ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมบางเบาสีทองอ่อนสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาปะปนกับกลิ่นกำยานเร้าอารมณ์แห่งพิธีราชสำนัก เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่ง บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งขรึม เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน นางแต่งองค์ด้วยชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์และเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางจากทุกฝ่ายนั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งขรึม พระสนมชิงอวี่นั่งที่พระเก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ ชิงอวี่ปรายตามองลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยังไร้สัญญาณสั่งโหมประโคม เสียงขุนนางต่างลือกระซิบตลอดลานพิธี เสน
รุ่งเช้า ณ ตำหนักชิงอวิ๋นม่านแพรบางสีไข่มุกไหวระริกตามแรงลมหิมะเบา แสงแดดยามเช้าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนเตียงใหญ่ผืนงาม ร่างสูงของหลงเจิ้งหยางหลับตานิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนักปรากฏอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาเพียงหายใจช้า ๆ อย่างพอใจในอ้อมแขนที่โอบร่างบางไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาดำสนิทที่มักแฝงกลิ่นคมคายเยือกเย็น บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ เขาทอดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตน พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝันไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อรอยจุมพิตจากรัตติกาล ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจากหอสมุดลับในวังหลวง“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ เยว่เอ๋อร์…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบชิดข้างหูพระชายา ก่อนจะโน้มใบหน้าแนบหน้าผากนา
“เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา”เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่อุ้งมือประกบสัมผัสแท่งหยกแนบแน่นมากขึ้น ปลายนิ้วลูบวนๆ ตามความยาว สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มทำเอาขนกายเขาลุกชัน แขนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้ามือนางยึดไว้"คืนนี้ หม่อมฉันขอลงโทษพระองค์บ้าง… โทษฐานที่เคยว่าร้ายหม่อมฉัน ไล่หม่อมฉันมาอยู่ตำหนักเย็น”หลงเจิ้งหยางมิทันได้ตอบ กางเกงแพรเนื้อเบาบนร่างแกร่งถูกคลายเชือกอย่างง่ายดาย แท่งหยกพิโรธที่ร้อนผ่าวถูกปลดปล่อยเผยโฉมออกมาผงาดพร้อมรบเมื่อพ้นเนื้อผ้าบดบังกลีบบุปผาแห่งนางแอบสั่นไหวระริก ขับน้ำเหนียวออกมา จนเจ้าของร่างก็ไม่กล้าขยับแรง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหยุดอยู่ตรงกลางแหล่งอารมณ์อันเป็นศูนย์รวมความทรมานของบุรุษ พลางก้มลง... ประทับจุมพิตแท่งหยกงามที่เคยอ่อนนิ่ม แต่บัดนี้กลับแข็งตึงราวเหล็กกล้า ซ้ำยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าเดิม“พระองค์ หม่อมฉันสามารถชิมเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่เ
“เยว่เอ๋อร์ พระชายา เจ้า...อ๊าาาา ลิ้นเจ้านับวันยิ่งร้ายกาจ อูววว”“หม่อมฉันร้ายกาจได้มากกว่านี้เพคะ พระองค์ก็รู้” “เจ้าแสดงความร้ายกาจของเจ้า อ๊าาา….ซี๊ดดด ให้ข้าได้เห็นที อูยยย คืนนี้…เจ้าช่วยใช้ลิ้นของเจ้าลงทัณฑ์ ข้าที” หลงเจิ้งหยางขบกรามแน่น เอ่ยกระซิบบอกนาง เสียงแผ่ว ก่อนจะหัวเราะชอบใจในลำคอกับความกล้าของพระชายา ไป๋ลี่เยว่เหลือบตามองหน้าคมเล็กน้อย ก่อนที่จะไล่ริมฝีปากลงมาที่กางเกงแพรแนบเนื้อของเขา แล้วก้มหน้าเม้มลำกายที่แข็งเป็นลำภายใต้แพรเนื้อบาง หลงเจิ้งหยางหลับตาแน่น สะกดอารมณ์ที่ปะทุขึ้นจากสัมผัสของนาง เสี้ยววินาทีนั้น เขาถึงกับร้องออกมาเสียงกระเส่า “เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา” “เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา” เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่ว
หลงเจิ้งหยางบดจุมพิตลงบนกลีบปากนางอย่างลุ่มหลง ปลายลิ้นแผ่วพลิ้วสัมผัสกับความหวานภายในโพรงปากของพระชายา ราวกับจะแสวงหาน้ำทิพย์จากเกสรดอกเหมยในฤดูวสันต์ ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ละเมียดละไมแต่อัดแน่นด้วยแรงปรารถนา“อื้อ อื้อ อื้อ จ๊วบ จ๊วบ” มือแกร่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ขวางกั้นระหว่างกันอย่างแช่มช้า แต่มั่นคง ดั่งนักรบผู้ถอดเกราะก่อนศึกใหญ่ เสื้อคลุมชั้นนอกของนางหลุดลู่ไปตามแรงมือ จากนั้นเป็นชุดตู้โตวบางเบาผืนแดงลายบุปผา ที่ยังคลุมเรือนกายไว้อย่างแผ่วเบาแนบเนื้อ เผยให้เห็นผิวขาวนวลผ่องดั่งหิมะให้ดูยิ่งเปล่งประกายยามต้องแสงเทียน แม้จะยังมีเพียงแพรบางผูกแน่นที่ช่วงสะโพก แต่ก็กลับยิ่งขับเรือนกายของพระชายาให้ยิ่งดูยั่วเย้าใจ น่าค้นหายิ่งขึ้นฝั่งหลงเจิ้งหยางเองก็มิได้ต่างกัน อาภรณ์ของเขาหลุดลอกออกทีละชั้น จนเหลือเพียงกางเกงแพรผูกเชือกเนื้อบางที่แนบไปกับลำกายกำยำ กล้ามเนื้อแน่นชัดประหนึ่งปั้นจากหยกกล้า เผยให้เห็นเค้าโครงแห่งบุรุษผู้ช่ำชองในสมรภูมิ สมชายชาติทหารที่แม้ยามไร้อาวุธยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจริมฝีปากอุ่นร้อนค่อย ๆ ละจากกลีบปากอวบอิ่ม เลื่อนลงสัมผัสปลายคาง แล้วไล้ลงมาต
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หลิวอวี้ มาขอเข้าเฝ้าพร้อมกับแจ้งข่าวลับพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฝีเท้าร้อนรนของหลินซ่างดังขึ้นพร้อมรีบเข้ามาคุกเข่ารายงาน กระบอกไม้ถูกส่งถึงมือหลงเจิ้งหยางในชั่วพริบตา เขาคลี่แผ่นรายงานออก สายตาคมดั่งกระบี่สะบั้นเพียงปรายตามอง “ข่าวจากสายลับของหลิวอวี้แจ้งมาว่า ตอนนี้ คณะทูตต้าเหยียนเดินทางใกล้ถึงเขตชายแดนแล้ว เราได้ให้คนของเราล่วงหน้าไปเตรียมตัวการต้อนรับและเปลี่ยนเกี้ยว เตรียมขบวนใหม่ที่นั่น คาดว่าขบวนทูตจะผ่านหน้าผาแม่น้ำหยกขาว ในอีกสามวัน” เสียงทุ้มของหลงเจิ้งหยางเอ่ยขึ้น ขณะส่งกระดาษข่าวลับต่อให้สตรีที่นั่งเบื้องหน้า พระชายาของเขา ไป๋ลี่เยว่ที่สวมอาภรณ์แพรเนื้อละเอียดสีมุก ผมดำขลับปล่อยสยายลงบนบ่า ขัดแย้งกับแววตาคมลึกที่สะท้อนความคิดล้ำลึก นางไล่สายตาอ่านรายงานข่าวลับที่เพิ่งส่งถึง มือเรียวบางของนางแตะแผ่นกระดาษแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเจือเยาะเย้ย หลงเจิ้งหยางวางม้วนแผนที่เส้นทางขบวนทูตกางบนโต๊ะ เเละใช้ด้ามพู่กันชี้แตะลงบนตำแหน่งหน้าผาแม่น้ำหยกขาว จุดชั่วจินโป๋ซานหลู ตำแหน่งที่ศัตรูหวังให้เขาพลาดท่า… “ขบวนทูตมาพร้อมของขวัญล้ำค่า หากมีสิ่งใดผิดพลาด จะไม่ใ