ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 7
ร้านอาหารเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาทานข้าวมื้อค่ำ ดนตรีสดกำลังเล่นคลออยู่ที่เวทีทางด้านหน้า โต๊ะเราคงเป็นโต๊ะที่เสียงดังที่สุดเพราะไม่ได้เจอกันมานาน แต่ละคนก็เลยยิงคำถามเข้าใส่กันไม่หยุด
ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ว่าเก้อกระดากเขินอายเวลาอยู่กับบรรดาเพื่อนผู้ชายเป็นฝูง เลยไม่ได้ต้องสงวนกิริยาท่าทีแบบกุลสตรีเท่าไรนัก ทุกคนกินเบียร์ฉันก็เอาด้วย เพื่อนเล่นกระดกขวดฉันก็เอาด้วย ต่างจากผู้หญิงอีกคนในกลุ่มไม่นับลันตาซึ่งไม่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้
ฟางเป็นผู้หญิงไม่ต่างกันกับฉัน แต่กลับเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ดวงหน้าหวานหัวเราะทีทำเอาผู้ชายใจละลายได้เป็นแถว ซ้ำยังแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย ไม่ ‘แรด’ เหมือนที่เพื่อนคนอื่นลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นฉันโผล่เข้ามา
ถึงอย่างนั้นฉันก็ชินแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็มักจะโดนด่าแบบนี้เป็นประจำ และก็ไม่ได้มีใครมานั่งสนใจร่องนมฉันเหมือนที่สองเป็นกังวลด้วย เพราะฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ไม่ได้เคยเคอะเขินกับสายตาเพื่อนอะไรแบบนั้น…
หากจะเคยมีเขิน ก็เว้นอยู่แค่คนเดียว…
“ว่าแต่ตอนนี้พวกมึงสองคนอยู่ด้วยกันจริง?”
“…”
วงสนทนาเงียบกริบลงตอนที่คาร์เตอร์หรือที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่า เตอร์ หันมามองฉันสลับกับอีกคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งเยื้อง ๆ กัน แต่แทนที่ฉันหรือสองจะเป็นคนตอบคำถาม เสียงของตัวต้นเรื่องอย่างโซ่กลับเป็นคนเอ่ยตอบแทน
“ก็ใช่ดิ คิดว่ากูโกหกหรือไง?”
ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะ ก็อยากจะลุกไปกระโดดถีบขาคู่ใส่คนที่ไม่ได้มีสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่ตัวเองเป็นต้นเหตุเข้าสักทีอยู่เหมือนกัน
โซ่เป็นคนหล่อไม่แพ้สองเลย แต่ความหล่อของมันในสายตาฉันนับวันยิ่งจะลดลงเพราะไอ้นิสัยแบบนี้นี่แหละ
“แล้วยังไง?”
เตอร์หันไปมองหน้าสองที่กำลังม้วนเส้นสปาเกตตีกินอย่างสบายอารมณ์ คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองสายตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้อง ปากก็เคี้ยวไปด้วย
“อะไร?”
“ไม่ตีกันแล้ว?”
“นั่นดิ ตอนนู้นเห็นตีกันทุกวัน”
“ตอนไหนวะ?”
“ก็หลังจากที่แยมมันบอกชอบไอ้สองไง”
“…”
ให้ตาย…
คนพวกนี้เหมาะจะเป็นเพื่อนกันไปจนตายจริง ๆ ตอนนั้นขี้เผือกยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้ต่าง
อาจเป็นเพราะนิสัยเดิมของฉันที่ไม่เคยตีโพยตีพายเวลาใครพูดถึงเรื่องนี้ เพราะจริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อายที่เพื่อนรู้เท่าไร หากจะอายใครคงจะเป็นอายสองเสียมากกว่า
และในสถานการณ์ตอนนี้ เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานหลายปี ทุกคนจะหยิบยกมาพูดก็ไม่แปลก
คงคิดกันไปว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับสองแล้วจริง ๆ
ที่บอกว่าฉันกับสองตีกันทุกวันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นไม่ใช่การลงไม้ลงมือ แต่เป็นเพราะสองเอาแต่แกล้งแหย่ไม่เลิก และฉันเองก็อับอายขายขี้หน้าเจ้าตัวเกินกว่าที่จะอยู่เฉยได้
มองย้อนกลับไปก็เป็นอะไรที่ตลกดี
เหตุการณ์ในตอนนั้น สองไม่ใช่คนที่ตีตัวออกหาก เจ้าตัวก็ยังเหมือนเดิม เป็นฉันเองต่างหากที่ทนอยู่ใกล้คนที่ว่าไม่ได้อีกต่อไป จนเราห่างกันในที่สุด
แต่ตอนนี้…
ก็คงจะต้องแล้วแต่เวรแต่กรรม…
คนอื่นยังคงเร้าหรือสอบซักถามสองไม่เลิก เจ้าตัวไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่เคี้ยวจนแก้มตุ่ย สายตาชำเลืองมองมาหลายต่อหลายครั้ง จนคนอื่นพากันหันมาคาดคั้นเอาจากฉันแทน
“ว่าไงแยม?”
“ว่าไงอะไร?”
“ดีกันแล้ว?”
“ก็ไม่ได้โกรธอะไรกันสักหน่อย” ฉันตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก คนอื่นพากันพ่นลมหายใจเสียงดัง สีหน้ารู้ทันเหมือนกันไปหมด
“ไม่ได้โกรธ แต่บอกพวกกูว่า…”
“ไม่ต้องพูด” ฉันเอ่ยขัดขึ้นทันที เพราะรู้อยู่ว่าเพื่อนจะพูดอะไร
ก็แค่บอกว่า… ถ้าชวนสองไปไหน ฉันจะไม่ไป… แค่นั้นเอง…
“และไอ้โซ่ก็เพิ่งบอกว่าพวกมึงทำงานที่เดียวกันด้วย?” เตอร์ยังรับบทพิธีกรยื่นไมค์ถามต่อ คนกระจายข่าวได้ยินการพาดพิงถึงชื่อของตัวเองรีบหันหน้าหนีทันที
“บังเอิญว่าเราย้ายมาทำที่บริษัทเดียวกับสอง”
“แบบนี้ก็กลับมาสนิทกันได้อะดิ”
“เออ พวกมึงกลับมาซี้กันเหอะ พวกกูขี้เกียจนัดกันทีละรอบ”
“สองว่าไง?”
“อะไร?”
คนถูกหันไปจ้องอีกครั้ง จำต้องเงยหน้าขึ้นจากการกิน เห็นแล้วก็น่าหงุดหงิดเอาแต่กินอยู่ได้ไม่คิดจะช่วยกันตอบคำถามบ้างเลยหรือยังไง…
“พวกมึงจะกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมได้สักทีหรือยัง? พวกกูขี้เกียจนัดหลาย ๆ รอบ พอนัดมึง แยมก็ไม่ยอมมา พอนัดแยม แม่งก็ห้ามชวนมึง”
คาร์เตอร์เอ่ยต่อ และทุกคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยไปตาม ๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่ฟางเพื่อนสาวคนเดียวที่เอาแต่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่
เพราะฉันไม่อยากจะเป็นคนตอบเลยแสร้งก้มหน้าเลื่อนมือถือเล่น ทว่าหางตาก็ชำเลืองมอง สงสัยเหมือนกันว่าอีกคนจะตอบคนอื่นว่าอะไร
กลายเป็นว่าตอนนี้สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่สอง และต้องรอให้เจ้าตัวกินจนหมดปากก่อนถึงจะได้ฤกษ์ตอบ
สองคว้าเบียร์ไปกระดกดื่ม ชักช้าลีลาจนทุกคนพากันถอนหายใจ แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าส่ง ๆ
“อะไรของมึง?” เตอร์ยังคงเป็นคนถาม
“ก็เออไง” และสองก็ตอบทันที
“เอออะไร?”
แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่ทุกคนที่ตั้งตารอฟังว่าสองจะพูดอะไร ถึงฉันเองก็แอบลอบชำเลืองมองเหมือนกัน และเจ้าตัวเองก็กำลังมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“กูก็ง้อเพื่อนพวกมึงอยู่นี่ไง”
“…”
ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นทำสีหน้ายังไง
รู้ก็แค่ตัวฉันต้องรีบหลุบตาลงต่ำหลบสายตาเพื่อนที่พากันมองมาเพื่อลอบสังเกตปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง
ปฏิกิริยาแบบที่ฉัน… คงจะไม่แสดงออกไปให้ใครได้รู้ทัน…
03.00 น.
โชคดีที่ดื่มกันไปไม่เยอะเท่าไร หลังจากกลับมาจากการสังสรรค์กับเพื่อนทำให้ฉันยังมีสติมากพอที่จะอ่านเอกสารรายงานยอดขายของบริษัทในช่วงปีก่อน ๆ ที่ได้มาจากพี่อ้อยเมื่อตอนกลางวันก่อนนอนได้ต่ออีกหลายชั่วโมง
เงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าตอนนี้ควรจะเข้านอนได้แล้ว…
เพราะเป็นเวลาดึกมาก เลยคิดว่าสองคงจะนอนหลับไปแล้ว ทำให้ไม่ทันได้คิดอะไรตอนที่เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพชุดนอนวาบหวิวแบบที่คงจะให้อีกคนเห็นไม่ได้
ตู้เย็นเต็มไปด้วยขวดเบียร์เรียงกันเป็นตับ แทบจะหาน้ำเปล่าที่ต้องการไม่เจอ ก็ยังดีที่เหลืออยู่ตรงมุมประตูตู้ขวดหนึ่ง
ครืด!
จังหวะที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มก็ต้องตกใจจนสำลัก เพราะเสียงเปิดประตูระเบียงดังขึ้น สองที่น่าจะหลับไปแล้วกลับยังไม่หลับ
“ทำไมยังไม่นอน?”
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่เดินเข้ามาจนใกล้ ฉันที่ลนลานหนักรีบเก็บขวดน้ำใส่ตู้เย็น ตั้งท่าจะวิ่งหนีเพราะสภาพไม่ควรมาอยู่กับอีกคนตามลำพังสักเท่าไร แต่สองก็มายืนดักหน้าไว้อีกครั้ง
แม้ว่าในห้องจะมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็น่าเป็นกังวลอยู่ดี เนื่องจากชุดนอนที่ใส่อยู่ขณะนี้มันค่อนข้างวาบหวิว ซ้ำตัวฉันก็ไม่ได้ใส่บราเพราะกำลังจะเข้านอน
และวินาทีนี้สองเองก็น่าจะเห็นแล้วเหมือนกัน ถึงได้ทำทีเบนสายตาไปทางอื่น
“หลบ เราจะไปนอน”
“ขอคุยด้วยแป๊บนึง”
“เอาไว้ว่ากันพรุ่งนี้” ฉันพยายามจะเบี่ยงตัวเดินหนี แต่คนพูดไม่รู้เรื่องก็คว้าแขนไว้
สุดท้ายก็จำใจต้องดึงแขนกลับมากอดอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อตัดรำคาญ
“สองมีอะไร?”
“เมื่อไร…”
“เมื่อไรอะไร?”
“เมื่อไรเราจะกลับมาสนิทกันเหมือนเดิม?”
“…”
แม้จะมืด แต่เพราะน้ำเสียงจริงจังผิดวิสัยทำให้ฉันแอบตกใจไม่น้อยกับคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน สองนิ่งอยู่ครู่ก็ถอนหายใจเบา ๆ
“แยม…”
“สองสูบบุหรี่มาเหรอ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง เปลี่ยนเรื่องกะทันหันเพราะได้กลิ่นที่ว่าจากเจ้าตัว หัวคิ้วเลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ อีกคนนิ่งอยู่อึดใจก็พยักหน้าส่ง ๆ
“กลับมาสูบได้สองปีแล้ว”
“ตอนนั้นก็เลิกได้แล้วไง”
“ก็ตอนนั้นเพราะแยมไม่ชอบให้ตัวเรามีกลิ่นบุหรี่”
“…”
“แต่ตอนนี้มันไม่มีใครห้าม”
“สอง”
“แต่เดี๋ยวเลิกให้”
“…”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศชั่วครู่ เราต่างคนต่างขยับตัวกันอย่างอึดอัดอยู่ในความมืด และฉันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ไม่ต้องเลิกเพราะเราหรอก แต่สองควรเลิกเพราะสุขภาพตัวเอง”
“ก็ไม่มีแรงจูงใจ”
“แล้วเราเป็นแรงจูงใจตรงไหน?”
“ก็แยมไม่ชอบ”
“…”
“ถ้าสูบก็เข้าใกล้ไม่ได้”
“…”
“แบบนั้นก็กลับไปสนิทไม่ได้”
“…”
“เพราะงั้น เดี๋ยวจะเลิกให้…”
“เราจะไปนอนแล้ว”
ฉันตัดบทขึ้นอีกครั้ง เพราะไม่รู้จะตอบอะไร และคราวนี้สองก็ไม่ได้เอ่ยรั้งกันไว้เหมือนนาทีก่อน กลับปล่อยให้เดินผ่านเข้าห้องง่าย ๆ
ทันทีที่ประตูปิดลงฉันก็ถอนหายใจเบา ๆ พิงแผ่นหลังกับบานประตูอย่างหนักใจ
สองมาพูดแบบนี้ ก็คืออยากจะกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมแน่นอน สำหรับสองแล้วคงจะไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา…
แต่ตัวฉันเองต่างหากจะสามารถรับแรงกระแทกของอะไรบางอย่างในสถานะเพื่อนสนิทที่ก็เคยมีเรื่องผิดพลาดมาก่อนแล้วได้ดีแค่ไหน…
บอกตรง ๆ ว่ากลัวตับพัง… ตอนนี้ยังไม่มีอะไหล่สำรอง…