พินอาภาทอดสายตามองวิวผ่านหน้าต่าง คำพูดของลุงไมเคิลยังวนเวียนในหัว สร้อยเส้นนั้นซึ่งลุคส์ให้กับเพื่อนมามีความหมายมากมาย มันเป็นสมบัติประจำตระกูล ไว้สำหรับผู้สืบทอดเท่านั้น แล้วเหตุใดชายคนนั้นจึงยอมถอดมันให้กับปรางค์ มันน่าแปลกมากจริงๆ เธอคงได้แค่หวังให้ปรางค์อย่าพบเจอเรื่องเลวร้ายอีก ปรางค์ปกป้องเธอมาแล้ว และเธอไม่มีวันทอดทิ้งเพื่อนอีกครั้งแน่นอน หญิงสาวแน่วแน่กับตนเอง
ร่างบางในชุดทำงานยืนมองตนเองหน้ากระจก ใบหน้าของถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีอ่อน ปรางค์ปรียายิ้มให้กับตนเอง ได้เวลาเริ่มต้นใหม่แล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อตนเองและครอบครัวของพิน
ปรางค์ปรียาก้าวลงบันไดมาพอดีกับเพื่อนที่กำลังลงมาเช่นเดียวกัน สองร่างเดินเคียงกันเพราะนัดหมายไปทำงานพร้อมกัน ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของใครบางคนมาจอดที่หน้าบ้าน ร่างสูงเดินลงมาจากรถแล้วโบกมือให้กับทั้งคู่ พินอาภายิ้มรับแล้วโบกมือตอบคว้าข้อมือเพื่อนเพื่อเข้าไปทักทายหนุ่มคนนั้น
เขาเดินมาหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับหยุดที่ผู้หญิงซึ่งตนหมายปองมานาน และดูเหมือนเธอเองก็มีใจให้เช่นกัน ปรางค์ปรียาเมินหน้าหนีไม่กล้าพอจะสบตา เธอกลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ใจก็รู้สึกชอบพอเขาไม่น้อยแต่เวลานี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว กวินภพมองหน้าหญิงสาวด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเธอนิ่งซึมไม่พูดจากับเขาเหมือนแต่ก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าปรางค์?”กวินภพถามด้วยความแปลกใจ
“ปะ...เปล่าเราไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ ไม่สบายหรือเปล่า?”ชายหนุ่มถามพลางยกมือขึ้นหมายจะแตะหน้าผาก แต่หญิงสาวกลับเบี่ยงกายหนีด้วยความตกใจ
พินอาภามองรู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร เหตุการณ์ในฝรั่งเศสคงเป็นเรื่องฝังใจ เธอหวังให้กวินภพอาจเข้ามาช่วยเยี่ยวยาแผลใจให้กับปรางค์ แต่ดูเหมือนปราค์ไม่ยอมเปิดรับ
“ปรางค์โกรธเราหรือเปล่า ถ้าเราทำอะไรไม่ดีขอโทษนะ”
ริมฝีปากบางกัดแน่นเพื่อข่มน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เธอพูดไม่ออก เขาไม่ผิด และคนที่ผิดคือเธอเอง เธอไม่มีค่าพออีกแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกไปทำงานกันเถอะ!”พินอาภาตัดบท ไม่อยากให้เพื่อนสารภาพความจริงออกมาในตอนนี้ ปรางค์จะตัดทุกคนออกจากชีวิตเพียงเพราะเรื่องที่ฝรั่งเศสไม่ได้ ปราค์ไม่ใช่คนผิด
มือบางถูกรั้งให้มาที่รถ พินอาภามองเพื่อนด้วยความเข้าใจ กวินภพ มองตามสาวที่หมายปองด้วยความไม่สบายใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นยังพูดคุยสนิทสนมกับเธอได้ แต่เวลานี้ทำไมเธอถึงมีท่าทีเปลี่ยนไป ปรางค์ปรียาเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่คนขับ พินอาภาอยู่เบาะหลัง กวินภพเคลื่อนรถออกจากบริเวณรั้วบ้าน ตลอดเส้นทางมีเพียงความเงียบ และสีหน้าอันหนักใจของปรางค์ปรียา ชายหนุ่มเริ่มสับสนและหวาดหวั่นภายในใจแต่ไม่กล้าถามอะไร
รถของกวินภพมาจอดหน้าบริษัท สองสาวลงจากรถพร้อมกัน ปรางค์ปรียาแหงนหน้ามองอาคารสูงก่อนถูกพินอาภาลากเข้าด้านใน เธอทำงานที่นี่มาหลายปีแล้วหลังจากเรียนจบมา บิดามารดาของพินอาภาเป็นคนรับเข้าทำงานแม้ตอนแรกจะเป็นขี้ปากของพนักงานคนอื่น หาว่าเธอใช้เส้นเข้ามาทำงานแต่นานไปเธอสามารถพิสูจน์ฝีมือการทำงานให้ทุกคนได้เห็นและเป็นที่รักในที่สุด
พินอาภาทำงานที่นี่ในฐานะเลขาของประธานบริษัทซึ่งก็คือบิดาของตนเอง ส่วนเธอทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดและเป็นเลขาแทนพินอาภายามจำเป็น เพราะใบหน้าที่สดใสบวกกับน้ำเสียงอ่อนหวานทำให้ลูกค้าต่างชื่นชมในตัวพนักงานอย่างเธอ จนหญิงสาวได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณเป็นพนักงานดีเด่นอยู่หลายต่อหลายปี
“ยัยพินพ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำงานลวกๆ!”พินอาภาโดนประธานบริษัทดุอีกครั้ง
“ก็พินบอกพ่อแล้วนี่คะว่าให้ปรางค์เป็นเลขาแทน มาให้พินทำอยู่ได้ แล้วพอทำพ่อก็บ่นไม่หยุดเลย” หญิงสาวย้อนสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“แกเรียนจบมาก็นานแล้ว จะให้พ่อเลี้ยงแกจนแก่เลยหรือไงยัยพิน พ่อไม่ได้อายุยืนขนาดนั้นนะ”
หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วชะงักก่อนอมยิ้ม เมื่อเห็นหน้าเพื่อนตนเองหน้าบูดบึ้งเพราะโดนบิดาต่อว่าเรื่องการทำงานอีกแล้ว
“ปรางค์ช่วยเราด้วย พ่อจะเทศน์เราอีกแล้ว”เธอรีบร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นที่ทำงานลูกน้องทำผิดก็ต้องโดนเจ้านายดุเป็นธรรมดา” ปรางค์ปรียาหยอก
พินอาภาเลยหน้างอแล้วสะบัดก้นเดินหนี ปรางค์ปรียาหัวเราะแผ่ว หัวใจเธอผ่อนคลายลงแล้ว ดีแล้วที่มันเป็นเช่นนี้
“อย่า อย่าทำอะไรฉัน!”
ร่างบางในนอนสายเดี่ยวสีขาวสะดุ้งตื่น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มใบหน้า หายใจหอบเหนื่อยราวกับผ่านการวิ่งมานาน ริมฝีปากเม้มสนิท เข่าถูกยกตั้งชันมือปิดหูส่ายหน้าน้ำตาเอ่อล้นจนอาบแก้ม ทำไม ทำไมกัน เธอควรลืมมันไปได้แล้ว ชายคนนั้นยังตามมาหลอกหลอนทุกค่ำคืน เธอต้องผวาตื่น หลับไม่เคยเต็มตา จะมีสักครั้งไหมที่เธอสามารถลบเลือนอดีตอันโหดร้ายนี่ลงได้ ไม่อยากจดจำเรื่องเลวร้ายอีกแล้ว
มาติชยืนมองเจ้านายตนเองเห็นเขานั่งเงียบแทบทุกวัน บางครั้งเหม่อมองเป็นเวลาหลายชั่วโมง เขาไม่เคยเห็นเจ้านายออกไปเที่ยวที่ไหนหรือควงผู้หญิงมานอนด้วยอีกเลย หวังว่านายคงไม่หลงรักผู้หญิงไทยคนนั้นหรอก ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลัง หากผู้ชายอีกคนรู้เข้า
ร่างอวบอัดเดินเข้ามาด้านในคฤหาสน์อย่างถือวิสาสะ ในขณะที่เจ้าของบ้านไม่ได้สนใจกับสาวเจ้าแม้แต่น้อย ลุคส์ระบายลมหายใจ เอมม่ามองเห็นเขาเลยเดินเข้ามาหานั่งลงเคียงข้าง
“ลุคส์คะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มชะงักหันมองคู่หมั้น
“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกเอมม่าได้นะคะ”
เอมม่ากวาดสายตามองไปรอบๆ เธอกำลังมองหาผู้หญิงคนนั้น อยากรู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ตั้งแต่วันนั้นเธอไม่เคยมาที่นี่อีกเลย เพราะรู้ว่าลุคส์กำลังโกรธจัด เลยรอให้เขาอารมณ์เย็นลงก่อน
ชายหนุ่มเหลือบมองคู่หมั้นตนเองที่กำลังทำตัวเป็นสายลับด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าจะหาผู้หญิงคนนั้นล่ะก็สบายใจได้เธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นเลิกมองหาสักทีผมรำคาญ!”เสียงกร้าวดังขึ้น
คู่หมั้นสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ เธอรีบยิ้มหวานกลบเกลื่อนแล้วดึงมือของเขาข้างหนึ่งมาแนบแก้มไว้
“เอมม่าขอโทษนะคะ เอมม่าก็แค่หวงคุณเท่านั้นเอง ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนมายุ่งกับคุณ... เพราะเอมม่ารักคุณมาก คืนนี้... เอมม่าขอค้างที่นี่นะคะ”
ถ้อยคำของเอมม่าไม่ได้ทำให้เขาสนใจแม้แต่น้อย ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วเหลือบมองคู่หมั้นตนเอง
“แล้วแต่คุณเถอะเอมม่า”เขาตอบเธอแล้วเดินเลี่ยงไปที่ห้อง
เอมม่ารีบเดินตาม เห็นเขาเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานนักก็ออกมาแล้วจัดการกับตนเอง หยิบเอกสารสำคัญมานั่งอ่านบนเตียง เธอรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำบ้างและออกมาในชุดนอนวาบหวิว เรืองร่างอวบอัดตามแบบฉบับสาวยุโรปค่อยๆ คืบคลานขึ้นไปบนเตียงแล้วซบลงบนอีกกว้างมือลูบไล้แผงอกเบาๆ อย่างเชิญชวน
ลุคส์วางเอกสารลง บางทีเอมม่าอาจช่วยให้เขาเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นเสียที... มือหนาโอบรัดเอวอวบเข้ามาหาเอมม่ายิ้มประจบพร้อมประกบริมฝีปากอีกทั้งใช้ความช่ำชองควานหารสสัมผัสเร่าร้อน ชายหนุ่มพยายามตอบสนองความต้องการแต่ใจเขากลับนึกไปถึงอีกคน
คู่หมั้นสาวโอบรัดรอบคอเขาแล้วดันร่างสูงเอนลงบนฟูกหนา ร่างอวบโยกย้ายสะโพกด้วยแรงปรารถนาแต่ชายหนุ่มกลับมองเห็นเป็นใบหน้าของอีกคน ร่างกายอาจตอบสนองต่อเธอตามธรรมชาติ แต่ใจ กลับไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อใบหน้าหวานลอยมาวนเวียนจนเขาแทบคลั่ง ทำยังไงถึงจะหยุดมันได้! เขากัดฟันแล้วพลิกกายคู่หมั้นไว้ใต้ร่างแล้วขยับกายแทนที่ ร่างอวบอัดบิดเร้ากรีดร้องอย่างสุขสม...
จะมีโอกาสได้พบเธอคนนั้นไหม พยายามถามตัวเอง พรหมลิขิตจะพาให้เขาได้พบกับผู้หญิงคนนั้นไหม ผู้หญิงที่เขาไม่เคยสนใจใฝ่รู้แม้กระทั่งชื่อหรือฐานะอะไร มีเพียงความปรารถนาที่มีต่อเธอเพียงเท่านั้น เธอต้องรังเกียจเขาแน่เพราะเขาคือผู้ชายที่ทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น
แม้ปากเธออยากจะร้องห้ามอีก แต่ดันถูกเขาหยุดเสียงด้วยริมฝีปากหนาเสียก่อน จากขัดขืนในคราแรกไม่นานนักจึงเปลี่ยนเป็นหวานละมุนสมกับความคิดถึงที่ทั้งเธอและเขามีให้ต่อกัน เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่อาภรณ์หลุดหายออกจากเรือนร่างแต่เวลานี้ทั้งเธอและเขาต่างมอบความรู้สึกที่มีให้แก่กันเสียงนกร้องในรุ่งเช้าปลุกให้หญิงสาวลืมตาตื่น เหลือบมองสามีทีกำลังหลับอยู่ เธอลุกจากเตียงแต่งตัว รีบเดินตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน“ขอโทษนะคะ พอดีคุณท่านเชิญคุณไปพบค่ะ” สาวใช้มาบอกขณะเธอกำลังเข้าครัว“ฉันเหรอคะ?”“ใช่ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ”ปรางค์ปรียารีบเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทำงานของเมแกนทันทีด้วยความแปลกใจ มาถึงหน้าห้อง ประตูเปิดออก เธอเห็นโดยชายชรากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ร่างบางหยุดยืนแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา“มีอะไรหรือเปล่าคะเรียกดิฉันมาพบ?”“มีสิ”มือเหี่ยวย่น เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ส่งให้หญิงสาว ปรางค์ปรียามองด้วยความแปลกใจ“เปิดดูสิ”ยอมเปิดดูตามคำบอก ภายในบรรจุด้วยสร้อยสีเงินดูธรรมดา แต่ที่น่าแปลกคือจี้ที่เหมือนกับที่ลุคส์ให้เธอในวันที่เธอจากมา และตอนนี้สร้อยนั้นเธอใส่ให้กับไทม์ไว้“หมายความว่ายังไงค
หญิงสาวแสร้งนิ่งไม่ตอบคำถาม เธอรู้สึกหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา ก่อนหน้านั้นยังตวาดอยู่หยกๆ พอรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้“ผมดีใจมากแค่ไหนคุณรู้ไหมปรางค์...”เขาพร่ำบอกมือหนาโอบรัดเอวบางไว้แล้วแนบแก้มไปกับหน้าท้องที่ยังไม่ได้ยื่นออกมามากนัก โดยมีเพียงเสื้อผ้าเป็นปราการกั้นไว้เท่านั้น“ปล่อยนะคะ”หญิงสาวแสร้งบ่นแล้วยันเขาออกเบาๆชายหนุ่มยังคงยืนหยัดโอบเธอไว้เช่นนั้น เธอเลยจำต้องปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งเขายอมคลายอ้อมกอด ดวงตาของมีแววประกายสดใสผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ“กี่เดือนแล้วปรางค์ ไปหาหมอหรือยังแล้วมียาทานหรือเปล่า?”หลากหลายคำถามพรั่งพรูออกมาทันที“จะสนใจทำไมคะ”“ทำไมพูดแบบนี้ละปรางค์ ในท้องคุณนั้นลูกผมนะ แล้วอีกอย่าง... ตอนที่คุณมีไทม์ผมไม่เคยแม้กระทั่งดูแลหรือรับรู้เลยด้วยซ้ำ”เสียงเขาเศร้าลงจริงอย่างที่เขาพูด...ช่วงเวลาที่มีไทม์อยู่ในท้องเธอเองทั้งเจ็บปวดทั้งสุขใจ มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมดแต่สุดท้ายแล้วเมื่อเธอได้เห็นหน้าลูก ความรู้สึกที่เกลียดพ่อของเขามันก็ถูกฝังลงในส่วนลึกของจิตใจแทน“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดฉันอภัยให้คุณหมดแล้ว ถึงแม
ชายชราถือไม้เท้ายืนนิ่ง อยู่ด้านหน้าหลุมศพที่สลักชื่อลูกัส ดาโคริด ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา เริ่มมีน้ำตาเอ่อนองออกมา ด้วยความรู้สึกผิดจับใจ เขารู้ซึ้งถึงความเหงาและเจ็บปวดแล้ว เวลานี้ไม่มีใครมาสนใจ หรือเหลียวแลชายชราเช่นเขาอีก ลูกชายคนเดียวที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาใช้งานราวกับลูกน้องก็จากไป มันยิ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่มากขึ้นเวลานี้บรรยากาศทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลูกน้องและสาวใช้ไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าพอพูดคุยกับเขาเช่นลูกัสเลย มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาออกไป ไม่ได้ถืออะไรมาฝากลูก ที่ไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ ไม่เคยได้รับรู้ว่าลูกัสชอบทานอะไร หรือชอบทำอะไรเลยสักอย่างเวลานี้มันคงสายไปแล้ว...หากว่าเขาอยากจะบอกขอโทษออกไปชายชราถือไม้เท้าเดินไปยังรถของตนเอง มือเหี่ยวย่นลูบใบหน้าเพื่อปาดน้ำตาที่ยังตกค้างให้หมดไป ชีวิตคนแก่เช่นเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มากไม่นานนักหรอกมาเรีย...เขาจะไปพบเธอแน่นอน จะไปสารภาพความผิดที่เขาได้ทำไว้“เจ้านายต้องการอะไรอีกไหมครับ?”ลูกน้องถามเขา ชายชราโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน หลังจากรถมาจอดสนิททหน้าคฤหาสน์แล้วเสียงที่ดังก้องกังวานมีเพียงเสียง
พินอาภาเดินมาใกล้เพื่อนสาว แล้วหยิบมือถือมาให้ดู ดวงตาคู่สวยเรื่อไปด้วยน้ำตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นสภาพเขานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบนี้“ตอนนี้เขาป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล วันๆ กินแต่เหล้า อะไรก็ไม่ยอมแตะ เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือปรางค์ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน”ร่างบางทรุดกายลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าปล่อยโฮ พินอาภารีบเข้าไปประคองเพื่อน แล้วรั้งมากอดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่“เรายอมแล้วพิน...พาเรากับลูกไปหาเค้าที”ร่างเล็กปาดน้ำตาที่กำลังไหลมาไม่ขาด รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าไม่ยอมจางมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อก่อน เขาหวังและสุดท้ายมันก็เป็นจริงเขาจะได้พบพ่อแล้วเขาดีใจมากเหลือเกินเช้าวันรุ่งไทม์ช่วยแม่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยความสุข พินอาภายิ้มกับท่าทางของหลานที่วิ่งไปรอบบ้านไม่ให้แม่ต้องขยับทำอะไรเลย เขาพยายามหาข้าวของที่จำเป็นมาใส่กระเป๋าเพราะตอนเย็นจะต้องเดินทางแล้ว“ปรางค์...ดูหน้าไทม์สิดีใจใหญ่เลย”พินอาภาบอกเพื่อนคนเป็นแม่หันไปมองลูกแล้วยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลูกมีความสุขหลังจากกลับมาจากฝรั่งเศสในวันนั้น“ขอบใจม
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสงสาร มีเพียงแค่เธอกับเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้กำลังมีความสุขในรัก แต่ระหว่างเพื่อนสาวและผู้ชายคนนี้กลับทุกข์แสนสาหัส ทำเพื่ออะไรกันเธอไม่เห็นจะเข้าใจ“ไปที่ห้องก่อนเถอะค่ะ”“ครับ” นั่งจัดเสื้อผ้าตนเองในห้อง ใจก็นึกว่าจะทำยังไงถึงช่วยเพื่อนและลุคส์ได้ เธอรู้ว่าสองคนรักกันมาก แต่กลับมีเส้นบางๆ ที่ไม่อาจข้ามมาได้ นี่ยิ่งทำให้ทรมานใจหนักเข้าไปเสียอีก ไม่ใช่ว่าใครไม่ดี แต่เพราะมีเหตุผลจำเป็นต้องแยกจากกันเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พินอาภารีบเดินไปเปิดประตูก่อน พบกับเทเรซ่าน้าสาวของลุคส์ที่มายืนซึมอยู่“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”“หนูพิน...เอ่อ...หนูปรางค์ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”พินอาภาชะงักจ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยของหญิงตรงหน้า“ไม่ได้มาค่ะ”เธอตอบเสียงเบา“เหรอจ๊ะ งั้นไม่เป็นไรจ้ะน้าไปก่อนนะ”เสียงโวยวายบวกกับเสียงข้าวของมากมายในห้องแตกกระจาย ทำให้หญิงสาวรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นแฟนหนุ่มกำลังห้ามทัพเจ้านายตนเองโดยมีเทเรซ่าคอยห้ามปราบอีกคน“ผมจะบ้าแล้วรู้ไหม! เธอกลับมาหาฉันได้ไหมปรางค์...ฮือๆๆ” เขาสะอื้นหนักแล้วทรุดกายลงกับพื้นมือคว้าขวดเหล้าม
บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมา เขาคงทำได้แค่ปลอบใจและยืนมองแค่นั้นทุกอย่างคงต้องอยู่ที่คนสองคนแล้วเขาไม่รู้เหมือนกันว่าปรางค์ปรียาจะใจแข็งมากแค่ไหน“ฉันคิดถึงเธอปรางค์ปรียา...ฉันรักเธอได้ยินไหม!”เขาตะโกนลั่นออกมาร่างสูงใหญ่พยายามทรงตัวลุกขึ้นยืนแต่กลับเซจนมาติชต้องรีบไปรับไว้ มาติชส่ายหัวไปมาด้วยความหนักใจ“ฉันอยากกินเหล้ามาติช พาฉันไปหน่อย...”แสงสีมากมายท่ามกลางคลับหรูใจกลางเมือง ร่างสูงใหญ่ยกน้ำสีอำพันเข้าปากไม่ขาดสายไม่รู้กี่ขวดที่หายเข้าไปในลำคอแต่เขากลับยังไม่หยุด มาติชทำได้แค่เพียงยืนดูอยู่เช่นนั้นอาจจะดีหากเจ้านายของเขาดื่มจนหลับไป ดีกว่าเห็นผู้ชายที่เคยมีอำนาจเหนือใครต้องมาทุรนทุรายเพราะพิษรัก“มาติช...สั่งเหล้ามาอีกเซ่!”บอดี้การ์ดหนุ่มกวักมือเรียกบริกรทันที และเหล้ายี่ห้อหรูราคาแพงก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าเขา และผลของมันคือการที่ชายคนหนึ่งกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดสภาพ มาติชรีบเดินเข้าไปหาแล้วสั่งลูกน้องที่ติดตามมาด้วยช่วยกันลากเจ้านายตนเองกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ถูกวางลงบนฟูกหนาเขาพลิกกายเล็กน้อย“ปรางค์...กลับมาหาผมเถอะได้โปรด...”เสียงละเมอของเขายิ่งทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกสะท้