ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรัก
ตอนที่ 4
วันต่อมา
ร้านทำผมเป็นสถานที่ที่กานดาไม่ได้เฉียดเข้าใกล้มาเกือบปีได้แล้วตั้งแต่หั่นผมครั้งสุดท้ายเมื่อปีก่อน และนี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฉันตัดสินใจมาเข้าร้านที่ว่าซึ่งอยู่ใต้คอนโดของฉันเอง
กระจกเงาบานโตสะท้อนภาพผู้หญิงใบหน้ากลมแป้นขาวโบ๊ะแก้มแดงโดยธรรมชาติ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งตัดสินใจยืดตรงยาวสยายถึงบั้นเอว ส่งผลให้ฉันในเวลานี้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เพราะไม่ได้มีผมที่ฟูเพิ้งเหมือนอย่างตอนแรกที่ย่างกรายเข้าร้านมา
หลังจากใช้เวลาที่ร้านทำผมร่วมสามชั่วโมง ตอนนี้รถก็จอดสนิทลงที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้าในละแวกใกล้กันกับคอนโด สิ่งที่ตั้งใจจะทำในลำดับถัดไปก็คือการ ‘ชอปปิง’
การชอปเป็นสิ่งที่สาว ๆ ส่วนใหญ่โปรดปราน เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกที่คู่กันกับผู้หญิงอย่างเรา ๆ ทว่านิสัยของฉันมันช่างห่างไกลจากคำว่า ‘สาว ๆ’ อยู่หลายขุมทำให้ไม่ค่อยได้มาทำอะไรแบบที่ว่าสักเท่าไร
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตามานานมากแล้ว ชุดที่ดีที่สุดก็ผ่านการใช้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาได้หลายปี
ฉะนั้นนี่คือโอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน ก็อย่างเช่นว่าผลาญเงินไปกับการชอปปิงให้ตัวเองนี่ไง
และเป็นครั้งแรกในชีวิตจริง ๆ ที่เพิ่งค้นพบว่าการใช้เงินแบบไม่ต้องคิดเป็นโมเมนต์ที่สวรรค์แค่ไหน ไม่ว่าจะเดินเข้าร้านใดก็จะได้สินค้าจากทางร้านนั้นติดไม้ติดมือออกมาแทบจะทุกร้าน
กระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงสองข้อแขนก็พะรุงพะรังไปด้วยถุงกระดาษจากหลากหลายแบรนด์
เป็นเพราะไม่ค่อยได้เดินหรือออกกำลังกาย หลายปีที่ผ่านมาล้วนใช้เวลาอยู่ที่หน้าคอมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การเดินชอปในวันนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้วเพราะเริ่มที่จะปวดเท้าขึ้นมา
ไม่ก็อาจเป็นเพราะรองเท้าเวรตะไลคู่ที่ใส่อยู่ ราคาของมันเหยียบหมื่นแต่กลับเล็กกระจิริดตรงช่วงปลายเท้า ยิ่งเดินนานเท่าไรก็เริ่มรู้สึกเจ็บมากขึ้นทุกที ไหนจะความเมื่อยขบอ่อนล้าท่อนขาที่ลากเดินไม่หยุดนี่ก็ด้วย
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนต่อไหน จะว่าเป็นคนขี้เกียจก็ได้ มันก็ตามนั้นจริง ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเลยส่งผลให้ผิวกายขาวซีดเหมือนไม่ได้รับแสงมาร่วมปีแบบนี้ไง
พอคิดว่าคงเดินต่อไม่ไหว และตั้งใจจะกลับไปที่รถ ทว่าระหว่างทางนั่นเอง สายตาก็บังเอิญมองไปเห็นช็อปขายเครื่องสำอางที่กำลังตั้งบูทเซลล์กระหน่ำลดราคาสินค้ากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
ที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงนั้นมักจะเห็นป้าย SALE เป็นไม่ได้ต้องรีบวิ่งเข้าใส่ อันที่จริงฉันก็เป็นผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกัน เพียงแค่ก่อนหน้านี้ป้ายแบบนั้นที่กานดาสนอกสนใจจะอยู่ในโซนของกิน
แต่ตอนนี้สายตากลับเอาแต่เพ่งมองไปยังบูทเครื่องสำอางนั่นไม่หยุด ยิ่งเสียงหวาน ๆ ของพนักงานขายร้องเชิญชวนก็ยิ่งเพิ่มความอยากซื้อ ยิ่งผู้หญิงสวย ๆ ที่ทำหน้าที่ยืนเชียร์กวักมือเรียกก็ยิ่งอยากจะวิ่งเข้าใส่
รู้อีกทีร่างกายก็นำหน้าสมองไปอีกก้าว รู้อีกทีฉันก็ใช้เวลาอยู่ตรงหน้าบูทเครื่องสำอางร่วมชั่วโมง เพราะปกติเป็นคนไม่แต่งหน้าทำให้ไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไรเลยต้องยืนฟังพนักงานแนะนำอยู่นานอย่างที่เห็น เกิดจะมาอยากเรียนรู้การเสริมสวยเอาตอนนี้ก็ลำบากหน่อย
แต่แหม… ปีสุดท้ายของชีวิตก็ต้องลองทำมันให้หมดทุกอย่างนั่นแหละ ตายไปจะได้ไม่เสียดาย!
เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับการใช้จ่ายแบบไม่คิดชีวิต ทำให้หลงลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท กว่าจะนึกขึ้นได้ก็คือตอนที่ขับรถกลับมาถึงคอนโด และได้เห็นร่างสูงคุ้นตาในชุดนิสิตปล่อยชายเสื้อนั่งสูบบุหรี่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ ปากพ่นควันไปพลางก็ยกแขนขึ้นดูเวลาไป
ฉันก้มลงมองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเองอีกคน พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มเข้าให้แล้ว ใจเกิดจะรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนมายืนรอ ซ้ำคนที่ว่ายังเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมากด้วย
เขามาจริงสินะ…
เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องบ้าบอแบบที่ฉันแอบคิดตอนตื่นขึ้นมา รวมถึงพยายามจะไม่สนใจเรื่องที่ว่ามาตลอดทั้งวัน
ตั้งแต่ลืมตาตื่น ใจก็เกิดคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่สถานการณ์ประหลาดที่เราบังเอิญทำร่วมกัน พอเด็กคนนั้นกลับไปนอนคิดสักคืนอาจเปลี่ยนใจไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็เป็นได้ ระหว่างเรามีสัญญาก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีพยานรู้เห็นสักหน่อย ตอนแรกฉันแอบคิดแบบนั้น
แต่กลายเป็นว่าเขามาจริง ๆ
“นึกว่าต้องรอจนเช้า” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยทักขึ้นก่อน พลางก็ยกโทรศัพท์ขึ้น “ลืมขอเบอร์ติดต่อ”
“นั่นสิ”
“…”
ฉันพึมพำได้แค่นั้น แล้วรีบเดินไปแบกของที่ชอปปิงมาตลอดทั้งวันลงจากท้ายรถ กว่าจะหิ้วหมดก็เล่นเอาเหงื่อตก
กลิ่นบุหรี่จางทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง คนที่เมื่อครู่ยืนอยู่ห่างออกไป ตอนนี้มาหยุดยืนที่ด้านข้าง สายตาเรียบเฉยจับจ้องนิ่งที่ทรงผมใหม่ของฉันโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไร พร้อมกันสารพัดถุงในมือก็ถูกกระตุกไปถือแทนทั้งหมด แล้วเริ่มออกเดินนำ
“ผมหิว”
“ก็แล้วทำไมไม่กิน?”
“จะเอาเวลาไหนไปกิน? กลัวไปแล้วคลาดกัน”
“เธอเลยยืนรอ?”
“ออกค่าข้าวให้ด้วย ยืนรอตั้งนาน”
“…”
ตอนแรกก็แอบเห็นถึงความตั้งใจ แต่เพราะไอ้ประโยคล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงรอคนมาจ่ายตังค่าข้าวให้มากกว่า ดูท่าเก๋าจะไม่ได้งกแค่คำพูด แต่คงเป็นคนหน้าเลือดจริง ๆ
เด็กอะไรโคตรจะเค็ม…
“แต่มันก็ดึกแล้ว ถ้าพี่ง่วงผมกลับก่อนก็ได้ ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้…” น้ำเสียงราบเรียบเรียกสายตาให้หันกลับไปมองอีกหน และแน่นอนว่าฉันสั่นหัวปฏิเสธ
“นี่ก็หิวเหมือนกัน สี่ทุ่มแล้วมันยังไง?”
“สำหรับพี่ก็น่าจะอย่างนั้น” คนพูดไม่วายถากถาง แต่ฉันก็แสร้งไม่สนใจ
“เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วไปกันเลยก็ได้”
“ก็ต้องงั้น รอตั้งหลายชั่วโมง”
“แล้วจะเสนอทำไมแต่แรก…”
“พูดไปตามมารยาท”
“…”
เหรอยะ… ไม่ยักรู้ว่ามี…
เราไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อก็ต้องหยุดชะงักลง ตอนที่ชายร่างเล็กในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินมาขวางกลางทาง เป็นคนคุ้นหน้ากันดีอย่างลุงแช่ม รปภ. ประจำคอนโด
แม้ปากแกจะยิ้มจนเห็นฟันแทบจะครบทั้งสามสิบสองซี่ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เมื่อเห็นว่าฉันพาผู้ชายมาด้วย
“สวัสดีครับคุณกานดา!” เสียงเอ่ยทักทายดังขึ้น พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะเป็นการเป็นงาน “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายคนนี้…”
“เพื่อนค่ะ”
ฉันตัดบททันที กระนั้นอีกฝ่ายก็มีสีหน้าคลางแคลงใจตามแบบคนขี้จับผิดเป็นนิสัย แล้วก็ทำเสียงฉงนขึ้นอีก
“รูปหล่อเลยนะครับ”
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ตาลุงคนเดิมยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ แม้แกจะไม่พูดออกมาตรง ๆ ก็พอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร อาจคิดไปว่าฉันในยามนี้ถึงขั้นต้องซื้อเด็กหนุ่มมาปรนเปรอความสุขให้ตัวเอง
ถึงมันจะทำนองนั้นจริง แต่เดาได้ว่าไม่นานเรื่องนี้จะต้องรู้กันทั่วเป็นแน่ ตั้งแต่ป้าแม่บ้าน เจ๊ร้านทำผม ยันลุงร้านขายข้าวนั่นแหละ
ลุงแช่มเป็นพวกประเภทดูหนังสืบสวนสอบสวนมากเกินพอดี หรือไม่ก็ติดจะจุ้นจ้านช่างสังเกตเกินไปนิด
คราวก่อนแค่ฉันไม่ลงมาจากคอนโดหนึ่งสัปดาห์ นิติฯ ก็ถึงกับไปเรียกที่ห้องเพราะได้ข่าวว่าฉันตรอมใจตายเนื่องจากหาแฟนไม่ได้ และไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนนานมากแล้ว ประกอบกับสภาพของฉันในระยะขวบปีให้หลังมันค่อนข้างจะย่ำแย่มากพอดู
คนที่มักจะสงสัยในชีวิตเปล่าเปลี่ยวเดียวดายของกานดาคนนี้ก็เห็นจะมีแค่ลุงแกแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่ข้อดีมันก็มี ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ สภาพศพฉันคงจะไม่อืดบวมมากนักหากมีการพบศพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น และแน่นอน คนที่เกิดจะเอะใจว่าฉันหายไปเป็นคนแรกคงไม่พ้นลุงแช่มนี่เอง
ถ้าคนอื่นมีป้าข้างบ้านคอยใส่ใจ ฉันก็มีลุง รปภ. คนนี้ที่คอยใส่ใจเหมือนกัน
ในลิฟต์เงียบจนน่าอึดอัด ยิ่งตัวลิฟต์เป็นกระจกเงาทั้งสี่ด้านก็ยิ่งรู้สึกอายหนักขึ้นทุกทีกับสายตาของคนด้านหลังที่กำลังมองสำรวจกันผ่านทางกระจก คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะทำใจให้ชินกับสายตานิ่งสนิทอ่านไม่ออกแบบนั้นได้ยังไง
มันเป็นสายตาที่ไม่แสดงอารมณ์ แต่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ที่แน่ ๆ ในสายตาเก๋า ฉันคงไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์เป็นแน่
อันที่จริงฉันก็แค่อวบ…
โอเค… ในสายตาคนอื่นก็อาจจะเรียกได้ว่าอวบระยะสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยยืนเทียบกันแบบนี้เก๋าตัวใหญ่กว่าเห็น ๆ แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นผู้ชาย ซ้ำยังดูลีนไปทั้งตัว
พอถึงห้องอีกฝ่ายก็จัดแจงวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งรอที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว และเพราะเป็นห้องแบบสตูดิโอไม่ว่าฉันจะเดินไปตรงไหนแน่นอนว่าเก๋าเห็นหมด และไม่คิดจะรักษามารยาทเลยด้วย
ก็ได้แต่พยายามจะไม่สนใจ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดที่สบายกว่านี้มาเปลี่ยน เป็นต้นว่าเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์กับกางเกงวอร์มสักตัว กินเสร็จจะได้ไม่ต้องมานั่งแขม่วพุงไง นี่คือหนึ่งในเทคนิคการกินให้สบายท้องที่สุดสำหรับฉันเอง
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พบว่าเก๋ายังคงนั่งอยู่ที่เดิมสายตาจับจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์พร้อมรัวนิ้วพิมพ์แชตไปด้วย แต่พอเงยหน้ามาเห็นกันก็ลุกขึ้นยืน รีบเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง
"พี่อยากกินอะไร?”
“อะไรก็ได้”
“…”
ฉันไม่ทันได้สนใจต่อ หันกลับมาทาแป้งฝุ่นที่หน้ากระจกหลังจากผ่านการล้างหน้ามาเมื่อครู่ ก็ทันได้สบตากับคนถามที่ยืนล้วงกระเป๋ามองอยู่ที่ด้านหลัง และคำถามเดิมก็ถูกถามซ้ำอีกครั้ง
“อยากกินอะไร? พี่ไม่บอกผมก็เอาใจไม่ถูก เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนถ้าผมพาไปกินอะไรที่ไม่ชอบเดี๋ยวจะพานไม่ประทับใจ…”
“ชอบหมดแหละ ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นของกิน”
ฉันตอบไปก็หัวเราะไป เรือนผมสีน้ำตาลถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเพื่อเตรียมพร้อมไปออกศึก จัดการตัวเองเสร็จก็หมุนตัวกลับไปหาเก๋าที่ยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิม และเห็นทีจะมีฉันคนเดียวที่ขำ เพราะอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทราวกับรอฟังคำตอบจริงจัง
อะไรมันจะเครียดขนาดนี้ เรื่องของกินเป็นอะไรที่จอยที่สุดในชีวิตกานดาแล้วนะจะบอกให้
แต่เพราะคนตรงหน้าคงอยากจะได้คำตอบจริงจัง สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ ปั้นยิ้มจนตาหยี ยกมือขึ้นตบบ่ากว้างเบา ๆ
“เอาเป็นว่า ไปที่ไหนก็ได้ที่มีของกินเยอะ ๆ ก็พอ”
เก๋าชะงักไปเล็กน้อยกับอากัปกิริยาของฉันที่คงจะเปลี่ยนไปแบบปัจจุบันทันด่วน อย่างเช่นว่ากำลังยิ้มอยู่ในขณะนี้ หรือไม่ก็การตีซี้ด้วยการตบเข้าที่บ่า
จริง ๆ แล้วฉันเป็นคนอารมณ์ดี แต่แค่เมื่อวานเราเพิ่งจะรู้จักกันจะยิ้มเรี่ยราดก็ไม่ใช่เรื่อง ซ้ำระหว่างเราคงจะต้องเจอกันไปอีกนาน ผูกมิตรกันไว้ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน
ถึงเด็กนี่ดูจะเป็นพวกผูกมิตรไม่ได้เรื่องก็ตาม ขนาดว่าฉันยิ้มจนเมื่อยปาก เก๋าก็ไม่แม้แต่จะยิ้มตอบ แต่เอาเถอะ ไม่ได้คาดหวังแต่แรกอยู่แล้ว
ว่าแล้วก็คว้าเอากระเป๋าสตางค์เดินนำออกจากห้อง แต่เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ต้องหันกลับไปมอง เก๋าพยักพเยิดไปที่เตียงซึ่งมีโทรศัพท์ของฉันเองวางทิ้งเอาไว้ตรงนั้น
“ไม่เอาโทรศัพท์ไป?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเงินสด”
“แล้วไม่ต้องเล่น? ไม่ต้องคุยกับคนอื่น?”
ถึงตรงนี้ยิ้มของฉันก็ราวกับชะงักไป แต่มันก็แค่เสี้ยววินาทีก่อนจะแสร้งยิ้มหวานให้คู่สนทนา “ก็คุยกับเธอไง”
คนฟังได้ยินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ยังคงมีความคลางแคลงใจอยู่ในสีหน้า ซ้ำยังเดินไปคว้าเอาโทรศัพท์เดินออกมาส่งต่อให้ ทั้งที่ฉันไม่ได้ขอ
“เผื่อนั่งกันนาน ๆ แล้วพี่เหงา”
“อืม”
ฉันรับมายัดใส่กระเป๋ากางเกงไปงั้น เอาไปก็คงจะไม่ได้ใช้อยู่ดี เก๋าเห็นเข้าก็เอ่ยซักด้วยคำถามเดิม
“ไม่มีใครคุย?”
“ไม่มี”
“ไม่เหงา?”
“อยู่คนเดียวก็มีความสุขดี…”
แม้จะยังคงทำเป็นยิ้มได้ แต่เพราะสายตาที่แลดูจะเห็นใจเกินพอดีของคนถาม ทำให้ปากเกิดจะนำหน้าสมองไปหนึ่งก้าว รู้อีกทีฉันก็เปรยออกไปเพื่อเบี่ยงประเด็น
“เธอจะจีบก็ได้นะ หน้าแบบนี้ไม่มีใครแย่งแล้ว”
“…”
คนฟังได้ยินเข้าก็ชำเลืองมองอีกหน และเป็นฉันเองที่เกิดจะอายกับคำพูดตัวเอง รีบเอ่ยเสริม
“แต่เธอคงมีกฎที่ว่าห้ามจีบลูกค้าอะไรแบบนั้นสินะ”
แต่ยิ่งพูดกลับยิ่งแย่กว่าเดิม เวร…
ตอนนี้เองที่เก๋าหยุดยืนนิ่งทำเอาฉันชะงักไปด้วย คนข้าง ๆ มีสีหน้าชั่งใจอยู่ครู่ก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ระหว่างเราจะเป็นแค่งาน ไม่มีเรื่องของความรู้สึก”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” ฉันเองก็รีบตอบกลับอย่างร้อนรน “ฉันแค่พูดเล่น”
“ดี เพราะถ้าพี่เกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาคงไม่ส่งผลดีเท่าไหร่”
“สเปกฉันไม่ใช่คนขี้งกแบบเธอ” คงเพราะความอายหรืออะไรก็ตาม ทำเอาต้องรีบตัดบทขึ้นอีกรอบ และใจก็รู้สึกตามที่ปากว่าจริง ๆ
เราสบตากันท่ามกลางความเงียบสงัดของทางเดินคอนโด ในที่สุดอีกฝ่ายก็พยักหน้าช้า ๆ เริ่มออกเดินต่อ
“เข้าใจตรงกันก็ดี ผมไม่อยากมีปัญหา”
มั่นหน้ามากแม่…
พอถึงหน้าลิฟต์ฉันก็ยกแขนขึ้นกอดอก หันมองเก๋าด้วยสีหน้าจริงจังประกาศชัดออกไปเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกเสียหน้าในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
“พูดมาตรง ๆ แบบนี้ก็ดีจะได้ชัดเจนไปเลยว่าระหว่างเราจะไม่มีเรื่องแบบที่ว่า ถึงเราต้องมีอะไรกันแต่รับรองว่าฉันจะไม่คิดลึกไปกว่านั้น”
คนข้าง ๆ มีสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน
“ผมก็เหมือนกัน”
“โอเค”
“…”
ว่าแล้วก็ยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อทำสัญญา วินาทีเดียวกันฝ่ามือหนาก็คว้ามือฉันจับแน่น
ไม่ใช่แค่สายตาของฉันที่สื่อชัดว่ามั่นอกมั่นใจถึงเรื่องที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในความสัมพันธ์รูปแบบอิหยังวะครั้งนี้ เก๋าก็ดูจะมั่นใจไม่ต่างกัน
และถึงเด็กนี่ดูจะเหมือนได้เปรียบไปเสียทุกทาง แต่ฉันยังไม่เห็นว่าเจ้าตัวมีอะไรดีนอกจากหน้าตาเลยจริง ๆ และแค่นั้นไม่พอให้รู้สึกอะไรด้วยหรอก
ก็ราวกับจะอ่านใจกันออกตอนที่เราพูดออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
“ดีล” / “ดีล”
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 3 หลายปีต่อมา เพราะมีบ้านแล้วและเพราะฉันว่างมากจากอาชีพเดิมคือการเป็นเทรดเดอร์ นอกจากวัน ๆ จะต้องนั่งเฝ้าจอดูราคาหุ้น ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแทบจะตลอดเวลา ฉันก็ว่างแหละ ไม่ก็พยายามจะว่าง…ช่วงนี้ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน จัดการทำข้าวกล่องส่งขายตามตลาดเช้าเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากรายได้เดิมที่มันก็ไม่ได้แย่อะไร และกว่าข้าวกล่องพวกนี้จะเสร็จก็กินเวลาเกือบเจ็ดโมงหากเป็นวันธรรมดาในเวลาเดียวกันนี้ จะได้เห็นร่างสูงของเก๋าในเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่ได้เห็นคนที่ว่าอยู่ในสภาพดังกล่าวฉันอาจจะลืมเล่าไปถึงเรื่องที่ว่า คนเป็นสามีเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา และตอนนี้กำลังทำงานควบคุมออกแบบ ติดตั้งเครื่องจักรกลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงหน้าตาเก๋าเหมือนไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่อย่างที่เห็นว่าพอจะได้เรื่องอยู่บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดของเก๋า แต่กลับได้ยินเสียงคนที่ว่าดังมาจากทางห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของตัวบ้านตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง และไม่ใช่เสียงเก๋าคนเดียว… แต่ม
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 2 “คุณเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงติดขัดเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาจะเลื่อนขึ้นสบในวินาทีต่อมา “ชีวิตฉันตอนนี้ดีมาก ดียิ่งกว่าปีไหน ๆ”ฉันเอ่ยตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม แม้จะแฝงไปด้วยอารมณ์เกลียดขี้หน้าเหลือประมาณก็ตามที “ผมคิดถึงคุณนะ” คงเพราะสายตาสื่อความนัยแบบที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไร ส่งผลให้รอยยิ้มของฉันคลายลงโดยอัตโนมัติ พึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเค้นขู่ลอดไรฟัน “เกิดจะคิดถึงขึ้นมาได้เชียว” “เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันไหม? ผมเป็นเจ้ามือเอง ยังไงก็คนคุ้นเคย…” คำว่า ‘คนคุ้นเคย’ กับการแสดงออกผ่านสายตาน่ารังเกียจ ทำเอาฉันรู้สึกอยากจะขย้อนอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ธนาก้าวเข้ามาอีกก้าวแล้วควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเข้าสู่หน้าแอปพลิเคชันสำหรับใช้ติดต่อ “พลอยคงจะเสียใจถ้ารู้ว่าคุณทำตัวแบบนี้” คนฟังระบายรอยยิ้มน่ารังเกียจอีกครั้ง แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งทุเรศหู “พลอยไม่รู้หรอก” แล้วก็ยื่นโทรศัพท์มา
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนพิเศษ 1 เขาว่ากันว่าเวรกรรมมีจริง ใครทำอะไรมักจะได้อย่างนั้น ผลของการกระทำมักจะเข้าเล่นงานแบบไม่ทันให้ตั้งตัว… ห้างสรรพสินค้า S ฉันกับเก๋าเราออกมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวย้ายเข้าสู่เรือนหอของเราทั้งคู่ หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ร่วมสองเดือน และแน่นอนว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้ชายที่เมื่อแรกเจอเราทั้งคู่กัดกันยิ่งกว่าอะไร… “ที่รัก” “…” “ที่รัก” “…” “กานดา” “ฮะ?” เพราะฉันกำลังให้ความสนใจกับของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมาะน่าจะเอาไปตั้งในห้องนอนของเรา เลยไม่ทันได้ยินเสียงของคนด้านหลัง หันไปมองก็พบว่าคนเรียกกำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สีหน้าเบื่อหน่ายฉายชัด “ทำไมจะต้องสรรหาสรรพนามอื่นมาเรียกกันด้วย? ผมเรียก พี่ก็ไม่หันอยู่ดี” “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน เรียกอีกที ๆ” “…” ฉันที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดข้อตกลงเรื่องล่าสุดระหว่างเราจำต้องรีบหมุนตัวกลับอีกครั้ง แสร้งทำเป็นดูของตกแต่งชิ้
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 52 สามปีต่อมา ฉันหมดแรงทิ้งเข่าทรุดกายลงตรงจุดซึ่งมีธงปักอยู่บ่งบอกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาซึ่งอยู่ทางแถบภาคตะวันตกของประเทศเป็นที่เรียบร้อย ด้านบนนี้ลมพัดแรงจนผมเผ้าที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังสะบัดปลิวพลิ้วไหว ขายาวของคนที่มาด้วยกัน หยุดยืนลงที่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเก๋านั้นไม่ได้ดูหมดสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งแสดงออกว่าเหนื่อยสักนิดก็ยังไม่มี คนเป็นแฟนยืนทิ้งเข่า ยกขวดน้ำขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพของเหล่าภูเขาสลับซับซ้อนเรียงรายมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนนัยน์ตาซึ่งหรี่เล็กน้อยเพราะแรงลมจะเลื่อนต่ำลงมองสภาพของฉันด้วยสายตาที่บ่งชัดว่ากำลังสมน้ำหน้ากัน โอเค…ฉันมันบ้าเองที่อยากจะเดินป่าขึ้นเขาขึ้นดอยให้ได้ และตอนแรกเก๋าก็ไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรประเภทนี้ถึงแม้ฉันจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำก็จริง แต่เพราะยังไม่เคยทำกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนเลยทำให้คนเป็นแฟนมีทีท่าไม่เห็นด้วยอย่างที่บอกเก๋าค้านว่า อย่างน้อยเราก็ต้องมีประสบการณ์เดินทางไกล หรือไม่ก็ต้อ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 51 หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายร้อนผ่าวของฉันนอนทาบทับคร่อมเรียวขาอยู่เหนือเรือนร่างเปลือยเปล่าของเก๋า ก้นสองข้างกำลังถูกฝ่ามือหนาจับสับโยกเข้าหาความแข็งขืนของตัวตนที่ผงาดกร้าวตั้งเป็นลำตอนนี้เป็นเวลาตีห้าเกือบจะหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น แต่แค่เรานอนกอดนอนเกยกันนิดเดียวก็เกิดจะปลุกเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ เสียงร่องเนื้อรูดขึ้นลงตามจังหวะการทิ้งสะโพกเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้ คนที่นอนอยู่ด้านล่างคลอเคลียจูบเข้าที่ซอกคอ หอมเข้าที่ข้างแก้มไม่หยุดมาตั้งแต่เราเริ่มบรรเลงบทรักเมื่อชั่วโมงก่อน “เสียวไหม?”เสียงห้าวแหบเอ่ยถาม ทั้งมือยังคงควบคุมจังหวะความเร็วอยู่อย่างนั้น ฉันเลื่อนริมฝีปากกระซิบเข้าที่ข้างหูของคนเป็นแฟนก่อนจะเอ่ยบอกเสียงพร่า“เสียวจนจะแตกอีกแล้ว”“ชอบของผมไหม?”เก๋าหยักยิ้มเอ่ยขอคำชมที่ก็มักจะขอเสมอ และฉันก็ให้คำตอบด้วยการออกแรงขย่มสับรัวเร็วอย่างเอาใจ พลางกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่พร่าสั่นหนักกว่าเดิม“ขึ้นให้ทุกเช้าแบบนี้ เธอคิดว่าชอบไหม?”“ชอบตรงไหน?”“ชอบทุกตรง”“ผมก็ชอ
ระหว่างนั้น ฉันตกหลุมรักตอนที่ 50 หลายวันต่อมา หลายวันที่ผ่านไปคนที่บอกว่าจะจีบก็มาจีบทุกวัน เช้ารอบ เย็นอีกรอบ แต่ถ้าวันไหนติดงานแล้วมาไม่ได้ก็จะส่งกลอนหวานเลี่ยนมาทางแชตแทน แม้เป็นการจีบที่ไม่ได้เรื่อง แต่เก๋าก็ทำให้ฉันยิ้มได้ไม่หยุดและตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว การได้เห็นเจ้าตัวปรากฏตัวจึงไม่ได้น่าแปลกใจเพราะก็มาอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ต่างไปจากวันอื่นตรงที่เก๋าแบกเอากีตาร์มาด้วยร่างสูงอยู่ในชุดนิสิตเหมือนหลายวันที่ผ่านมาเพราะมหา’ลัยเปิดเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ว่าก็ยังมีความพยายามที่จะขับมอเตอร์ไซค์มาหา“มาจีบ”ไม่ต้องรอให้ถามเจ้าตัวก็รีบชิงพูดขึ้นทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เหมือนจะแกล้งกันเล่น เก๋าปลดกระเป๋ากีตาร์ออกจากหลัง ก่อนจะเริ่มทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ด สายตาร้อนแรงจับจ้องมองกันแบบไม่วางตา“ถอดเสื้อถอดผ้าทำไม?”“ร้อน”“โกหก”“ใช่”“ถอดกางเกงทำไม?”“ร้อน”“เก๋า”“ใช่ ผมโกหก”ฉันหลุบตาลงมองนิยายในมือที่กำลังอ่านอยู่ขี้คร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย กระทั่งพื้นที่ว่างบนเตียงยุบลงก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกทีเก๋าในสภาพกึ่งเปลือยมีกีตาร์วางพาดอยู่