ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 5
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
นี่มันสวรรค์ชัด ๆ
ฉันรู้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล รู้ว่าตลอดทั้งวันทั้งคืนมีที่เที่ยวหลากหลายแบบให้เลือก และสวรรค์สำหรับคนที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจอย่างกานดาก็คงไม่พ้นตลาดโต้รุ่งตรงหน้า ที่แม้ว่าเวลาจะดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้วยังมีผู้คนจับจองโต๊ะนั่งดื่มนั่งกินกันอย่างคึกคัก
“เยอะไปมั้ง”
เสียงพึมพำของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเอ่ยขึ้น สายตากวาดมองบรรดาอาหารที่ฉันเดินไปซื้อมาจากร้านอาหารหลายร้าน ส่งผลให้ตอนนี้บนโต๊ะแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้วางอะไรได้อีกแล้ว
“นาน ๆ ทีได้ออกมากินตอนดึกก็ต้องจัดเยอะ ๆ สิ” ฉันยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจ
ตรงหน้าของเก๋ามีเพียงจานขนมจีนแกงเขียวหวานไก่เท่านั้น และตอนนี้ก็เกือบจะหมดจานแล้วด้วย ในขณะที่ฉันยังไม่ได้เริ่มแตะอาหารแม้แต่จานเดียวเพราะมัวแต่เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เลือกซื้อของกินไม่จบไม่สิ้น
หลังจากนั้นก็คือสวรรค์ของฉันเอง อาหารตรงหน้าช่างอร่อยไปเสียทุกอย่าง ยิ่งกินก็ยิ่งมีความสุข คงเพราะมัวแต่สุขสมกับการกินทำให้ลืมสนใจคนที่มาด้วยกันไปเสียสนิท
พอเงยหน้ามองก็พบว่าเก๋ากำลังนั่งเท้าคางมองกันอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าไม่มีเค้าประหลาดใจที่เห็นฉันซัดแหลกขนาดนี้
ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูดีขึ้นบ้างแล้ว แม้จะยังมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำม่วงเขียวแต่ก็ดีกว่าเมื่อวาน อย่างน้อยก็ไม่ได้มีเลือดซึมตรงมุมปาก และฉันก็ยังไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คิดขึ้นมาได้ก็ต้องขอสอบปากคำสักหน่อย ไหน ๆ เราก็มีพันธสัญญาร่วมกันแบบที่ต้องเจอหน้ากันไปอีกหลายเดือน
“เมื่อวานทำไมถึงได้โยนออกมาแบบนั้น?”
“ก็แค่ชกต่อย” คนตอบไหวไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่คำตอบที่ได้ฟังทำเอาฉันหูผึ่ง
“เป็นอันธพาลปะเนี่ย?”
“…”
ทันทีที่ได้ฟังคนโดนสอบก็เลื่อนหัวคิ้วเข้าหากัน ก็พอรู้ว่าออกจะละลาบละล้วงไปสักหน่อย แต่เป็นใครก็ต้องอยากรู้ว่าคนที่คบหาสมาคมด้วยเป็นคนประเภทไหนไม่ใช่หรือไง
“ก็ต้องถามไว้ก่อนสิ เผื่อวันดีคืนดีโดนต่อยร่วงขึ้นมาจะทำยังไง?”
“สมมติว่าผมทำงั้นจริง พี่คงไม่ร่วงหรอก”
“ใครจะไปรู้ เธอตัวใหญ่กว่าฉันตั้งเยอะ…”
“ก็ถ้าแค่ความสูงมันก็ถูกอยู่”
“จะด่าว่าอ้วนก็ด่ามาเหอะ เจอมาจนชิน”
“…”
ฉันทำเป็นเมินตักนู่นนี่เข้าปากต่อไม่ได้สนใจถามหาเอาความอะไรด้วย เจอกันแค่วันเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกปากไม่ดี พูดจาขวานผ่าซาก มะนาวไม่มีน้ำ แต่แบบนี้ก็คุยง่ายเหมือนกันไม่ต้องนั่งประดิษฐ์คำพูดเหนียมอายกันไปมา
แต่เก๋ากลับเงียบไป ฉันช้อนสายตาขึ้นมอง มือข้างหนึ่งถือปีกไก่ไว้เตรียมกิน จังหวะเดียวกันคนที่นั่งเงียบก็คว้าเอาทิชชูมาเช็ดปากให้
“พี่อายุเท่าไหร่? กินเป็นเด็กเลย”
“แบบน่ารักอะเหรอ?”
ก็รู้อยู่ว่าคำตอบคงจะไม่ใช่ แต่เพราะตอนนี้อารมณ์ดีเลยพูดส่งเดชออกไปแบบนั้น เก๋ายิ้มตอบ แต่เป็นยิ้มที่แลดูจะประชดกันมากกว่า
“ถ้าคิดแล้วสบายใจก็ตามนั้น”
“เค้”
ฉันพยักหน้ารับยิ้ม ๆ แทะไก่ต่ออย่างไม่ยี่หระ ถึงจะโดนแซะแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่นี้ฉันรับได้สบายมาก แต่กลายเป็นว่าคนฝั่งตรงข้ามยังคงมองกันไม่เลิก รอยยิ้มประหลาดก็ยังคงประดับอยู่บนดวงหน้าอยู่อย่างนั้น
ก็ประหลาดแบบที่ว่าปากยิ้มคิ้วขมวดไง
“มีอะไร?”
“ไม่ยักรู้ว่าพี่เป็นคนอารมณ์ดี”
“หมายความว่าไง?”
“เมื่อวานไม่เห็นยิ้มเก่งขนาดนี้”
เก๋ากวาดตามองบรรดาอาหารบนโต๊ะแล้วตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นใหม่ “หรือเพราะได้กิน?”
“ก็คงจะอย่างนั้น”
ฉันพยายามทำเหมือนว่าไม่ใส่ใจ จริงแล้วอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีกระปรี่กระเปร่า แต่ลึก ๆ แล้วก็มีอีกอย่างที่ทำให้ฉันผ่อนคลายลง ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะขยายความอะไรให้อีกฝ่ายฟัง
มันไม่ใช่ความลับใหญ่โต ฉันก็แค่อยากจะใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้สุขที่สุดมันก็เท่านั้น
หลังจากซัดนู่นนั่นนี่จนเต็มคราบหนังท้องเริ่มจะตึง ก็เพิ่งได้ละสายตาจากอาหารมองไปรอบตัว และเพิ่งรับรู้ถึงสายตาของคนอื่นที่ชำเลืองมองมาที่โต๊ะของเรา
ถ้าไม่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าตาดี คนพวกนั้นก็คงพากันคิดไปว่าฉันคนนี้มานั่งทำอะไรอยู่กับเขาเป็นแน่ นอกจากจะมีสายตาหวานหยดหยอดให้เก๋าแล้ว ยังมีอีกสารพัดสายตาข้องใจเบนมองมาที่ฉันด้วย
ก็ได้แต่คิดว่าควรทำใจให้ชิน เพราะคงเจอสายตาประเภทนี้ไปอีกสักพักใหญ่ เก๋าเองก็ดูจะไม่รู้สึกอะไรแค่นั่งมองฉันกิน และสายตาก็ห่างไกลจากคำว่าเอ็นดูหลายส่วน เอาเป็นว่าแค่มองก็พอ
“เอาอีกไหม?” น้ำเสียงกึ่งประชดเปรยขึ้น และฉันก็พยักหน้ารับทันที
“เธอกินเบียร์ไหม?”
“ชอบกินเบียร์?” นัยน์ตาของคนฟังมีแววประหลาดใจ ถึงฉันเองก็แปลกใจตัวเองพอกัน
“จริง ๆ แทบไม่กิน แต่เพราะแทบไม่ได้กินนี่แหละถึงได้อยากจะจัดสักหน่อย”
“แล้วเวลาเมาเป็นไง?”
“ไม่เคยเมา” ก็เพราะเคยดื่มไปแค่ครั้งละแก้วสองแก้วแค่นั้น…
แน่นอนว่าประโยคท้ายฉันเติมในใจ เก๋าเงียบอยู่ครู่ก็ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะพยักหน้าเรียก
“จะไปร้านไหน?”
“มีร้านไหนแนะนำบ้าง?”
“อยากได้แนวไหน?”
“จริง ๆ แบบไหนก็ได้ แค่อยากออกมาเจอโลกตอนกลางคืนบ้าง”
ฉันบอกไปตามจริง เพราะก็แค่อยากจะดูบรรยากาศยามค่ำคืนบ้าง ปกติไม่เคยได้ออกมาข้างนอกแบบนี้ อย่าว่าแต่กลางคืนเลยกลางวันก็เหมือนกัน…
เราพากันออกมาจากบริเวณที่เป็นตลาด บนรถเงียบอยู่ได้ไม่กี่นาทีคนรับหน้าที่พลขับก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“เรื่องค่าจ้าง พี่จ่ายให้ผมสองรอบได้ไหม?”
“หืม?”
“ค่าจ้าง”
“ยังไงนะ?”
สายตาจำต้องหันไปมองเมื่อเขาพูดเรื่องเงินขึ้นมา และเก๋าก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทันได้เห็นแค่แวบเดียวก่อนจะก็แปรเปลี่ยนเป็นสนิทนิ่งเหมือนเคย
“อันที่จริงผมก็อยากทำงานให้ครบเดือนก่อน แต่พี่ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่รู้จักกัน ไม่ใช่แค่พี่ไม่ไว้ใจผม ผมก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้เงินจริง เรามีก็แค่หนังสือสัญญา”
“แล้วจะให้จ่ายยังไง?”
“ก็วันนี้สักครึ่ง อีกครึ่งก็ค่อยจ่ายสิ้นเดือน”
“อืม…”
“หรือไม่ก็เป็นงี้แค่เดือนแรก และถ้ามันไม่มีปัญหาเดือนต่อไปพี่ก็ค่อยให้ผมตอนสิ้นเดือน”
เจ้าตัวว่ามาอีกด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้ดูมีลับลมคมใน ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ เหมือนคุยเรื่องทั่วไปไม่ได้มีใจความสลักสำคัญอะไร
นี่อาจจะเป็นจิตวิทยาหลอกให้เหยื่อตายใจ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็พยักหน้ารับ
“งั้นเดี๋ยวส่งเลขบัญชีมา”
“…”
“เรายังไม่มีช่องทางติดต่อเลย บอกไอดีไลน์หน่อย…”
“…”
ฉันเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เข้าสู่หน้าแอปฯ ที่ว่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าอีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสีหน้าแปลก ๆ หัวคิ้วเลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย
“พี่ก็แปลกคน”
“อะไรแปลก?”
“คงไม่มีใครที่ไหนให้เงินคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มงาน”
แหม ก็จริงอยู่…
ระหว่างเราเงียบเชียบลงอีกครั้ง ตัวฉันยังคงเปิดหน้าแอปฯ ค้างไว้อย่างนั้น ส่วนคนที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอค่าจ้างล่วงหน้าก่อนก็ไม่ยอมบอกช่องทางการติดต่อสักที และตอนที่กำลังจะเร่ง เจ้าตัวกลับถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ช่างเหอะ ค่อยจ่ายก็ได้”
“ก็ไหนตอนแรกบอกว่า…”
“ผมก็หน้าด้านพอตัว แต่พอคุยกับคนซื่อบื้อไม่ยงไม่แย้งสักคำก็ไม่รู้จะพูดไง”
“ก็เมื่อกี้เธอเป็นคนขอเอง”
“เอาโทรศัพท์มา”
เก๋าตัดบทดึงมือถือของฉันไป พิมพ์อยู่ครู่ก็ส่งคืนมาให้โดยที่ไม่พูดอะไรอีก หน้าจอโชว์แค่คอนแท็กต์สำหรับใช้ติดต่อกันเท่านั้น ไม่ได้มีเลขที่บัญชีธนาคารพ่วงมาด้วย
เขาเงียบ ฉันเองก็เงียบเหมือนกัน
มันก็ถูกอยู่ ที่เก๋าเองก็มีสิทธิ์ไม่ไว้ใจกันเหมือนที่ฉันคิดในตอนแรก ส่วนฉันเองก็ดูซื่อบื้อในการที่จะยอมจ่ายโดยที่ไม่คิดจะปริปากแย้งแม้แต่น้อย แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ
เอาเข้าจริง เด็กนี่ก็ดูเป็นคนใช้ได้อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญ หรืออ้อนจะเอาให้ได้แบบที่เคยดูผ่านตามาจากละคร
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้าตึง มือเท้าชา ไม่ใช่เพราะเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่เป็นเพราะเด็กนี่พากลับมาที่คอนโดต่างหาก!
ร่างสูงของคนที่เดินนำหันมองกลับมาตอนเราหยุดยืนลงที่หน้าห้อง สายตาขบขันของคนที่ว่าฉายชัดเมื่อเห็นว่าฉันอยู่ในอารมณ์บึ้งบูดแค่ไหน มือข้างหนึ่งของเก๋าถือถุงเบียร์กับถุงน้ำแข็ง ส่วนอีกข้างกำลังเปิดประตู
และใช่! เราไม่ได้โผล่ไปที่ร้านเหล้าเหมือนอย่างที่คุยกันไว้ในตอนแรก
“กินนี่แหละ”
“แต่ฉันอยากไปกินที่ร้าน”
“นี่ผมหวังดีนะ”
“…”
ขายาวก้าวไปที่กลางห้องวางของในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหาอะไรต่อมิอะไรในครัวโดยไม่คิดจะขยายความเพิ่ม
ฉันทำหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องก่อนจำต้องเดินตามเข้าไป รู้สึกขัดใจอยู่ลึก ๆ ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คุยกันเอาไว้ในตอนแรก และเจ้าตัวคงจะหันมาเห็นสีหน้าแบบที่เรียกได้ว่าไม่พอใจ เลยเพิ่งคิดได้กระมังว่าต้องอธิบายในการกระทำของตัวเองมากกว่านี้สักหน่อย
“พี่บอกว่าไม่เคยเมา”
“แล้ว?”
“จะได้รู้ลิมิตตัวเองก่อนไง กินที่ห้องจะได้รู้ว่าเวลาเมาแล้วอาการมันประมาณไหน”
กลัวว่าจะลำบากตัวเองละสิไอ้เก๋า!
เก๋าเห็นว่าฉันทำหน้าไม่เชื่อก็อธิบายต่อ
“ผมไม่ได้กลัวว่าพี่จะมาเป็นภาระ แต่ขืนผมต้องแบกพี่ขึ้นคอนโดสภาพพี่เมาเละ มีหวังลุงรปภ.คนนั้นได้ตามตำรวจแน่”
“…”
ฟังดูดีมีเหตุผลที่เอ่ยอ้างถึงลุงแช่มขึ้นมา เพราะลุงแกก็หูตาเป็นสับปะรดจริง ๆ แต่เด็กนี่จะมารู้ได้ยังไงว่าคนที่ตนอ้างถึงมีนิสัยยังไง
ก็ดูเก๋าจะเดาได้อีกว่าฉันคิดอะไร…
“วันนี้แค่ผมมานั่งรอ ก็เดินมาถามแล้วถามอีกว่ามาหาใคร ถามซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบ”
“…”
“ทีนี้เกตยัง?”
คนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ยักคิ้วกวน และฉันก็เห็นจริงตามนั้นสุดท้ายเลยได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ เพราะก็เถียงไม่ออกจริง ๆ
“ถ้าเหตุผลข้อนี้ก็พอเข้าใจได้”
“แต่ถ้าถึงวันที่ต้องแบกพี่ขึ้นมาจริง ๆ แล้วส่งผลให้กระดูกสันหลังผมมีปัญหา พี่ก็ต้องรับผิดชอบออกค่าหมอค่าโรงพยาบาลให้ด้วย”
เหอ ๆ ไอ้เด็กบ้านี่…
“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเสนอให้มากินที่ห้อง จบนะ”
“ดี”
ร่างสูงหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ และดึงเอาเบียร์ออกมาจากถุง เก๋าจัดการทุกอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีก ถึงฉันเองที่ไม่พอใจในตอนแรกก็ได้แต่ถอนหายใจ นั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน
และนาทีถัดมาเราก็ยกเบียร์ขึ้นชน…
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่