“มั่นใจเหลือเกินนะ”
หานชินบีบท่อนแขนสามีเป็นจังหวะ เพื่อให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียดในตอนนี้ สองสามีภรรยากำลังประเมินคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังต่อคำเพื่อถ่วงเวลาของอีกฝ่าย
“อย่าเสียเวลามายอกย้อนอยู่อีกเลย มอบลมหายใจของพวกท่านแก่พวกข้าจะดีกว่า”
เอ่ยจบชายสวมชุดดำ ได้พุ่งเข้าหาทั้งคู่ในทันที แม่ทัพหนุ่มผลักร่างภรรยาให้พ้นจากคมอาวุธ ก่อนที่เขาชักกระบี่ออกจากฝักเข้ารับมือคู่ต่อสู้ หนึ่งในคนร้ายพุ่งเป้าไปที่องค์หญิงหานชิน
หญิงสาวขยับถอยหลังเล็กน้อย พร้อมเบี่ยงตัวหลลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำพุ่งตามไปมิห่างเช่นกัน หานชินมองไปยังสามีที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู
นางอยากที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเหลือเกิน แต่หากทำเช่นนั้นทุกอย่างจะต้องพังลงก่อนถึงที่หมายอย่างแน่นอน หญิงสาวล้วงเอาปี่ในอกเสื้อออกมาเป่า พร้อมขยับหลบหลีการโจมตีไปด้วย
เคร้ง! ก่อนที่ดาบใหญ่จะถึงตัวของหานชิน ได้ถูกขัดขวางเอาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบุรุษรูปงาม ผู้ติดตามของหญิงสาวนั่นเอง ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของคนร้าย
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองไปยังคนที่หมายชีวิตของผู้เป็นนายนั้น มิต่างอะไรจากปีศาจร้ายที่พร้อมกลืนกินผู้ที่ขัดขวางให้สิ้น กลิ่นอายแห่งการฆ่าพวยพุ่งออกมา จนผู้ที่อยู่รอบบริเวณรับรู้ได้
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้ององค์หญิง”
สิ้นคำของชายหนุ่มลมหายใจของอีกฝ่ายได้ดับลงเช่นกัน ร่างสูงหันกลับไปค้อมหัวให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะพุ่งเข้าช่วยเหลือแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็ว
หานชินมองการต่อสู้พร้อมกับสังเกตรอบกายไปพราง หมู่บ้านแห่งนี้คือหนึ่งในหมู่บ้านของกบฏ สิ่งที่นางต้องค้นหาคือกองทัพของศัตรูหลบซ่อนอยู่ให้พบ
ภารกิจของนางมิใช่แค่ติดตามสามี แต่ต้องปกป้องผู้เป็นบิดาไปพร้อม ๆ กัน นางไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเลย กับการเป็นองค์หญิงที่ต้องแยกวัง ซ้ำต้องแต่งแก่คนที่มิได้มีใจ แต่มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนางและน้องชาย เพื่อลมหายใจของหานไฉ่ นางยินดีสละได้ทุกสิ่ง
เมื่อนึกถึงองค์ชายน้อย ที่ต้องเพียรพยายามรักษาลมหายใจเอา รอวันเติบโต ใจของพี่สาวเช่นนางหวนนึกถึงเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันไร้เดียวสา พระบิดาเลือกปกป้องพวกนางด้วยการให้แยกกันอยู่
หากนางไม่แข็งแกร่งพอ น้องชายก็มิอาจเติบโตและก้าวสู่ตำแหน่งอันเหมาะสมได้อย่างที่ผู้เป็นพ่อต้องการ ใจของนางนั้นขอเพียงหานไฉ่เติบโตและมีชีวิตที่เรียบง่าย แค่นั้นก็มากพอแล้ว
และนางจะต้องทำมันให้สำเร็จ หากจบเรื่องกบฏลงได้ สิ่งที่นางเคยทูลขอต่อบิดา ย่อมต้องสำเร็จเช่นเดียวกัน
‘รอพี่สักหน่อยนะหานไฉ่ เจ้าจะต้องได้ออกจากวังสีเลือดแห่งนั้นเช่นเดียวกันกับพี่’
ปึก! หานชินล้มลง เมื่อถูกกระแทกจากฝ่ามือของศัตรู หญิงสาวจงใจให้เป็นเช่นนั้น ด้วยมิอยากให้สามีจับได้ ว่าแท้จริงแล้วนางมิได้ไร้ฝีมืออย่างที่คิด รวมถึงการตบตาศัตรูที่อาจแอบซุ่มอยู่ก็เป็นได้
ฉึก! ก่อนที่กระบี่ยาวจะทันถึงตัว ร่างของคนร้ายได้ชะงักค้าง ก่อนจะล้มลงไปอีกด้านจากแรงฝ่าเท้าของแม่ทัพหนุ่ม หวังลู่ฉงมองดูภรรยาที่นั่งตัวสั่นอยู่กับพื้นดิน
แม่ทัพหนุ่มตวัดสายตาไปยังร่างไร้วิญญาณ ด้วยโทสะที่เกิดขึ้นโดยมิรู้ตัว เมื่อเห็นภรรยากำลังหวาดกลัว แม่ทัพหนุ่มไม่คิดที่จะให้ทุกอย่างยืดเยื้ออีกต่อไป การต่อสู้ที่ไม่คาดหวังจะเก็บคนร้ายเอาไว้สอบสวน จึงดำเนินไปอย่างดุเดือดและรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกอย่างได้จบลง โดยที่ชายหนุ่มทั้งสองบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“องค์หญิงปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฮั่วอันบกพร่องดูแลองค์หญิงไม่ดี ขอทรงลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มคุกเข่าหมอบลงกับพื้น เพื่อรอให้ผู้เป็นนายลงทัณฑ์ ชายหนุ่มยังนิ่งมิขยับไหวเมื่อผู้เป็นนายยังคงเงียบอยู่
“เจ้าไม่ผิด ลุกขึ้นเถอะ เราควรรีบกลับไปในหมู่บ้านกันก่อนจะดีกว่า เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“ฮั่วอันขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเมตตา”
“อะ...แฮม! เจ้าเดินไหวหรือไม่น้องหญิง”
หวังลู่ฉงไม่ถามเปล่า ร่างสูงย่อกายลงช้อนอุ้มร่างภรรยาขึ้นสู่อ้อมแขน โดยไม่คิดจะสนใจกับอาการแตกตื่นของคนที่ซบอยู่แนบอก เขาไม่ชื่นชอบการถูกมองข้ามโดยเฉพาะจากนาง
ฮั่วอันทำเพียงก้าวตามเจ้านายทั้งสองไปห่าง ๆ เขาเป็นบุรุษย่อมมองออก ว่าท่านแม่ทัพหวังกำลังไม่พอใจเขาเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่คิดที่จะเอ่ยกับเขาหรือผู้เป็นนายออกมาตรง ๆ เท่านั้นเอง
เห็นทีการแต่งงานครั้งนี้ขององค์หญิง คงมิใช่การฝืนใจทั้งคู่แล้วกระมัง ยังไม่ถึงสามเดือน ท่านแม่ทัพหวังผู้ขึ้นชื่อว่าหนักแน่นดั่งหินผา กำลังสั่นคลอนกับคนในอ้อมแขนเสียแล้ว
หลังจากกลับถึงหมู่บ้าน หานชินถูกสามีสั่งให้อยู่แต่ภายในห้อง ห้ามออกไปที่ไหนจนกว่าเขาจะเป็นคนพาไปด้วยตนเอง ไม่มีข้อยกเว้นต่อให้มีผู้ติดตามมากฝีมือเพียงใดก็ตามแต่
หญิงสาวนั่งรอฟังข่าวอย่างใจเย็น ยังดีที่นางไหวตัวทันมิเช่นนั้นคงเหนื่อยหาข้อแก้ตัวอีกมากมาย จากการรายงานของฮั่วอัน หัวหน้าหมู่บ้านคือหนึ่งในหัวหน้าสาขาของกลุ่มกบฏ นางไม่แปลกใจเลยที่เขาคิดจะทดสอบนางและหวังลู่ฉง
“ฉลาดไม่เบา ขนาดข้าเป็นเพียงคนขลาดเขลาในสายตาทุกคน เขายังลงมือทดสอบ สมแล้วที่เป็นคนของเจี่ยฉิน”
“องค์หญิงไม่ควรเอ่ยชื่อ...เอ่อ...องค์ชายรองเช่นนั้นนะเพคะ”
ชุ่ยอิงรีบขยับเข้าใกล้ผู้เป็นนายพร้อมเอ่ยเบา ๆ แม้ว่ารอบที่พักจะมีเพียงคนขององค์หญิง แต่ก็ไม่อาจประมาทศัตรูได้
“กลัวไปไย เพราะยังไงหัวหน้าสาขาแห่งนี้ ก็ต้องไร้ลมหายใจไปแจ้งข่าวอยู่แล้ว”
ชุ่ยอิงขมวดคิ้วเป็นปม นางไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นนายพูด เพราะถึงอย่างไรก็ไร้หลักฐาน ที่จะกล่าวหาหัวหน้าหมู่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพและผู้เป็นนายได้อยู่ดี
สามเดือนต่อมา หลังจากการสืบสวนของศาล ผลสรุปของคดี ฉีชางพร้อมด้วยมารดาเลี้ยงของเขา ได้รับโทษประหาร ส่วนฮั่วเยว่อิงและมารดารวมถึงเฉินป๋อหยาถูกส่งไปใช้แรงงานในเหมือง ในฐานะนักโทษเป็นเวลาสิบปี ทางด้านเด็กน้อยเสี่ยวเป่า ฮั่วเสารับดูแลในฐานะลูก โดยทุกคนได้รับคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงกับเด็กน้อย เฉินห้าวหนานยืนมองเป้าหมาย ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ไม่ไกล เขาหอบลูกติดตามหญิงสาวมาจนถึงชายแดนตะวันออก ทว่าทางสำนักคุ้มภัยบอกแก่เขาว่านางอยู่ที่นี่ หลังจากทำการเจรจากับท่านตาและท่านยายของหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้มาหานางที่นี่ ชายหนุ่มวางบุตรชายเอาไว้บนพื้นหญ้า ก่อนจะทำให้เจ้าก้อนแป้งส่งเสียงร้องงอแง ฮั่วเหลียนชินหันหาที่มาของเสียงร้อง ที่นางคุ้นเคยในทันที ก่อนที่นางจะเดินตามเสียงนั้นเสมือนต้องมนต์ แม้ในใจจะคิดว่านางคงกำลงคิดถึงหลานชายจนหูแว่ว “ห้าวหยาง!” ร่างบางวิ่งเข้าอุ้มหลานชายขึ้นสู่อ้อมแขนในทันที หญิงสาวกดจมูกลงบนแก้มอวบอ้วนด้วยความคิดถึง “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาเจ้ารังแกเช่นนั้นรึ หลี
“ท่านแม่! ข้าเป็นลูกของท่านพ่อใช่หรือไม่ ข้ามิใช่ลูกเขาใช่ไหมขอรับ” เฉินป๋อหยาเอ่ยถามมารดา ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าปกติหลายเท่านัก มารดาบอกแก่เขาว่าตนเป็นลูกของนางอย่างแท้จริง แต่เฉินห้าวหนานเป็นลูกชายของน้องสาว ที่แต่งมาเป็นอนุของบิดา ทว่าตอนนี้ไยทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเขา ที่มิใช่สายเลือดสกุลเฉินไปได้ “แม่ขอโทษป๋อหยา’ ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ อีกแล้ว ทุกอย่างกระจ่างชัดจนชายหนุ่มทนรับมันต่อไปไม่ได้ ร่างสูงก้าวช้า ๆ ตรงไปยังประตูห้องจัดเลี้ยง เขาไม่ใช่คนสกุลเฉิน แต่เป็นลุกพ่อบ้านจวนสกุลฮั่ว หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นคนอยู่เบื้องหลังการตายของใครอีกหลายคน มารดาของเขาคือฆาตกรสังหารน้องสาวตนเอง เพื่อช่วงชิงลูกของนางมาเป็นของตนเอง ทุกอย่างมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนรับมันได้ ทว่าเพียงก้าวพ้นประตู เฉินป๋อหยาก็ถูกทหารรวบตัวเอาไว้ เพราะมีส่วนร่วมในการลอบสังหารฮูหยินในท่านแม่ทัพเฉินห้าวหนาน เฉินป๋อหยาไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ชายหนุ่มเหม่อลอยจนน่าตกใจ ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง มารดาถูกคุมตัวนั่งเคียงข้างบิดาที่เขาเพิ่งรู้จัก อีกข้า
“หยุดนะห้าวหนาน วันนี้เป็นวันดีของน้องชาย เจ้าจะเอาเรื่องไร้สาระเช่นนี้ มาเล่าเพื่อสิ่งใดกัน” “อย่าได้ร้อนตัวสิขอรับท่านแม่ อย่างไรก็ฟังให้จบเสียก่อนจะดีกว่า” “นั่นสิ! เฉินฮูหยินให้หลานชายข้าเล่าต่อให้จบเถิด” ท่านเจ้ากรมการคลัง ได้พูดแทรกขึ้น เพราะเขาเองก็อยากจะฟังเรื่องนี้ให้จบ เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเคยได้ยินมานั้น มันมิใช่สิ่งที่คิดไปเอง ซึ่งแขกในงานต่างแสดงความต้องการ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้ากรม “เช่นนั้นต่อเลยนะขอรับ ในวันที่น้องสาวของนางคลอดบุตรชาย ตัวนางเองก็คลอดบุตรชายเช่นกัน อ่อ! ในตอนนั้น นางเลือกที่จะพาน้องสาวกลับไปคลอดยังบ้านเกิดมารดา อีกทั้งสามีที่เป็นแม่ทัพก็มิอาจปลีกตัวติดตามไปได้ ข่าวดีและร้ายได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน นั่นคือท่านแม่ทัพได้บุตรชายสองคน ทว่าเพียงสองชั่วยามภรรยาและลูกชายอีกคนได้สิ้นใจลงอย่างน่าอนาถ” “แล้วมันยังไง ก็แค่เมียเอกกับเมียน้อยคลอดลูกพร้อมกัน ส่วนเรื่องคลอดลูกแล้วตกเลือดจนตายก็นับเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย เด็กไม่แข็งแรงจะสิ้นใจก็ไม่แปลก” “แปลกตรงที่แท้จริงเมียเอกมิได
ตลอดสามวันที่เขาปล่อยข่าวว่าออกนอกเมืองไป มันทำให้เขาได้รู้เห็นเรื่องในบ้าน จนเรียกว่าเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ “สัญญากับข้า อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงเพราะโทสะของท่าน” “ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องรับปากข้า ว่าจะไม่เอาตนเองมาเสี่ยงเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” “เราเป็นอะไรกันเช่นนั้นรึ จึงต้องทำตามคำขอของท่าน ซึ่งมันมิใช่ส่วนรวมเช่นคำขอของข้าเลยสักนิด” “เจ้ากับลูกเป็นทุกสิ่งของข้า” “อย่าได้หมิ่นเกียรติข้าเกินไปนัก รู้ตนเองบ้างว่าท่านกับข้าเป็นใคร” “เพราะรู้ข้าถึงกล้ายอมรับมัน” “…” ฮั่วเหลียนชินมิอาจเอ่ยสิ่งใดตอบโต้ชายหนุ่มได้ นางทำเพียงก้าวเคียงข้าเขาไปเงียบ ๆ เพราะคร้านจะโต้แย้ง “ความรู้สึกมิใช่เงินตราก็ซื้อหาได้ ข้าคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้นมิได้โป้ปด ทุกอย่างสุดแท้แต่เจ้าจะมองเห็นเหลียนชิน” เฉินห้าวหนานเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมกระชับร่างบางให้แนบกายมากขึ้น ด้วยเกรงว่าเขาจะมิได้ชิดใกล้นางเช่นนี้อีก หลังจากกลับมาถึงจวน เฉินฮูหยินได้รีบมาที่เรือนของลูกสะใภ้ พร
“หึ ๆ ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ยลโฉมคุณหนูใหญ่สกุลฮั่ว” เสียงจากด้านหลังหินก้อนใหญ่กลางสวน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ยิ่งอีกฝ่ายเรียกนางได้อย่างถูกต้อง นั่นแสดงว่าจิ้งจอกพิการทั้งสอง รนรานกลับไปหานายเก่าแล้ว และหากนางเดาไม่ผิดทั้งสองคนไร้ลมหายไปแล้วเช่นกัน “รวดเร็วทันใจดีแท้ หึ ๆ” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะมองไปยังคนที่เผยตัวออกมาอย่างใจเย็น ทว่าเขายังคงปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ “ไยต้องบิดบังใบหน้าด้วยเล่า ช่างไร้มารยาทในการพบเจอยิ่งนัก” “ไม่นึกเลยว่าเด็กขี้โรคเมื่อวันวาน จะกลายเป็นหญิงงามในวันนี้” “ขอบคุณที่ชม แต่ข้าก็ยังแปลกใจอยู่ดี ว่าเหตุใดกันเจ้าจึงมารอพบข้าที่นี่ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มันย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้ เพราะความบังเอิญนี้มันเหมาะเจาะจนเกินไป” ฮั่วเหลียนชินกระชับอ้อมแขนรัดร่างอ้วนให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่อีกฝ่าย ตั้งใจปลดปล่อยออกมาเพื่อกดดันนาง อีกอย่างคือกำลังประเมินฝีมือของนางไปในตัว “จะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ น่าเสียดา
สามวันถัดมา เฉินฮูหยินได้ให้สาวใช้มาแจ้งแก่ฮั่วเหลียนชิน ว่าจะพานางกับลูกไปไหว้พระ เพื่อขอพรให้กับครอบครัว หญิงสาวได้ตอบรับคำเชิญของแม่สามี หญิงสาวยกยิ้มร้าย เมื่อกล้าท้าทายนางก็พร้อมท้าชนเช่นกัน “บาดแผลของนายหญิง ยังไม่หายดีนะเจ้าคะ” “บาดแผลหนักกว่านี้พวกเราก็ผ่านกันมาแล้ว หากให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าบาดเจ็บย่อมต้องเป็นสงสัยของทุกคน แค่เขารู้คนเดียวข้าก็หนักใจอยู่ไม่น้อย” ฮั่วเหลียนชินรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะวางใจเฉินห้าวหนานได้มากแค่ไหน แม้เขาจะพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา ถึงความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวของนาง ‘แม้ข้ามิได้รักนาง แต่ข้าก็มิคิดที่จะให้นางกับลูกตาย ห้าวหยางคือลูกชายของข้า ไยข้าจะชิงชังเขาได้เล่า แต่ข้าไม่นึกว่าการเดินทางของนาง จะเป็นการจากไปมิหวนคืนเช่นนี้’ “จิ้งจอกถูกปล่อยแล้วใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่ฉงอานกำลังจับตาดูอยู่เจ้าค่ะ” “ดี! มองอยู่เงียบ ๆ รอให้สาวถึงปลาตัวใหญ่ ค่อยลงมือในคราเดียว” “สาวใช้จากเรือนหลีหยา มาป้วนเปี้ยนบ่อยยิ่งนักเจ