“เจ้าจะเรียกข้าอะไรนักหนา” เขาถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด โดนมารดาดุไปแล้วยังต้องมาเจอผู้หญิงคนนี้ทำตัวเซ้าซี้น่ารำคาญอีก
“นี่อะไร”
เขาถามพลางสูดเอากลิ่นอาหารเข้าท้องทำให้กะเพาะส่งเสียงครางออกมาเบาๆ
“หมาโผโต้ฝุ เต้าหู้ผัดซอสเจ้าคะ ส่วนนี้ก็ กงเป่าจีติงเนื้อไก่ ต้นหอมหั่นลูกเต๋า ผัดกับพริกแห้งและถั่วลิสง รสชาติออกเปรี้ยวหวาน แล้วยังมี...”
“ข้ายกถาดอาหารไปแล้วกัน” เขาพูดเมื่อเห็นนางยกชามอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้ว “เกิดเจ้าหกล้มขึ้นมาจะอดกินเสียเปล่าๆ”
หลัวเสี้ยวเวยยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มของตนสะกดสายตาชายหนุ่มได้มากเพียงใด ทำให้เขาหันไปทางอื่นราวกับกลัวตนเองจะต้องมนต์ดำเข้าให้
“ไปได้แล้วข้าหิว”
“เจ้าค่ะ”
สายตาหญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร นางหันไปมองบ่าวคนอื่นที่ทำเหมือนสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ นางจึงรีบยกสำรับที่เหลือเดินเร็วๆ ตามร่างสูงออกไป คนรับใช้ชายสูงวัยช่วยยกอาหารที่เหลือตามออกไปพร้อมรอยยิ้มกึ่งขบขัน
ภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดสาวใช้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มช่วยกันจัดโต๊ะอาหารมื้อนั้น ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาอดยิ้มไม่ได้ เคยกังวลว่าลูกชายไม่สนใจผู้หญิงเสียแล้ว เห็นเช่นนี้จึงเบาใจไปเปราะหนึ่ง แต่ที่ยังกังวลคือยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเสี้ยวเวย ที่ผ่านมาบุตรชายทั้งสองขยันขันแข็ง ทำให้สกุลหยางไม่ต้องเผชิญความลำบากทางการเงินนัก แต่กระนั้นก็ทำให้ลูกชายที่อยู่บ้านก็คล้ายกับไม่อยู่ แต่เดิมบิดาเคยโทษตนเองที่ครอบครัวเป็นเช่นนี้เพราะอาการเจ็บป่วยจนเดินเหินไม่ได้ จึงไม่อาจเรียกร้องให้ลูกชายทั้งสองอยู่ดูแลอยู่ใกล้ชิดเหมือนที่ทั้งสองเคยเป็นเด็กเล็กๆ
วันเวลาที่เคยเงียบเหงาจางหายไป เพราะมีสาวใช้คนใหม่ หน้าตาน่าเอ็นดู นางทำงานได้ดีเยี่ยม การงานเรื่องในครัวเพียงได้รับคำชี้แนะจากอิงอู่ก็ทำออกมาได้ถูกปากทุกคน แต่กระนั้นท่าทางนางก็ไม่เหมือนหญิงรับใช้ทั่วไป อ่านหนังสือออก ช่วงที่ลูกชายเอาแต่ยุ่งกับงาน นางอาสาอ่านหนังสือให้ทั้งสองฟัง น้ำเสียงก็แสนรื่นหูนัก
หยางต๋าลอบทดสอบเสี้ยวเวยโดยการชวนคุยเรื่องทั่วไป เสี้ยวเวยตอบโต้ได้อย่างคนมีความคิด มีการศึกษา แต่ที่น่าฉงนคือผู้หญิงคนนี้มีเสี่ยวหงเป็นคนแนะนำมา คงต้องคอยดูกันไป ถ้าเป็นคนดีจริงแล้วขัดสนเงินทอง เขากับภรรยาเคยพูดคุยกันเรื่องเสี้ยวเวยแล้วว่า หากนางเป็นคนดีจริงทั้งสองย่อมสนับสนุนให้นางได้อยู่ในฐานะที่ดีกว่านี้
เพราะชีวิตเคยลำบากมามาก สองสามีภรรยาผู้สืบทอดดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬรุ่นที่สองจึงสั่งสอนอบรมเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองมิให้ทำตัวเป็นคุณชายให้ผู้อื่นคอยรับใช้ แม้มีบ่าวไพร่และผู้ติดตามแต่ลูกชายทั้งสองมักทำอะไรด้วยตนเองเสมอ คนที่นี้จึงมิแปลกใจที่เห็นคุณชายใหญ่ถือถาดอาหารเข้ามาให้บิดามารดาด้วยตนเองเช่นนี้
ช่วงขาสั้นและตัวเล็กทำหลัวเสี้ยวเวยต้องเดินเร็วๆจนเกือบจะเป็นวิ่งตามหลังแผ่นหลังกว้างเดินลิ่วๆ มาถึงโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารแล้ว นางหอบเล็กน้อย ทำงานจนร่างกายชินชา แต่ให้เดินเร็วๆ ทั้งที่ประคองถาดอาหารมาด้วยเช่นนี้ นางแทบหายใจไม่ทันเลยทีเดียว แต่เพราะเห็นสายตาคมคู่นั้นชำเลืองมอง นางจึงรีบเข้าไปจัดอาหารบนโต๊ะทันที
ความสูงที่ต่างกันมาก ทำให้หยางเหลาหู่มองเห็นดวงหน้าเล็กมีเหงื่อผุดที่หน้าผาก มือใหญ่หยิบจับถ้วยชามอาหารวางบนโต๊ะ แต่ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าหวานนั้นได้ จนกระทั้งอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าตนเองทำอะไรผิด ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วอย่างงุนงง
อากัปกิริยาของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของหยางต๋าและฮูหยิน รวมทั้งบ่าวสูงอายุที่รอรับใช้อยู่ใกล้ๆ ต่างพากันอมยิ้ม ด้วยวัยของคุณชายใหญ่ถึงเวลาควรมีภรรยาและลูกเล็กๆ ไปนานแล้ว แม้ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของ ‘เสี้ยวเวย’ อย่างชัดเจน แต่สายตาเจนโลกของพวกเขาผนวกกับรูปร่างทรวดทรงของ ‘เสี้ยวเวย’ แล้ว นางเหมาะที่จะให้กำเนิดทายาทสกุลหยาง นางปรากฏตัวในฐานะของ‘สาวใช้’ ก็ตาม
เมื่อจัดโต๊ะอาหารพร้อมแล้ว หญิงสาวถอยออกห่างเพื่อให้เจ้านายได้รับประทานอาหาร นางแอบค้อนคุณชายใหญ่เข้าไป เพราะเขาแท้ๆ ทำให้นางเหนื่อยจนแทบหอบหายใจเช่นนี้
“ทำไมเจ้าไปยืนไกลนักละเสี้ยวเวย” ฮูหยินหยุนผิงถามแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “มานั่งกินข้าวด้วยกันนี่ซิ”
“เชิญนายท่านกับฮูหยินกินอาหารเถิดเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ สายตาดันแอบเห็นสีหน้าคุณชายใหญ่เข้มขึ้น นางจึงหลุบตาลงทำเป็นมองไม่เห็นเสียนี่
“กับข้าวเยอะแยะเต็มโต๊ะแบบนี้ มานั่งกินด้วยกันนี่แหละ มาๆ มานั่งข้างเหลาหู่” คราวนี้เป็นนายท่านใหญ่เรียกอย่างสนิทสนม
สายตาคมกริบของหยางเหลาหู่ไม่ได้ทำให้หลัวเสี้ยวเวยรู้สึกกลัวได้หรอก เพียงแต่เกรงใจที่ผู้ใหญ่เอ่ยปากชวนถึงสองครั้งแล้วปฏิเสธไปจะดูไม่เหมาะ ทั้งหยางต๋าและฮูหยินหยุนผิงคะยันคะยอให้นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน นางจึงทำตามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
หลางเหลาหู่จับตะเกียบแล้วแกล้งกางข้อศอกมาโดนแขนซ้ายของคนที่นั่งข้างๆ เป็นจังหวะที่หญิงสาวกำลังคีบอาหารส่งเข้าปากตนเอง ทำให้นางสะดุ้งเสียจังหวะ ข้าวร่วงก่อนเข้าปาก นางหันขวับมามองคนตัวโตที่ยักคิ้วให้ หลัวเสี้ยวเวยได้แต่กัดฟันแล้วบอกให้ตัวเองสงบใจไว้ นี่มันพฤติกรรมของเด็กชอบเอาชนะชัดๆ เขาแค่เป็นผู้ใหญ่ตัวโตที่มีนิสัยแบบเด็กเท่านั้น
“ไก่ตุ๋นยาจีนเป็นอย่างไร อร่อยไหม?” ฮูหยินหยุนผิงถามขึ้น
“อร่อยมาก ลูกรู้สึกว่าไม่ได้กินรสมือแม่แบบนี้นานแล้ว”
“ชามนั้นเสี้ยวเวยทำนะลูกไม่ใช่แม่หรอก แม่แก่แล้วลิ้นไม่ค่อย
รู้รสแล้วล่ะ”
ฮูหยินหยุนผิงยิ้มได้ใจ ลูกชายจะเปลี่ยนคำพูดก็ไม่ได้เพราะเห็นกินเอากินขนาดนั้น
“กั๋วชิ่งยังไม่กลับมาอีกรึ” หยางเหลาหู่เปรียนเรื่อง ปกติมื้อเย็นกินข้าวกันพร้อมหน้า ไม่มีส่วนเกินเช่นมื้อนี้
“ออกไปดูร้านกับอาลี่ กว่าจะกลับคงมืด” หยางต๋าเอ่ยตอบเพราะลูกชายมาบอกก่อนจะออกไปข้างนอกแล้ว
ร้านค้าของหยางกั๋วชิ่งอยู่ในเมือง เมื่อใดที่ถูกจ้างให้คุ้มกันสินค้าจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่ง หยางกั๋วชิ่งจะสั่งให้เขาซื้อข้าวของกลับมาจำหน่ายในเมือง เมื่อเดินทางบ่อยและได้ของดีคุณภาพเยี่ยมจากต่างเมืองมา รวมทั้งจัดหาสินค้าหายากตามที่ลูกค้าต้องการ ด้วยเหตุนี้ทำให้กิจการร้านค้าของ หยางกั๋วชิ่งขายดิบขายดีไปด้วย
อาหารมื้อเย็นผ่านไปด้วยรอยยิ้มและเรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ทั้งสองสรรหามาพูดคุยทำให้หลัวเสี้ยวเวยอดหัวเราะไม่ได้ มีแต่หยางเหลาหู่ที่หน้าตึงเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของครอบครัว หลังกินอาหารเย็นเสร็จสิ้น หญิงสาวขอตัวไปจัดการเก็บล้างจานชามในครัว นางยิ้มอย่างสุขใจ ผิดกับครั้งที่อยู่กับครอบครัวลุงจางฉวน นางทำอะไรไม่ถูกใจคนในบ้านเสมอ ถูกรังแกกลั่นแกล้งสารพัด หลายครั้งคิดน้อยใจที่บิดามารดาทอดทิ้งนางไว้ตามลำพัง
“เจ้านี่หว่านเสน่ห์ใส่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าได้ยังไงนะ ปกติ
พวกท่านไม่ค่อยสนิทสนมกับใครแบบนี้”
เสียงหยางเหลาหู่ดังมาจากด้านหลังทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ นางหันมายิ้มให้แล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน
“งานในครัวเสร็จแล้ว ข้าน้อยได้พักแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็...” ปกติเขาก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่...แค่รู้สึกเหมือนถูกแย่งบิดากับมารดาไปอย่างไรไม่รู้
“ถ้าไม่มีอะไร ข้าน้อยขอตัวไปหานายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ถ้าเสแสร้งแกล้งประจบก็ไม่ต้องไปหรอก”
“คุณชายใหญ่คิดอย่างไร ล้วนไม่ใช่เรื่องที่ข้าน้อยต้องใส่ใจ ข้าน้อยทำหน้าที่ของตัวเองและตอบแทนที่ได้รับความเมตตาต่างหาก”
หยางกั๋วชิงลอบสังเกตมองบ้านสกุลจาง แม้ไม่ใหญ่โตแต่คงความภูมิฐาน สองสามีภรรยาที่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มประหลาดใจ “คุณชายหยางกั๋วชิ่งแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เกียรติมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าธุระอันใดรึ” “ท่านคือจางฉวน ลุงของหลัวเสี้ยวเวยใช่หรือไม่” หยางกั๋วชิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีเรียบเฉยพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน หลานสาวตัวดีหนีหายไปทิ้งภาระใหญ่ให้ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้ ยังดีที่ยังไม่ได้รับเงินจากเศรษฐีหยง-เต๋อ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นหนีเป็นสินหาเงินมาคืนค่าตัวหลัวเสี้ยวเวย “มะ...ไม่ทราบว่า...มีเรื่องอันใดรึ” จางฉวนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าอวบอูม หลานสาวหนีออกจากบ้านไปได้สามเดือนแล้ว เขาเองไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องใดไว้หรือไม่ “ตอนนี้แม่นางหลัวอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ” หยางกั๋วชิ่งยังคงน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเกียจคร้านของตนเช่นเดิม “เหตุใดนางไปอยู่ที่นั้นได้”ป้าสะใภ้ฝืนยิ้มแต่ไม่อาจข่มความหวาดกลัวในใจได้มิดชิด ป้อมพยัคฆ์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงเกินได้ง่ายๆ หลายสิบปีมานี่ผ
“ข้าชอบ...ที่เจ้าชอบข้า”ถ้อยคำของเขาเรียกสติของนาง แม้มองผ่านม่านน้ำตาของตนเอง แต่ยังเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขาได้ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างประหลาดใจกับคำพูดของเขาและไม่มีท่าทีที่เขาทำร้ายนาง“ข้ารู้ตั้งแต่จำความได้แล้วว่าท่านพ่อหมั้นหมายบุตรสาวของสหายรักไว้ เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จนท่านพ่อป่วยและข้าเข้ามาดูแลป้อมพยัคฆ์ทมิฬแทนบิดาเต็มตัว จนทุกอย่างดีขึ้นและเมื่อสี่ปีก่อนท่านพ่อมิต้องการเป็นฝ่ายผิดคำสัญญาจึงให้ข้าเดินทางไปพบเจ้า แต่เพราะป้อมพยัคฆ์ทมิฬเองก็มีอริอยู่มาก หนึ่งในนั้นคนหอนางแอ่น คนกลุ่มนั้นได้ข่าวว่าข้าเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวจึงชิงลงมือตัดหน้าก่อนที่ข้าจะไปถึง และได้ขโมยของหมั้นหมายไป ใช้กำไลมาแสดงตัวว่าเป็นคู่หมั้นข้าเพื่อเข้ามาในป้อมพยัคฆ์ทมิฬ...เดิมทีการเดินทางครั้งนั้น ข้าตั้งใจไปเจรจากับบิดาของเจ้า การหมั้นหมายแต่งงานควรเป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ข้ายินดีเป็นฝ่ายผิดคำสัญญา ทว่ากลับไม่คิดว่าเมื่อตัวเองไปถึงจะพบโศกฏกรรมนั้น หากข้าเดินทางเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ถูกทำร้ายจนฝันร้ายเกือบทุกคืน”ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ แต่กลัวว่านางจะเข้าใจ
สี่ปีที่ผ่านมาข้าอยู่ในฐานะคนรับใช้มาตลอด จนกระทั้งป้าสะใภ้ต้องการขายข้าเป็นอนุเศรษฐีผู้หนึ่ง ข้าปฏิเสธและแอบหนีออกมา คนกลุ่มนั้นไล่ตามข้า แต่ข้าวิ่งหนีไม่ทัน ประจวบกับเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอยู่จึงแอบเข้าไป จึงได้พบคุณชายหยางเหลาหู่ ท่านต้องการหญิงรับใช้และข้าต้องการหนีไปตายเอาดาบหน้า จึงได้แอบอ้างตัวเป็นหญิงรับใช้ที่เสี่ยวหงส่งมา...” นางพูดยาวเสียจนคิดว่าถ้าไม่พูดครั้งนี้แล้ว นางอาจจะไม่ได้พูดกับเขาอีกเลยก็เป็นได้ “เจ้าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นคู่หมั้นคู่หมายของข้าเลยรึ” เขายื่นหน้าไปถามนาง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงนอนละเมอฝันร้ายเช่นนั้น “ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้า แม้กระทั้งกำไลวงนั้น ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน” นางพูดไปตามจริง “ข้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน วันนั้นข้าพบท่านเป็นครั้งแรกจริงๆ” “อาจเพราะคุณหนูยังเล็กนัก หลัวฮูหยินเองก็รักและตามใจคุณหนูมาก คงยังไม่ต้องการให้รู้เรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังคุณหนูแต่อย่างใด” “แล้วเจ้าล่ะ อาลี่...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” อาลี่ทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าหลัว
“ย่อมเป็นข้า” เขาวางถ้วยโจ๊กแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากของนาง แก้มฝาดเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปรินน้ำดื่มให้นาง นางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬจะลดตัวลงมือทำอาหารให้นางเอง นางจ้องใบหน้าคมเข้มของเขาแล้วเห็นเพียงติ่งหูที่แดงอยู่ทำให้นางไม่กล้าถามย้ำอีก “ข้าแข็งแรงดีขึ้นแล้ว ให้ข้าไปช่วยงานป้าอิงอู่เถิด อีกอย่างไม่มีข้าแล้วใครจะดูแลปรนนิบัตินายท่านกับฮูหยิน” หลัวเสี้ยวเวยเห็นเขาทำท่าคัดค้าน นางจึงรีบพูดขึ้นก่อน “ข้านอนมาตั้งหลายวันแล้ว ขืนยังนอนอยู่อย่างนี้จะยิ่งกลายเป็นคนป่วยไม่ฟื้นตัวเสียที ให้ข้าทำอะไรบ้างเถิดนะ หรือไม่ก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นบ้างก็ยังดี” เห็นท่าทางออดอ้อนของนางแล้วก็เผลอใจอ่อน“เอาเถอะ แค่เดินเล่นเท่านั้น งานการใดๆ เจ้าอย่าเพิ่งออกแรงทำ” นางพยักหน้ารับ เขาจึงยอมให้นางลงจากเตียงได้ นางดีใจจนยิ้มกว้าง เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแจ่มใสและรอยยิ้มของนาง ทำให้เขาเผลอยิ้มตามไปด้วย หลัวเสี้ยวเวยค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กลัวว่าตัวเองล้มพับไปเช่นครั้งก่อนอี
หลัวเสี้ยวเวยหลับตาปี๋ตกใจเสียงตะคอกของเขา แม้ได้ยินบ่อยๆ แต่อดตกใจไม่ได้ หยางกั๋วชิ่งอมยิ้มรีบเดินหลบออกไป หยางเหลาหู่ข่มโทสะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองคนที่ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้ว ใบหน้าซีดเซียวมีความงุนงงอยู่เต็มใบหน้า เส้นผมยาวสลวยดุจย้อมหมึกของนางลงมาเคลียทรวงอก แม้จะสวมชุดนอนอยู่แต่เขากลับรู้สึกหายใจติดขัด พิษในกายถูกขับไปหมดแล้ว ทว่ารสชาติของนางยังปลุกเลือดในกายของเขา หยางเหลาหู่ไม่คิดว่าตนเองต้องใช้ความพยายามในการข่มใจเพื่อก้าวเท้าเข้ามากดไหล่ให้นางลงนอน “เจ้ามีไข้ไม่ได้สติมาสองวันสองคืน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่นเลย” “สองวันสองคืน! ข้านอนมานานเกินไปแล้วนะ” นางจับมือของเขาที่กำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ “เมื่อครู่คุณชายรองเรียกข้าว่าอาซ้อ...” หยางเหลาหู่เห็นแววตาดื้อรั้นของนางแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่“ถูกต้อง” “ถูกต้องอย่างไร ข้าเป็นสาวใช้แล้วจะมาเรียกข้าว่าอาซ้อได้อย่างไร” นางโต้เถียงพลันนึกเรื่องที่นางใช้ตัวเองแก้พิษให้เขา.... นางหลับไปสองวันสองคืนเรื่องนี้คงรู้กันไปทั่วแล้ว “รอเจ้าแข็งแรงดี เราจะเข
เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมของนางเอกเผื่อได้เห็นดอกบัวคู่งามสั่นไหวเย้ายวนตานัก เมื่อรู้ว่านางขยับสะโพกได้เองเป็นแล้ว เขาเลื่อนมือขึ้นลูบไล้นวดอกคู่งามจนนางครางกระเส่าออกมา“อย่า”นางร้องห้ามอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปหมายถึงเรื่องใด หน้าอกของนางแข็งเป็นตุ่มไต นางหลับตาลงไม่กล้าสบตาเขา แต่กลับถูกเขาบังคับด้วยจุมพิตร้อนแรง และเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดจนนางแทบขาดใจ ดวงตาเขาเหมือนมีเปลวไฟไหวระริกอยู่ในนั้น ร่างของนางเกร็งและกระตุกอีกคราวเขาประคองแผ่นหลังนางลงนอนอีกครั้ง ยกเรียวขาของนางวางพาดบ่า หันหน้าไปจูบปลีน่องของนางแล้วขยับสะโพกของตนอย่างลึกล้ำและรวดเร็ว นางได้แต่บิดกายเร่าๆ บนที่นอนที่ยับยู่ นางเอื้อมมือไปดึงม่านมุ่งเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพันชายผ้ารอบข้อมือเกร็งร่างกายรับการกระแทกรุนแรงซึ่งไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ จนนางได้ยินเสียงเขาคำรามอีกระลอกพร้อมกดแก่นกายลึกเข้ามาในตัวนาง น้ำรักร้อนรินรดอีกคราว นางเหนื่อยหอบปล่อยให้เขาแกะข้อมือของนางออกจากผ้าที่นางดึงไว้ เสียงผ้าขาดตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ยามนี้นางไร้สติจะรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว รู้เพียงแค่