ปรางค์ปรียาน้ำตาไหลรินไม่หยุด ในอกเจ็บร้าวจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาเช่นไร มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน ยาวนาน และมันทำให้เธอได้ตระหนักถึงคำว่าความแค้น กัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ตนเองเอาไว้ พินอาภาดันเพื่อออกห่างกายจ้องมองใบหน้าแววตาหม่นน้ำตาเอ่อออกมาไม่หยุด เธอทำให้ปรางค์ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากไม่ชวนเพื่อนมาเที่ยวเรื่องเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น ปรางค์ต้องมารับเคราะห์เพราะเธอแท้ๆ
“กลับกันเถอะปรางค์ เรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว”พินอาภาบอกเพื่อนทั้งน้ำตา
หญิงสาวเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาราคาแพง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมามีเพียงสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆ
“เรากลับได้แล้วจริงๆ เหรอพิน”เธอยังคงไม่มั่นใจ
“จริงๆ ลุงเราจัดการเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
ปรางค์ปรียาโผเข้ากอดเพื่อนอีกครั้งด้วยความสุข เดีใจมากเหลือเกินได้รอดพ้นจากขุมนรกนี้เสียที พินอาภารีบดึงมือเพื่อนให้ตามไป เธอต้องการให้เพื่อนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เขากลับเดินมาดักทั้งสองไว้
หญิงสาวชะงักจับมือเพื่อนไว้แน่น พินอาภาเหลือบมองเพื่อนสาวเธอรับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเพื่อนเธอถึงได้หวาดกลัวมากมายขนาดนี้
“ฉันต้องการคุยกับเธอก่อน”เขาบอกพร้อมกับมองหน้าหญิงสาว
ปรางค์ปรียามองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้า เธออยากจะหนีให้พ้นจากเขาจริงๆ
“คุณต้องการอะไรอีก เพื่อนฉันไม่ต้องการพูดกับคุณ!”พินอาภาพยายามช่วยเพื่อน
“หากเพื่อนเธอไม่คุย ฉันจะไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!”
พินอาภามองหน้าเพื่อนอีกครั้งด้วยความสงสาร แต่หากไม่ยอมทำตามคำขอของเขาเธอเชื่อว่าเขาคงรั้งให้เพื่อนเธออยู่ที่นี่จริงๆ แน่
“ปรางค์... จะเอายังไง”
“ก็ได้เราคุยกับเขาก็ได้” หญิงสาวตอบรับเสียงสั่น
ยอมเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้เพื่อนได้พูดคุยกับเขาให้จบเรื่องไป ไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นยังต้องการรั้งเพื่อนเธอไว้อีก
ปรางค์ปรียายืนสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ลุคส์ข่มความรู้สึกบางอย่างไว้ เขารู้ว่าตนเองได้เข้าใจผิดไป เรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว และเขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใด เมื่อทุกอย่างมันสายไป
“คะ...คุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการพูดกับฉัน”เสียงสั่นเครือถามเขา
เขาชะงักพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดมือหนาจัดการปลดสร้อยที่อยู่รอบคอออก แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับมือเธอไว้แล้วหย่อนสร้อยเส้นนั้นไว้ในมือ ปรางค์ปรียามองสร้อยสีเงินมีจี้รูปหยดน้ำในมือแล้วเหลือบมองหน้าเขาด้วยความงุนงงหมายความว่ายังไง ให้สร้อยคอเส้นนี้กับเธอเพื่ออะไรกัน
“หมายความว่ายังไงคะ?”หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความสงสัย
“เก็บเอาไว้!”
“ฉันไม่ต้องการ!”เธอไม่ต้องการอะไรจากเขาทั้งนั้น ไม่อยากได้สมบัติจากเขาสักชิ้น แค่นี้ก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว ไม่อยากได้อะไรจากเขาให้มาย้ำเตือนความเจ็บปวดอีก
“ถ้าเธอไม่เก็บมันไว้ตามที่ฉันสั่ง เธออาจจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้!”
เธอรีบสวมสร้อยไว้ที่คอของตนเองทันที ไม่ต้องการอยู่ต่อแค่นาทีเดียวก็ไม่อยาก
“ฉันไปได้แล้วใช่ไหม!”
“เชิญ!”
หญิงสาวรีบเดินเลี่ยงเขาออกมา พินอาภารีบเดินมาจูงมือเพื่อนไว้แล้วพากันออกไปจากคฤหาสน์นั้น มือบางจับสร้อยที่เขาให้มาไว้แน่น จำใจยอมรับมันเพื่ออิสรภาพ
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังบอกบางลับจากสายตา ทั้งๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ทำไมหัวใจเกลับรู้สึกวูบไหวอย่างประหลาด ในหัวสมองสับสน ความรู้สึกที่แท้จริงในเวลานี้เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป
พินอาภาพาเพื่อนมาพักที่บ้านของลุง คิดว่าจะพักที่นี่สักระยะให้เพื่อนได้ปรับตัวและลืมเรื่องเลวร้ายไปเสียก่อน ค่อยกลับเมืองไทย เสียงน้ำตกกระทบผิวกระเบื้องดังอย่างต่อเนื่องพินอาภานั่งครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าเพื่อนมีบางอย่างที่แปลกไป ผู้ชายหน้าหล่อแต่ใจโฉดได้ทำอะไรปรางค์หรือเปล่า
สายน้ำที่กำลังไหลผ่านร่างกายไม่ได้ทำให้จิตใจกำลังปวดร้าวทุเลาลงได้เลย เธอเอาแต่เฝ้านึกถึงวันคืนเลวร้ายที่ผ่านมาไม่นาน แขนสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองท่ามกลางสายน้ำ น้ำตาไหลออกมาผสมปนเป เธอไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีกับอนาคตข้างหน้า แล้วชายที่เธอหวังฝากชีวิตจะยอมรับเธอได้หรือไม่ กับอดีตอันเลวร้ายเช่นนี้
ร่างบางนุ่งผ้าขนหนูสีขาวนวลเดินออกมาจากห้องน้ำ พินอาภาหันมองเพื่อนสาวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นผิวขาวเนียนของเพื่อนมีแต่รอยจ้ำเต็มไปหมด เดินเข้าไปหาด้วยความรู้สึกผิด เธอไม่รู้ว่าเพื่อนต้องเผชิญอะไรมา
พินอาภาจ้องมองน้ำตาไหลอาบแก้ม รั้งเพื่อนมาโอบกอดไว้แน่น ไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา
“เราขอโทษปรางค์...”
“ไม่เป็นไรพิน มันจบแล้ว...”ปรางค์ปรียาสะอื้นในอ้อมกอดเพื่อน
ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนเตียงกว้าง มือลูบไล้บนเตียงเบาๆ เขารู้ดีว่าเธอคนนั้นไม่ใช้หลานสาวของไมเคิแต่เพราะความโกรธ เห็นเธอบังอาจต่อปากต่อคำ และยังไม่กลัวตายเสียอีก เขาเกลียด! เธอกล้าท้าทายเขา ดังนั้นจึงลงทัณฑ์หญิงสาวอย่างเลือดเย็น เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอเธอจากไปเหมือนใจกำลังทรมาน
ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสจะให้สร้อยเส้นนั้นกับใคร เขารู้ดี เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เขารู้สึกมากมายจนอยากจะมอบสิ่งล้ำค่า ไว้ให้ หวังว่าเธอคงจดจำเขาได้บ้าง ในแง่ไหนก็ตาม เพราะมันแสดงว่าเธอยังคงมีเขาหลงเหลือในความทรงจำ
ปรางค์ปรียายืนนิ่งอยู่ตรงสนามบินพร้อมกับเพื่อนสาว ไม่นานนักคนขับรถมารับทั้งคู่ หญิงสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โดยที่มือข้างหนึ่งจับจี้ที่สร้อยคอไว้ เธอก้มลงมองมัน อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแค่เพียงความฝันที่ผ่านมาแล้วผ่านไป กำลังภาวนาขออย่าให้ตนเองได้พบกับเขาอีกเลย น้ำตาเหมือนกำลังอยากไหล แต่จำต้องกล้ำกลืนมันเอาไว้ ไม่อยากเสียน้ำตาเพราะชายใจร้ายอีกต่อไปแล้ว... จากกันแล้วก็ขออย่าได้พบกันอีกเลย
พินอาภาเหลือบมองเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดี จึงเอื้อมมือไปจับมือไว้แน่น เวลาผ่านไปไม่นานรถยนต์จอดลงที่หน้าบ้าน พีรยามารดาของพินอาภารีบเดินออกมาต้องรับพร้อมกับภูมิชัยซึ่งเป็นบิดา ร่างผอมบางเดินเข้ามาหาปรางค์ปรียาแล้วโอบกอดไว้สะอื้นไห้ด้วยความสงสาร คนถูกปลอบเลยต้องมาปลอบแทนเพื่อให้คลายสะอื้น มารดาเพื่อนคลายอ้อมกอดพร้อมใช้มือลูบไล้ใบหน้าหญิงสาวเบาๆ
“ขอบคุณมากนะลูก ที่ปกป้องยัยพิน... แม่ขอบคุณหนูมากนะ”พีรยาบอกทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเต็มใจ”
“ขอบใจมากนะปรางค์ ที่ทำเพื่อครอบครัวลุงมากขนาดนี้...”ภูมิชัยสมทบ
พีรยาจูงมือปรางค์ปรียาเข้าบ้าน เพื่อพูดคุยกันสักพักก่อนแยกย้ายกลับห้อง ปรางค์ปรียาทิ้งกายลงบนเตียงกว้างเม้มริมฝีปาก เวลานี้ต้องเข้มแข็ง รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายมาควรเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
แม้ปากเธออยากจะร้องห้ามอีก แต่ดันถูกเขาหยุดเสียงด้วยริมฝีปากหนาเสียก่อน จากขัดขืนในคราแรกไม่นานนักจึงเปลี่ยนเป็นหวานละมุนสมกับความคิดถึงที่ทั้งเธอและเขามีให้ต่อกัน เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่อาภรณ์หลุดหายออกจากเรือนร่างแต่เวลานี้ทั้งเธอและเขาต่างมอบความรู้สึกที่มีให้แก่กันเสียงนกร้องในรุ่งเช้าปลุกให้หญิงสาวลืมตาตื่น เหลือบมองสามีทีกำลังหลับอยู่ เธอลุกจากเตียงแต่งตัว รีบเดินตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณท่านเชิญคุณไปพบค่ะ” สาวใช้มาบอกขณะเธอกำลังเข้าครัว“ฉันเหรอคะ?”“ใช่ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”ปรางค์ปรียารีบเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทำงานของเมแกนทันทีด้วยความแปลกใจ มาถึงหน้าห้อง ประตูเปิดออก เธอเห็นโดยชายชรากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างบางหยุดยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะเรียกดิฉันมาพบ?”“มีสิ”มือเหี่ยวย่น เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ส่งให้หญิงสาว ปรางค์ปรียามองด้วยความแปลกใจ“เปิดดูสิ”ยอมเปิดดูตามคำบอก ภายในบรรจุด้วยสร้อยสีเงินดูธรรมดา แต่ที่น่าแปลกคือจี้ที่เหมือนกับที่ลุคส์ให้เธอในวันที่เธอจากมา และตอนนี้สร้อยนั้นเธอใส่ให้กับไทม์ไว้“หมายความว่ายังไงค
หญิงสาวแสร้งนิ่งไม่ตอบคำถาม เธอรู้สึกหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา ก่อนหน้านั้นยังตวาดอยู่หยกๆ พอรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้“ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหมปรางค์...”เขาพร่ำบอกมือหนาโอบรัดเอวบางไว้แล้วแนบแก้มไปกับหน้าท้องที่ยังไม่ได้ยื่นออกมามากนัก โดยมีเพียงเสื้อผ้าเป็นปราการกั้นไว้เท่านั้น“ปล่อยนะคะ”หญิงสาวแสร้งบ่นแล้วยันเขาออกเบาๆชายหนุ่มยังคงยืนหยัดโอบเธอไว้เช่นนั้น เธอเลยจำต้องปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งเขายอมคลายอ้อมกอด ดวงตาของมีแววประกายสดใสผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ“กี่เดือนแล้วปรางค์ ไปหาหมอหรือยังแล้วมียาทานหรือเปล่า?”หลากหลายคำถามพรั่งพรูออกมาทันที“จะสนใจทำไมคะ”“ทำไมพูดแบบนี้ละปรางค์ ในท้องคุณนั้นลูกผมนะ แล้วอีกอย่าง... ตอนที่คุณมีไทม์ผมไม่เคยแม้กระทั่งดูแลหรือรับรู้เลยด้วยซ้ำ”เสียงเขาเศร้าลงจริงอย่างที่เขาพูด...ช่วงเวลาที่มีไทม์อยู่ในท้องเธอเองทั้งเจ็บปวดทั้งสุขใจ มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมดแต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นหน้าลูก ความรู้สึกที่เกลียดพ่อของเขามันก็ถูกฝังลงในส่วนลึกของจิตใจแทน“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดฉันอภัยให้คุณหมดแล้ว ถึงแม
ชายชราถือไม้เท้ายืนนิ่ง อยู่ด้านหน้าหลุมศพที่สลักชื่อลูกัส ดาโคริด ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เริ่มมีน้ำตาเอ่อนองออกมา ด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขารู้ซึ้งถึงความเหงาและเจ็บปวดแล้ว เวลานี้ไม่มีใครมาสนใจ หรือเหลียวแลชายชราเช่นเขาอีก ลูกชายคนเดียวที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาใช้งานราวกับลูกน้องก็จากไป มันยิ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่มากขึ้นเวลานี้บรรยากาศทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลูกน้องและสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพอพูดคุยกับเขาเช่นลูกัสเลย มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกไป ไม่ได้ถืออะไรมาฝากลูก ที่ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ ไม่เคยได้รับรู้ว่าลูกัสชอบทานอะไร หรือชอบทำอะไรเลยสักอย่างเวลานี้มันคงสายไปแล้ว...หากว่าเขาอยากจะบอกขอโทษออกไปชายชราถือไม้เท้าเดินไปยังรถของตนเอง มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าเพื่อปาดน้ำตาที่ยังตกค้างให้หมดไป ชีวิตคนแก่เช่นเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากไม่นานนักหรอกมาเรีย...เขาจะไปพบเธอแน่นอน จะไปสารภาพความผิดที่เขาได้ทำไว้“เจ้านายต้องการอะไรอีกไหมครับ?”ลูกน้องถามเขา ชายชราโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน หลังจากรถมาจอดสนิททหน้าคฤหาสน์แล้วเสียงที่ดังก้องกังวานมีเพียงเสียง
พินอาภาเดินมาใกล้เพื่อนสาว แล้วหยิบมือถือมาให้ดู ดวงตาคู่สวยเรื่อไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นสภาพเขานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้“ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล วันๆ กินแต่เหล้า อะไรก็ไม่ยอมแตะ เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือปรางค์ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”ร่างบางทรุดกายลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าปล่อยโฮ พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อน แล้วรั้งมากอดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรายอมแล้วพิน...พาเรากับลูกไปหาเค้าที”ร่างเล็กปาดน้ำตาที่กำลังไหลมาไม่ขาด รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าไม่ยอมจางมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อก่อน เขาหวังและสุดท้ายมันก็เป็นจริงเขาจะได้พบพ่อแล้วเขาดีใจมากเหลือเกินเช้าวันรุ่งไทม์ช่วยแม่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยความสุข พินอาภายิ้มกับท่าทางของหลานที่วิ่งไปรอบบ้านไม่ให้แม่ต้องขยับทำอะไรเลย เขาพยายามหาข้าวของที่จำเป็นมาใส่กระเป๋าเพราะตอนเย็นจะต้องเดินทางแล้ว“ปรางค์...ดูหน้าไทม์สิดีใจใหญ่เลย”พินอาภาบอกเพื่อนคนเป็นแม่หันไปมองลูกแล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลูกมีความสุขหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสในวันนั้น“ขอบใจม
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสงสาร มีเพียงแค่เธอกับเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้กำลังมีความสุขในรัก แต่ระหว่างเพื่อนสาวและผู้ชายคนนี้กลับทุกข์แสนสาหัส ทำเพื่ออะไรกันเธอไม่เห็นจะเข้าใจ“ไปที่ห้องก่อนเถอะค่ะ”“ครับ” นั่งจัดเสื้อผ้าตนเองในห้อง ใจก็นึกว่าจะทำยังไงถึงช่วยเพื่อนและลุคส์ได้ เธอรู้ว่าสองคนรักกันมาก แต่กลับมีเส้นบางๆ ที่ไม่อาจข้ามมาได้ นี่ยิ่งทำให้ทรมานใจหนักเข้าไปเสียอีก ไม่ใช่ว่าใครไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลจำเป็นต้องแยกจากกันเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พินอาภารีบเดินไปเปิดประตูก่อน พบกับเทเรซ่าน้าสาวของลุคส์ที่มายืนซึมอยู่“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”“หนูพิน...เอ่อ...หนูปรางค์ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”พินอาภาชะงักจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงตรงหน้า“ไม่ได้มาค่ะ”เธอตอบเสียงเบา“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไรจ้ะน้าไปก่อนนะ”เสียงโวยวายบวกกับเสียงข้าวของมากมายในห้องแตกกระจาย ทำให้หญิงสาวรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นแฟนหนุ่มกำลังห้ามทัพเจ้านายตนเองโดยมีเทเรซ่าคอยห้ามปราบอีกคน“ผมจะบ้าแล้วรู้ไหม! เธอกลับมาหาฉันได้ไหมปรางค์...ฮือๆๆ” เขาสะอื้นหนักแล้วทรุดกายลงกับพื้นมือคว้าขวดเหล้าม
บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาคงทำได้แค่ปลอบใจและยืนมองแค่นั้นทุกอย่างคงต้องอยู่ที่คนสองคนแล้วเขาไม่รู้เหมือนกันว่าปรางค์ปรียาจะใจแข็งมากแค่ไหน“ฉันคิดถึงเธอปรางค์ปรียา...ฉันรักเธอได้ยินไหม!”เขาตะโกนลั่นออกมาร่างสูงใหญ่พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่กลับเซจนมาติชต้องรีบไปรับไว้ มาติชส่ายหัวไปมาด้วยความหนักใจ“ฉันอยากกินเหล้ามาติช พาฉันไปหน่อย...”แสงสีมากมายท่ามกลางคลับหรูใจกลางเมือง ร่างสูงใหญ่ยกน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสายไม่รู้กี่ขวดที่หายเข้าไปในลำคอแต่เขากลับยังไม่หยุด มาติชทำได้แค่เพียงยืนดูอยู่เช่นนั้นอาจจะดีหากเจ้านายของเขาดื่มจนหลับไป ดีกว่าเห็นผู้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือใครต้องมาทุรนทุรายเพราะพิษรัก“มาติช...สั่งเหล้ามาอีกเซ่!”บอดี้การ์ดหนุ่มกวักมือเรียกบริกรทันที และเหล้ายี่ห้อหรูราคาแพงก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา และผลของมันคือการที่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ มาติชรีบเดินเข้าไปหาแล้วสั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วยช่วยกันลากเจ้านายตนเองกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ถูกวางลงบนฟูกหนาเขาพลิกกายเล็กน้อย“ปรางค์...กลับมาหาผมเถอะได้โปรด...”เสียงละเมอของเขายิ่งทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกสะท้