ความเงียบมาพร้อมกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงไฟพอมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก ปรายฝนออกมายืนอยู่หน้าห้องพักมองผ่านความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า ความหนาวเย็นที่กลอยกับปลาบอกเริ่มเผยตัวตนเข้ามาในความรู้สึกเมื่อลมเย็นๆ พัดมากระทบเข้าที่ร่างกาย หลัง จากรับประทานอาหารเย็น ปรายฝนเดินสำรวจบ้านหลังใหญ่ที่ด้านหน้าเป็นส่วนสำนักงานและด้านข้างเป็นห้องพักของตัวเอง แต่ไม่เห็นคนอื่น เพราะทุกคนแยกย้ายไปตามเรือนพักซึ่งมองเห็นได้จากบริเวณที่ยืนอยู่
“หนาวเข้าไปถึงกระดูกเลย เข้าห้องที่กว่า” ปรายฝนรำพึงออกมา
“เดี๋ยว” เสียงนั้นทำให้รีบหันไปทันที ถึงแม้จะมืดมิด แต่แสงสว่างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยยังพอช่วยให้เห็นว่าเป็นแม่นายเจ้าของไร่
“คะ” ปรายฝนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เสื้อกันหนาว ตัวใหญ่ไปสักหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีใส่ มันเก่าไปหน่อย เพราะฉันใส่มานานมากแล้ว ถ้าอุ่นไม่พอในห้องมีกระติกน้ำร้อนเอาน้ำใส่ขวดแก้วแล้วห่อผ้าไว้ กอดหรือวางเอาไว้ใต้ผ้าห่มพอช่วยได้ ฉันไม่อยากให้มาป่วยตายที่นี่ เด็กสมัยนี้ไม่คิดเตรียมตัวอะไรเอาเสียเลย” แม่นายใจเดียวพูดจบก็ยื่นเสื้อให้ปรายฝนที่ยืนนิ่งจ้องมองแววตาและใบหน้าเรียบนิ่งที่จ้องเขม็งไม่ลดละเลยแม้แต่น้อย
“ไม่คิดว่าจะธรรมช๊าตธรรมชาติขนาดนี้นี่เจ้าคะ เสื้อไม่ต้องหรอกค่ะ ผ้าห่มก็พอแล้ว เดี๋ยวสวมเสื้อแขนยาวอีกสักสองตัวคงอุ่นพอ ตอนแรกฟังดูเหมือนจะใจดี แต่ตอนท้าย” ปรายฝนยักไหล่เล็กน้อยและทำท่าจะเดินเข้าห้องพักไป แต่ไม่ทันปิดประตูเสื้อตัวที่แม่นายใจเดียวถืออยู่เมื่อสักครู่ถูกโยนเข้ามาภายใน ก่อนเจ้าตัวจะหายไปภายในพริบตาไม่ทันที่ปรายฝนได้พูดอะไร ประตูห้องพักก็ปิดปังเสียงดังลั่น
“คนป่า เผด็จการแบบป่า” ปรายฝนบ่นพึมพำขณะเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวแขนยาวสีหม่นซึ่งกองอยู่ที่พื้นมากอดเอาไว้ ความหนาวเย็นไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะฝนยังคงตกพรำๆ สลับกับตกหนักอยู่ตลอดตั้งแต่มาถึง ก่อนจะล้มตัวลงนอนจึงรับประทานยา โดยเสื้อกันหนาวถูกวางกองเอาไว้ปลายเท้า ปรายฝนห่มผ้าอยู่ครู่หนึ่งแต่ความหนาวเย็นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ถึงกับต้องรีบลุกไปทำตามคำแนะนำของแม่นายใจเดียว โดยเสียบปลั๊กกาน้ำร้อนและเทใส่ขวดแก้วซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วห่อด้วยเสื้อของตัวเองนำมากอดไว้ทำให้รู้สึกสบายขึ้น
“จะตายไหมฉัน” เสื้อกันหนาวที่วางอยู่อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้นปรายฝนลดทิฐิที่ก่อตัวขึ้นตอนได้พบกับแม่นายใจเดียวลง จึงนำมาสวมใส่ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมากและหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
แสงที่สาดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ปรายฝนตกใจและรีบวิ่งเข้าไปทำกิจวัตรทันที โดยไม่ได้ดูนาฬิกาข้อมือที่สวมใส่อยู่ แม้แต่เสียงปลุกเตือนของโทรศัพท์ซึ่งตั้งเอาไว้ก็ไม่ได้ยิน
“ตายๆ ล่ะ ไอ้ปราย” ปรายฝนรีบวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมาภายในไม่กี่นาที เพราะไอ้เจ้าอากาศที่ยังคงหนาวเหน็บทำให้ประหยัด เวลาไปได้มาก
“เสื้อก็อุ่นเกินไป ตื่นสายเลยเนี่ย” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ เมื่อพูดต่อว่าเสื้อที่ตัวเองสวมใส่และรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างเร่งด่วน แต่กลิ่นกาแฟหอมๆ ทำให้หยุดชะงักแล้วหันไปมอง จึงเห็นว่าแม่นายใจเดียวนั่งอยู่พร้อมกับกาต้มกาแฟแบบเก่า แต่ไอ้เจ้ากลิ่นกาแฟนั่นต่างหากที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงานจนรู้สึกปั่นป่วน
“นั่งสิ กาแฟไหม” แม่นายใจเดียวถามปรายฝน
“ทานได้หรือคะ นึกว่าต้องไปที่โรงอาหาร” ปรายฝนถาม
“กินได้สิ ไม่เห็นจะยากตรงไหน นั่งลงเทกาแฟใส่แก้ว ถ้าชอบหวาน ก็เติมน้ำผึ้งคนๆ ยกขึ้นดื่ม ก็แค่นั้น” แม่นายใจเดียวบอก โดยสายตาจับจ้องมองไปตรงหน้าไม่ได้สนใจปรายฝนที่ยืนถอนใจอยู่
“เฮ้อ” ปรายฝนถอนใจเสียงดังอยากให้คนที่นั่งอยู่ก่อนได้ยิน
“ขี่จักรยานเป็นหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถาม เมื่อปรายฝนนั่งลงข้างๆ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่ตั้งเอาไว้ที่ระเบียง เมื่อมองตามสายตาของเจ้าของถึงได้รู้ว่าภาพตรงหน้าช่างงดงามไปด้วยสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ ต้องเรียกว่าเขียวมากเสียจนทำให้ปรายฝนลืมตอบคำถามของคนที่กำลังหันมามอง
“อะไรคะ” ปรายฝนถาม
“ถามว่าขี่จักรยานเป็นหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถามเสียงเข้ม
“เป็นค่ะ” ปรายฝนตอบ ถึงแม้มีคำลงท้ายแต่น้ำเสียงก็ชวนให้โมโห
อยู่เหมือนกัน
“ดี ถ้าอย่างนั้นจะได้ปั่นจักรยานไปดูไร่ให้ทั่วๆ ส่วนฉันจะซ้อนท้ายเธอไป ขี้เกียจปั่น” แม่นายใจเดียวบอก ปรายฝนขมวดคิ้ว
“กินแรงกันเกินไปนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้น แต่เมื่อเห็นแก้วกาแฟของแม่นายใจเดียวว่างเปล่า จึงยกกาต้มกาแฟเทเติมให้
“ไม่นะ เพราะฉันจ่ายเงินเดือน” แม่นายใจเดียวบอก
“พื้นก็แฉะ ฝนยังตกปรอยๆ แล้วยังจะซ้อนจักรยาน โหดร้าย”
“เดี๋ยวก็มีแดด กินข้าวเสร็จเจอกันที่สำนักงาน อย่าโอ้เอ้ ฉันไม่ชอบคนเรื่องมาก เข้าใจนะ” แม่นายใจเดียวพูดและลุกขึ้น ขณะมองดูที่แก้วกาแฟซึ่งปรายฝนเพิ่งเติมให้ จึงหยิบแก้วก่อนที่จะเดินจากไป
ปรายฝนมารออยู่ที่ด้านข้างสำนักงาน ซึ่งอีกด้านเป็นอู่จอดรถที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นรถที่ยังดูใหม่อยู่ แต่ความคิดหยุดลงเมื่อเห็นแม่นายใจเดียวเดินออกมาจากห้องพักซึ่งอยู่ติดกับสำนักงาน
“ไปอย่าชักช้า” แม่นายใจเดียวพูดเสียงเรียบพร้อมกับยื่นหมวกสานแบบมีปีกให้ ปรายฝนขมวดคิ้วจ้องมอง
“ไม่ใส่ก็ตามใจ อย่ามาบ่นตอนฝ้าขึ้นก็แล้วกัน” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นแล้ววางหมวกเอาไว้ที่รถกระบะและพยักพเยิดไปที่จักรยานคันหนึ่ง
“แม่นายหน้าใส เชื่อก็ได้” ปรายฝนเดินไปหยิบหมวกมาสวมใส่ก่อนจะรีบไปประจำที่เตรียมพร้อมเป็นสารถีให้เจ้านาย
“มอเตอร์ไซค์ก็มีจะให้ปั่นจักรยานทำไมล่ะเนี่ย” ปรายฝนบ่นพึมพำก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถจักรยานออกไป
“ขาแข้งจะได้แข็งแรง” แม่นายใจเดียวบอก ปรายฝนยิ้มๆ ขณะเริ่มแกล้งโดยทำให้จักรยานส่ายไปมาอยากแกล้งคนซ้อนท้ายให้เสียหลัก
“ขี้แกล้งเสียจริงแม่คนนี้” แม่นายใจเดียวคิด ก่อนโอบไปที่เอวของปรายฝนที่จอดจักรยานทันที
“ไปสิ จะหยุดทำไม” แม่นายใจเดียวพูดเสียงเข้มแต่แอบยิ้ม
“ปั่นดีแล้ว ไม่ต้องกอดเอวแล้วก็ได้ค่ะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“เผลอได้ที่ไหน เกิดเธออยากแกล้งอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“ใช่สิเป็นคนจ่ายเงินเดือน สั่งอะไรก็ต้องตามนั้นนั่นแหละ” ปรายฝนบ่นพึมพำ แค่เพียงครู่เดียวเมื่อมองดูโดยรอบ ซึ่งก่อนหน้าไม่ทันได้สังเกตว่า บริเวณโดยรอบที่ดูเขียวชอุ่มและชุ่มไปด้วยหยดน้ำที่เกาะตามต้นไม้ใบหญ้า เมื่อแสงแดดทอประกายทำให้เกิดความระยิบระยับงามจับตาเสียเหลือเกิน
“ขอจอดถ่ายรูปแป๊บได้ไหมคะ” ปรายฝนถาม
“ไม่ได้ ไม่ได้มาเที่ยว ขี่ตรงไปให้ถึงสวนส้มข้างหน้าโน่น หรือว่าเธอคิดว่าจะอยู่แค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็จอดถ่ายรูปได้” สิ่งที่ได้ยินเหมือนเป็นการดูถูกปรายฝนจึงรีบปั่นจักรยานให้เร็วขึ้นด้วยความขุ่นเขืองใจกับคำดูถูกของแม่นายใจเดียวซึ่งกอดกระชับที่เอวของปรายฝนเอาไว้แน่น
“ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พูด ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธ ต้องโมโห เพราะจะทำให้ตัวเธอเองเหนื่อย คนพูดไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย เหนื่อยเปล่าๆ”
“ไม่ได้เป็นคนเย็นชาเหมือนใครบางคนนี่จะได้ไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไร” ปรายฝนพูดขึ้นและเร่งความเร็ว เพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจในตัวเจ้านายสักเท่าไรนัก
“แต่ฉันมีความสุขกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เธอล่ะมีอะไรในชีวิตบ้างที่ทำให้เธอมีความสุข ถ้ามีความสุขคงไม่ต้องหนีความศิวิไลซ์มาอยู่ไกลขนาดนี้หรอกมั้ง” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น ขณะจักรยานที่ซ้อนท้ายมาจอดสนิท
“ก็แม่นายมีทุกอย่าง มีที่ดินกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา บ้านหลังใหญ่ คนทำงานให้มากมาย ก็พูดได้สิคะ” ปรายฝนบอก
“ความสุขไม่ได้อยู่ภายนอก มันอยู่ในนี้” แม่นายใจเดียวเอามือทาบทับที่หน้าอกด้านซ้ายและเดินเข้าไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นส้มซึ่งกำลังออกผลสีสันสวยงามเสียจนทำให้ปรายฝนเลิกพูดจาต่อว่าต่อขานเดินตามไปเงียบๆ จนได้ยินเสียงทักทายจากคนที่มาเก็บผลส้มเตรียมส่งไปขาย
“เป็นไงนังหนู เมื่อคืนหลับสบายดีไหม” เสียงหญิงสูงวัยเอ่ยถาม
“ตื่นสายเกือบโดนไล่ออกเลยล่ะจ้ะ ป้าจ๋า” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวหันมามอง คนถามเองถึงกับหัวเราะออกมา
“ใครโดนแม่นายไล่ออก ชาตินี้คงหางานทำยาก หรือไม่ก็ต้องไปเป็นโจรเป็นขโมยล่ะ นังหนูเอ๊ย” หญิงสูงวัยพูดขึ้นก่อนจะหันไปบรรจงเก็บส้มโดยทะนุถนอมดุจเป็นของล้ำค่า ปรายฝนรีบหยิบโทรศัพท์มากดถ่ายรูปเอาไว้ หากเป็นการมาเที่ยวคงจะดีไม่น้อย ปรายฝนคิดแล้วถอนใจ
“เรื่องรถใหม่เรียบร้อยไหม ไตร” แม่นายใจเดียวถามคนงาน
“ที่จอดอยู่ก็ใหม่ๆ ทั้งนั้นเลย ต้องมีรถเยอะขนาดนั้นเลยหรือ” คนได้ยินแอบคิด
“เรียบร้อยครับ รถจะมาส่งถึงไร่วันพุธหน้าครับ แม่นาย”
“ดี ไตรเอาไปจอดไว้ตามเรือนพัก แล้วเขาจะมาเอารถเก่าไปด้วยเลยหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถามไตร
“ครับ”
“เป็นผู้ช่วยมีรถประจำตำแหน่งป้ายแดงด้วยหรือคะ” ปรายฝนพูดขึ้น แม่นายใจเดียวถอนใจก่อนจะหันไปยิ้มน้อยๆ ให้
“คันที่ปั่นมานั่นไง ไบซิเคิลประจำตำแหน่ง” แม่นายใจเดียวบอกทำเอาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แอบยิ้มกันบ้างหัวเราะให้ได้ยินบ้าง
“เรียบหรูเสียจนน่องโป่งกันเลยทีเดียว” ปรายฝนยิ้มๆ ให้ไตรที่ยิ้มแล้วส่ายหน้ากับสาวสวยที่รีบเดินตามแม่นายใจเดียวไป
แม่นายใจเดียวหลังจากออกจากสวนส้มก็ขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโดยมีปรายฝนนักปั่นที่น่องท่าจะโป่ง เพราะถูกบังคับให้ไปดูส่วนต่างๆ ของไร่อันกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกินในความรู้สึกของคนที่ถึงกับหอบ เมื่อได้ยินแม่นายใจเดียวบอกให้จอดที่เรือนพักของเจ้าหน้าที่ผู้หญิง แต่ได้พักแค่เพียงครู่เดียวก็ต้องปั่นกลับไปยังอาคารสำนักงาน แม่นายใจเดียวนั่งยิ้มอยู่ด้านหลัง เพราะปรายฝนเริ่มปั่นจักรยานช้าลง
“พรุ่งนี้ไปอีกขอขี่มอเตอร์ไซค์เถอะนะ แม่นายใจดี” ปรายฝนออกอาการหอบให้เห็นเมื่อปั่นจักรยานกลับมาถึงสำนักงาน จึงหยอดคำหวานด้วยการเปลี่ยนชื่อแม่นายเป็นแม่นายใจดี
“เดือนเดียวก็ชิน ขาแข้งจะแข็งแรง เดินเข้ามาไม่เมื่อยหรือเหนื่อยเหมือนเมื่อวานตอนเข้ามาที่ไร่ คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเดิน ถ้าไม่ได้รีบร้อนนักและเขาจะเผื่อเวลาเอาไว้ ไม่นอนตื่นสายเหมือน” แม่นายใจเดียวหยุดพูดเพียงแค่นั้น
“ไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นส่วนตัวหรือเปล่าเนี่ย” ปรายฝนบ่นพึมพำขณะเดินตามเข้าไปยังสำนักงาน จึงได้ยินเสียงทักทายของกลอยกับปลาซึ่งมอง ดูไปที่เสื้อผ้าของปรายฝน
“แต่งตัวเข้ากับไร่มากเลย ปราย” กลอยหัวเราะเล็กๆ
“แม่นายไม่บ่นหรอกหรือ แต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศในกรุงเทพเลย” ปลาหัวเราะเช่นกัน ปรายฝนจึงเริ่มสำรวจเสื้อผ้าของตัวเองแล้วมองไปยังเสื้อผ้าของสองสาว ซึ่งถึงแม้ทำงานในส่วนสำนักงาน แต่แต่งตัวไม่ต่างจากคนที่เก็บส้มอยู่ในสวนสักเท่าไรนัก
“ขี้เกียจจะว่า คนอยากสวยจะไปห้ามทำไม๊ กางเกงคงซักออกหรอกนะนั่นน่ะ ขี้โคลนกระเด็นติดข้างหลังเต็มไปหมด” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“โอ๊ย ตายแล้ว” ปรายฝนก้มไปมองที่ขากางเกงของตัวเอง
“มาๆ จะพาไปเลือกชุดชาวไร่” กลอยหัวเราะขณะดึงตัวปรายฝนให้ตามเข้าไปดูเสื้อผ้าที่แม่นายให้จัดเตรียมเอาไว้เผื่อพนักงานและคนงาน
“หักเงินเดือนชุดล่ะเท่าไร” ปรายฝนถาม กลอยยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินใครถามแบบนี้
“ไม่หักเงิน แม่นายใจดีออกจะตายไป อยากได้กี่ชุดก็เลือกเอาเลย” เสื้อผ้าไม่ได้แตกต่างจากที่ทุกคนสวมใส่ รวมถึงแม่นายใจเดียวด้วย
“ขอบใจนะ กลอย แค่สามชุดก็พอ ขยันซักเอาหน่อย”
“ไม่ต้องขอบใจกลอยหรอก คนที่ควรขอบใจโน่นคนในห้องโน่น”
“ไว้ค่อยบอกทีเดียว สะสมไว้เยอะๆ ก่อน เป็นชาวไร่หรือผู้นำลัทธิกันแน่ อาหารฟรี เสื้อผ้าฟรี เงินเดือนคงไม่ต้องใช้กันเลยทีนี้” ปรายฝนยิ้มๆ ให้กลอยที่เดินยิ้มออกไปทำงานต่อ ปล่อยให้ปรายฝนเลือกเสื้อผ้าไปตามที่ตัวเองต้องการ
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ