงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่หัวสมองของเขาหมุนเร็วพยายามประเมินสถานการณ์ เขารู้ดีว่านี่เป็นงานใหญ่ซึ่งเขาในฐานะทนายของบริษัทซึ่งสำคัญมาก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาที่เขาควรมีให้กับภรรยาบ้างด้วยเช่นกัน..
“ได้ครับ ผมจะเตรียมตัวและเข้าประชุมตามที่แจ้ง” เขาตอบในที่สุด แม้ในใจจะรู้สึกถึงความขัดแย้งที่กำลังก่อตัว“มีเรื่องสำคัญไหมคะ?” อิมิลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาของเธอบ่งบอกถึงความกังวล เมื่อเจมส์เปิดประตูกระจกกลับเข้ามา
“เรื่องงานครับ แต่ไม่มีอะไรให้กังวล” เจมส์ตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะนั่งลงประจำที่ เขาหยิบช้อนส้อมขึ้นมา เริ่มรับประทานอาหาร พลางพยายามทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายลงด้วยการตักอาหารใส่จานของอิมิลี่ด้วยท่าทีเอาใจ “ลองนี่ดูสิครับ คุณน่าจะชอบ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและเจือด้วยความตั้งใจ
อิมิลี่มองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ รอยตึงเครียดในสีหน้าเริ่มคลายออกทีละน้อย การเอากอกเอาใจ ของเจมส์ราวกับสายลมเย็นพัดผ่านหัวใจเธอ
…………หลังจากทั้งสองได้ปรับสัมพันธ์ รอยยิ้มเล็กก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่ เจมส์จูงมืออิมิลี่ก้าวเข้ามาในคอนโดที่เงียบสงบ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาตรงไปยังครัวอย่างมั่นใจ หยิบขวดไวน์ชั้นดีที่ตั้งอยู่บนชั้น เปิดมันด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ไวน์สีแดงเข้มค่อย ๆ ถูกรินลงบนแก้วคริสตัลสองใบ แสงไฟอ่อน ๆ ภายในห้องสะท้อนกับผิวแก้ว เปล่งประกายละมุนตา ก่อนที่จะเดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียง วางแผ่นลงอย่างระมัดระวัง เสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาและอบอุ่นดังก้องไปทั่วห้องเขาเดินกลับมาหาอิมิลี่ รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์ ยื่นมันให้เธอราวกับเขากำลังสร้างบรรยากาศที่โรแมนติกเพื่อย้อนกลับไปเมื่อ10ปีก่อนตอนยังข้าวใหม่ปลามัน เธอรับแก้วไวน์ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยจากความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจ
เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิดมองตาเธอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย ว่าคืนนี้ เราจะเริ่มกันใหม่ ในบรรยากาศเดิมๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป พร้อมรอยยิ้มที่เผยความนุ่มนวล
“เต้นรำกับผมหน่อยได้ไหม?”อิมิลี่ไม่ได้ลังเล เธอพร้อม วางมือลงบนมือของเขา เจมส์ดึงเธอเข้ามาใกล้ จับมือข้างหนึ่งและโอบเอวเธอด้วยอีกข้าง
ทั้งคู่เริ่มเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง เสียงดนตรีเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงความรู้สึกของพวกเขาให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง
เสียงเพลงคลาสสิกยังคงบรรเลงแผ่วเบาในห้องที่อบอวลด้วยแสงไฟสีอุ่น เจมส์จับมืออิมิลี่อย่างนุ่มนวล พาเธอไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่ที่นุ่มฟู เขาจ้องรอยยิ้มของเธอ พลางเคลื่อนมือ มือแตะไหล่ของเธอเบา ๆ “คุณรู้ไหม ผมอยากให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่พิเศษ” ริมปากของเจมส์กระซิบ ข้างใบหูอิมิลี่อย่างแผ่วเบาแล้วเลื่อนไล้ซอกคอของเธออย่างอ่อนโยน เสียงเพลงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเป็นเหมือนฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับช่วงเวลานี้
เจมส์เลื่อนมือสัมผัสผิวเนียนละเอียดของอิมิลี่มือหนาซุกซนทุกจุดสัมผัสเขาพยายามปลุกเร้าอารมณ์ของตัวเองให้ลุกโชนดั่งไฟราคะ ดันร่างเธอลงบนเตียง เลื่อนมือสัมผัสขาเรียวเคลื่อนลงเท้าเล็กเรียว มือหนาลูบไล้เคล้นอารมณ์แต่ท่อนชายของเขากลับสวนทางกับการกระทำเขาพยายามพลิ้วไหวให้เขากับจังหวะเพลงแต่ทันใดนั้นเสียงรองเท้าส้นสูงกลับดังก้องเป็นจังหวะหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงสั้นท่าทางมั้นใจคนที่เขาพบเมื่อคืนก่อน ใบหน้าของ แอลซ่า ลอยขึ้นมาทันทีเพียงแค่เขาจินตนาการถึงเธอ ความรู้สึกที่ดับไปกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นร่างกายตอบสนองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาแต่แทนที่เขาจะมีความสุขและโล่งใจ กลับรู้สึกผิด ความคิดในหัววนเวียนอย่างไร้ทิศทาง
เขาชงักแล้วขยับตัวออกจากร่างมิลิมี่เล็กน้อยเพราะความสับสนในใจของเขาก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงบรรยากาศที่เคยอ่อนโยนและอบอุ่นพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน เธอเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัยและเอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เจมส์หลบสายตาของเธอ สายตานั้นไม่สามารถปิดบังความคิดที่ซ่อนอยู่ได้ แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเลี่ยงประเด็น
“เปล่า…”
อิมิลี่ยังคงมองเขาอยู่ แม้จะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่คลืบคลานเข้ามา เจมส์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดขึ้นเพื่อปิดบทสนทนา
“เดี๋ยว ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เจมส์พูดจบก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ เสียงประตูปิดเบา ๆ แต่ในหัวเขาเต็มไปด้วยความคิดที่ขัดแย้ง
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง?
เขาพิงผนังห้องน้ำ สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจ แต่ภาพหญิงสาวในชุดสูทและรองเท้าส้นสูงยังตามหลอกหลอน ความร้อนแรงของเธอทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่น ความรู้สึกผิดทับถมในขณะที่เขาเริ่มตั้งคำถามถึงชีวิตแต่งงานของตัวเอง เรื่องบนเตียงกับอิมิลี่มันจืดชืดเกินไปหรือ? เสียงน้ำจากฝักบัวไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเขาสงบลงเลย กลับกลายเป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ปะทุขึ้นในใจก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เขาสะดุ้งจากห้วงความคิด“เจมส์?” เสียงของอิมิลี่เจือด้วยความเป็นห่วง เธอเคาะประตูอีกครั้ง
เขารวบรวมสติ รีบตอบกลับด้วยเสียงที่พยายามให้ปกติที่สุด
“เดี๋ยว ผมกำลังจะออกไป อิมิลี่”พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ลำแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ จางหายไป เจมส์ยืนอยู่หน้าประตูบ้านของอิมิลี่ บานประตูไม้เก่ากระทบกับสายลมเบา ๆ ราวกับเสียงเตือนที่เคยได้ยิน มันไม่ได้ล็อก—เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกที เขาลังเลไปครู่หนึ่ง... หัวใจเต้นรัวในความเงียบ ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยมือที่เริ่มสั่นภายในบ้านยังเหมือนเดิม ทุกสิ่งยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่ทุกอย่างกลับเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในอากาศ บรรยากาศเงียบงัน เย็นเยียบ—เย็นเกินไป ราวกับมันไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย ราวกับบ้านทั้งหลังกำลังไว้ทุกข์... แต่ไร้น้ำตาเขาก้าวช้า ๆ ทุกย่างก้าวหนักหน่วง สายตากวาดไปทั่วห้อง—มองทุกมุม ทุกเงา เหมือนหาสิ่งที่หายไป แต่ไม่รู้จะหามันจากที่ไหน "อิมิลี่... คุณอยู่ไหม?" เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มลง คำถามนั้นดังในหัวของเขา ก่อนจะหลุดออกไปในอากาศที่หนาวเย็นพลัน... เอี้ยด—ประตูระเบียงเปิดออก ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาผ้าม่านขาวพลิ้วไหวราวกับมือของใครบางคน—โบกลาเงียบงัน เสียงลมหายใจของบ้านเก่าดังแผ่วเบา มันไม่ใช่เสียง...แต่คือความรู้สึกในห้วงขณะหนึ่ง เจมส์สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง การมีอยู่ของควา
ดวงตาของลูคัสเด็ดเดี่ยว คมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ จ้องตรงไปยังเป้าหมายพลาง มือขวายกปืนขึ้น ลำกล้องเย็นเฉียบแต่นิ่งมั่น“ปัง! ปัง!”เสียงปืนกระแทกอากาศสองนัดรวด แม่นยำราวกับคมมีดผ่ากลางใจ ทุกการเคลื่อนไหวในโกดังหยุดลงเหมือนถูกสาปกล้อง อุปกรณ์ทุกชิ้น ดับสนิท แสงไฟกระพริบวูบวาบก่อนจางลง ราวกับโลกทั้งใบยอมจำนนให้แก่เขาลูกน้องของลูคัสบุกเข้ากระชับพื้นที่ ไร้เสียง ไร้ความปรานี พวกเขาจัดการลูกน้องของอองเดรอย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่ปล่อยให้มีเสียงร้องหลุดลอดแม้แต่ลมหายใจสุดท้ายจากนั้น— เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวออกจากในมุมลึกของโกดังอองเดร ยืนจังก้า แผ่นหลังเหยียดตรง ราวกับการปรากฏของเขาไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็นการรอคอย—การแก้แค้นที่เขาคิดว่าเป็นของเขามุมปากเขายกขึ้น... แววตาเป็นประกาย แต่ในความลึกนั้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นลูคัสดวงตาแน่นิ่ง นิ้วหนาเล็งปลายกระบอกปืนไปยังอกของอองเดรอย่างมั่นคง “จบกันที... อองเดร”น้ำเสียงเรียบเย็น ราวมีดที่ถูกลับจนคมกริบไร้การขู่ ไม่มีแม้แววลังเลในถ้อยคำทั้งสองยืนประจันหน้า— เวลาเหมือนหยุดหมุน เสียงเขม่าควันปืนเมื่อครู่ยังคุกรุ่น
เจมส์ขับรถออกจากศาลด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องถนนเบื้องหน้าไม่กะพริบ ความคิดในหัววนเวียนซ้ำๆ เขาต้องไปหาแอลซ่า ต้องได้คำตอบเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด รถทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วเสียดแทงลมราวกับสะท้อนพายุในใจของเจมส์ที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกวินาที เสียงเครื่องยนต์คำรามดั่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ร้อนรุ่ม สับสน หวาดระแวงพริบตาเดียว รถเบรกกระทันหันจนยางเสียดกับพื้นถนนอย่างรุนแรง เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของแอลซ่า ประตูหน้าถูกล็อกแน่นสนิท ม่านหน้าต่างปิดราวกับไม่เคยมีใครอาศัย บ้านทั้งหลังเงียบงัน เย็นเยียบ เจมส์จ้องไปที่แม่กุญแจด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่ยังกำพวงมาลัยแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ทุกอย่าง...ผิดปกติเกินไปแล้วจู่ๆ... เสียงมือถือสั่นครืดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบเจมส์หันไปมองเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสายในทันที"คุณเจมส์ใช่ไหมครับ?" เสียงปลายสายจริงจัง และหนักแน่น"ใช่ ผมเอง..." เขาขานรับ เสียงแหบพร่า หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก“ขอความร่วมมือให้คุณมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจครับ… เกี่ยวกับการหายตัวไปของคุณอิมิลี่ —
กลางมหาสมุทรเวิ้งว้างไร้ขอบเขต เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มสะเทือนคลื่นลม เรือสปีดโบ๊ทสีดำทะมึนแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุด ลูคัสยืนประจันหน้ากับสายลมบ้าคลั่ง มือกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว มุ่งตรงไปข้างหน้า สู่เกาะร้างที่ซ่อนอันตรายและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาเอาไว้เบื้องหลัง ลูกน้องหลายชีวิตติดอาวุธครบมือ นั่งกระชับปืนไรเฟิลแน่น ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยว กวาดมองรอบตัวไม่หยุดด้วยสัญชาตญาณของนักล่า ทุกคนพร้อมระเบิดความโหดเหี้ยมได้ทันทีที่คำสั่งแรกถูกเปล่งออกมาไม่ไกลจากกันนัก บนเกาะร้างกลางทะเล ลูกน้องของอองเดรยกกล้องส่องทางไกลขึ้นแนบตา จับภาพเรือสปีดโบ๊ทที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเย็น ราวกับหมาป่าที่กำลังจะได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่"จัดการพวกมันเลยไหม?" เขาเอ่ยเสียงแข็งผ่านไมโครโฟนติดตัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหิวกระหายเลือดเสียงปลายสายดังขึ้น — ต่ำ ลึก และเย็นยะเยือก ราวกับน้ำแข็งกัดกระดูก"ยัง..." อองเดรลากเสียงยาวอย่างเลือดเย็น "ต้องให้มันเห็น...คนที่มันรัก...ทรมานจนขอความตายก่อนต่างหาก"ประโยคนั้นบาดลึกลงในความเงียบของทะเล ราวกั
เสียงล้อรถเสียดสีกับกรวดหน้าบ้านพักดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่รถจะหยุดสนิท ลูคัสไม่รอให้เครื่องดับ เขาผลักประตูออกแล้วก้าวพรวดลงจากรถอย่างร้อนใจ"เลโอล่ะ?" เสียงเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ คำถามถูกปล่อยออกไปทันทีที่เขาเห็น กลุ่มลูกน้องยืนรวมกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน เนื้อตัวมอมแมมด้วยคราบเขม่าควันและรอยเปื้อนดำจากเหตุไฟไหม้ร้านขายอุปกรณ์ตกปลาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนลูกน้องเหลือบตามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนหนึ่งจะตอบด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้ครับ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”คำตอบนั้นเหมือนค้อนทุบซ้ำลงกลางอก ลูคัสกัดฟันกรอด ดวงตาแข็งกร้าวราวกับเหล็กเย็น เขาไม่พูดอะไรอีก หันหลังเดินนำไปยังทางลับที่มุ่งสู่ห้องใต้ดิน เหล่าลูกน้องรีบลุกขึ้นเดินตามอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำบรรยากาศในบ้านพักเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ผนังเก่าข้างบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นล่าง ดูคล้ายจะกลืนซ่อนเสียงกระซิบจากอดีตไว้ใต้ฝุ่นและกาลเวลา ลูคัสดันประตูเหล็กเปิดออก เสียงบานพับเก่า ๆ ครางเบา ๆ ขณะเขาก้าวลงไปแสงจากหลอดไฟดวงเล็กฉายเงาทาบบนใบหน้าของเขา เงาที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน และความตึงเครียดที่ยากจะกลั้นในห้องใต้ดิน อาวุธหลากหลายชนิดวา
ทนายเจมส์ขับรถหรูเทียบจอดหน้า ศาลประจำจังหวัดเสียงเครื่องยนต์เงียบสนิทในขณะที่รถสปอร์ตสีดำมันวาวจอดหน้าอาคารราวกับภาพในภาพยนตร์ เช้าวันนี้... ท้องฟ้าเมฆหนาครึ้มปกคลุมราวกับบอกลางร้าย บรรยากาศคล้ายลมหายใจของใครบางคนที่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดัน เมฆหนาทึบแผ่ซ่านทั่วอาคารคอนกรีตสีซีด พื้นผิวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิตเสียงผู้คนจอแจหน้าอาคารศาลดังก้อง ความคุกรุ่นของความคาดหวังและความเครียดปะปนกันในอากาศรอบตัว ราวกับแม้แต่ออกซิเจนก็ถูกชำแหละด้วยสายตาและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบสายตาหลายคู่จ้องมายังถนนทางเข้า ราวกับรอคอย "ใครบางคน" วันนี้คือวันตัดสินคดี คดีที่เป็นข่าวฉาวของสังคม เขา...ในฐานะ ทนายฝ่ายจำเลย ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและความหวังของผู้คน ถูกกลุ่มลูกบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวหา เสียดแทงแต่เขาไม่สั่นไหว... ไม่เคยเลยและวันนี้—ศาลจะชี้ขาด ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของลูกความ แต่รวมถึงชื่อเสียงของเขา...ฝูงนักข่าวยืนดักรอราวกับฝูงหมาป่าล้อมเหยื่อ มือกำไมค์แน่น กล้องตั้งเรียงราย คำถามพร้อมถูกปล่อยทันทีที่เห็นเป้าหมายแต่เจมส์ยังไม่ลงจากรถ เขานั่งนิ่ง นิ่งจนภายในรถ