นางคือภรรยาที่เขาไม่ต้องการ ถูกแม่สามีรังเกียจ ถูกสตรีอื่นแย่งชิงสามี และถูกผลักไสออกจากจวนถูกราวกับของไร้ค่า...สามปีให้หลังนางกลับมาอีกครั้งพร้อมความแค้นที่จะสะสางและทวงคืนอย่างสาสม!
もっと見るวันนี้ตลอดทั้งวันท้องฟ้าแจ่มใสมีแสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณจนร้อนอบอ้าวแต่เพียงชั่วพริบตาเมื่อยามพลบค่ำ เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดมิดสนิทราวกับพายุกำลังจะพัดพาฝนห่าใหญ่มาสาดกระหน่ำ
สายลมแรงพัดกระหน่ำจนทุกสิ่งจนปลิวว่อน เสียงลากล้อรถม้าค่อยๆ ลากตามพื้นมาดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ อย่างน่าหวาดกลัวจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลโม่ สาวใช้พลางเร่งรีบลงจากลงม้าก่อนจะยื่นมือออกไปประคองผู้เป็นนายหญิงอย่างรวดเร็ว เซินลี่ฮวาในชุดผ้าไหมสีครามเข้มประดับด้วยลวดลายดอกเหมย นางก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังโดยมีสาวใช้คอยประคองเอาไว้ สตรีที่ถูกสามีทอดทิ้ง ไฉนคิดว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก ใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้อารมณ์ฉายออกมาแต่ดวงตาคู่งามกลับสื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงอดีตที่ปวดร้าวและความโกรธที่รอวันสะสางเอาคืน หึ! สามีที่ดีไหนเลยจะทอดทิ้งภรรยาแล้วยกย่องสตรีอื่น ทันทีที่ได้เห็น คนงานชายเฝ้าหน้าประตูพลางเบิกตาโพลงกว้างทันที ท่าทางประหนึ่งว่ากำลังเห็นผีก็ไม่ปาน “นั่นคือฮูหยิน...ภรรยาของแม่ทัพโม่ใช่หรือไม่” เมื่อสาวใช้ของเซินลี่ฮวาได้ฟังแล้ว ผิงอันพลางหันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวางทันที นางส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะกล่าวออกมาเสียงแข็ง “ใช่! ฮูหยินคือภรรยาเอกของท่านแม่ทัพโม่…ไฉนเห็นแล้วยังไม่รีบทำความเคารพอีก” ผิงอันไหนเลยจะยอมรับได้ หากมีผู้มาเหยียบย้ำนายหญิงของตนเองเช่นนี้…ไม่ว่าจะเมื่อสามปีก่อนหรือตอนนี้ นางก็ไม่มีทางยอมให้ฮูหยินถูกรังแกเอาเปรียบอีกแล้ว! “ช่างเถอะผิงอัน” เซินลี่ฮวาเหลียวมองเล็กน้อยก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไม้สลักขณะใหญ่ที่ห้อยอยู่หน้าจวน ‘จวนแม่ทัพโม่’ หึ! ท่านคิดว่าทอดทิ้งข้าเอาไว้แล้วจะลืมเลือนไปได้เช่นกันอย่างงั้นหรือ…!? ริมฝีปากของเซินลี่ฮวาค่อยๆ โค้งเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน นางปรายตาไปมองคนเฝ้าประตูอีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแข็ง “เปิดประตูให้ข้า…” ท่าทางของสตรีตรงหน้าในยามนี้…ดูเย็นชา เย็นยะเยือกมิต่างจากก้อนน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสามปีก่อนเล่า! คนเฝ้าพลางประตูกลืนน้ำลายอึดหนึ่งอย่างอยากลำบาก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจเปิดประตูจวนตามคำสั่งของอีกฝ่ายทันที สายตากดดันเช่นนั้น…เกรงว่าเขาคงขาดอากาศหายใจพอดี “เชิญขอ…เชิญขอรับฮูหยิน!” เซินลี่ฮวาหาได้กล่าวอันใดมากความ นางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในจวนทันทีโดยไม่รีรอ ใบหน้าคนงามยังราบเรียบไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาทว่าแววตากลับแข็งกร้าว “ไปกันเถอะ…มารดาเหนื่อยไม่น้อยอยากพักผ่อนยิ่งนัก” “เจ้าค่ะฮูหยิน!” ผิงอันกระแทกตอบเสียงดัง นางพลางเชิดหน้าให้แก่คนเฝ้าประตูจากนั้นจึงเดินตามหลังฮูหยินไปทันที “…” เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ใบหน้าของคนเฝ้าประตูพลันซีดเผือดลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว เรื่องนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้าง…ว่าเมื่อสามปีก่อนนั้นเกิดอันใดขึ้น เกรงว่ายามนี้…หากจวนสกุลโม่ไม่แตกก็คงประสบเคราะห์คราวใหญ่แล้วกระมัง เขาเพียงแค่สบตากับฮูหยินแวบเดียวเท่านั้น…ก็รู้สึกชาวาบและขนลุกไปทั่วทั้งร่างอย่างไรสาเหตุ ไม่ว่างจะสายตา ท่าทางหรือแม้แต่น้ำเสียงพลันเปลี่ยนไปจากเมื่อสามปีก่อน ไม่มีความอ่อนแอหรือหวาดกลัวปรากฏออกมาให้เห็นทั้งสิ้น บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่เงียบสงบร่มรื่นย์เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณที่ปลูกไปรอบทั่วทั้งจวน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม…เว้นเพียงแต่นางและบุรุษผู้นั้น เซินลี่ฮวาเดินตามทางเข้ามาข้างในจวนอย่างคุ้นชิน ทุกย่างก้าวของนางล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจหาได้รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดทั้งอีกแล้ว ยามนั้นนางอ่อนแอและโง่เขลาเกินไปจึงถูกเอาเปรียบอยู่มาก ยามนี้นางกลับมาแล้ว…ไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นของนาง นางย่อมต้องท้วงคืน !!! “ตายแล้วสวรรค์!” น้ำเสียงร้องตกใจของแม่บ้านดังลั่นไปทั่วทั้งจวน พลันทำเอาเหล่าสาวใช้ต่างหันขวับไปมองทันที “นี่มันกระไรกัน…!” “เพ่ย! ข้าตาฝาดหรือ” “แย่แล้ว!” เหล่าสาวใช้ที่หรี่ตาลงและชะโงกมองดูเมื่อเห็นเซินลี่ฮวาแล้ว…ต่างพากันยกมือทาบอกร้องตกใจออกมาทันทีราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปาน เหตุใดฮูหยินถึงกลับมาที่จวนอีก…? มิใช่ว่าเมื่อสามปีก่อนนั้นทำนายท่านโกรธและโมโหอยู่มากจนถึงขับไล่ออกจากจวนส่งขึ้นเกี้ยวไปอยู่ที่อื่นมิใช่หรือ!? เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้นจนมาเข้าหูนาง ผิงอันขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ นางพลางปรายสายตาเหลียวมองพวกคนเหล่านั้นตาขวางอย่างข่มขู่ทันที “เหอะ! ฮูหยินของข้าแค่กลับจวนเท่านั้น พวกเจ้าแปลกใจอันใดกัน” นางกัดฟันกรอดกร้าวออกมา โกรธเคืองแทนผู้เป็นนาย เซินลี่ฮวาเดินนำหน้าอยู่ นางได้ยินแล้วพลันหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างขบขับ ฝีเท้าของนางชะงักก่อนจะหมุนตัวหันไปมองสาวใช้ข้างกาย “เกรงว่าข้าในยามนี่ข้าคงงดงามขึ้นกระมัง” “ฮูหยินเจ้าค่ะ!” ผิงอันกล่าว เหตุใดนายหญิงของนางถึงได้กล่าวเป็นเรื่องล้อเล่นไปได้ เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนนางยังจำได้ไม่ลืมจริงๆ ว่าคนเหล่านี้ทำอย่างไรไว้บ้าง เซินลี่ฮวาแค่นเสียงในลำคอ นางพูดออกมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “ช่างเถอะ…คนเป็นร้อยจะห้ามคำพูดหมดทุกคนจะเป็นไปได้อย่าง” “ทว่าคนพวกนั้นเคยกระทำกับฮูหยินไว้นะเจ้าค่ะ” “ความแค้นของข้าจะให้ไปสะสางที่ปลายเหตุได้อย่างไร” นางกล่าวออกมาเสียงเรียบทว่ากลับเต็มไปด้วยเย็นชา “บุรุษผู้นั้นต่างหากที่ข้าสมควรสะสางความแค้นด้วย” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ นัยน์ตาเรียวราวเมล็ดซิ่งของนางพลันแข็งกร้าวขึ้นทันที แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างปิดไม่มิด ในตอนนั้น...นางไม่เคยต้องการแต่งงานกับโม่เหยียนซวี่เลยแม้แต่น้อย หากย้อนเวลากลับไปได้ นางคงไม่แม้แต่จะอยากร่วมหายใจอยู่ใกล้เขาด้วยซ้ำ บุรุษเห็นแก่ตัวเช่นเขา...ทอดทิ้งภรรยาผู้เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันมา แล้วหันไปแต่งสตรีอื่นได้ลงคอเช่นนั้นหรือ หึ! หากข้าไม่ตายอย่าหวังว่าท่านจะได้มีความสุข แม้แต่ผิงอันเป็นสาวใช้ข้างกายของอีกฝ่ายมาหลายปีทว่ากลับยังรู้สึกไม่คุ้นชินเสียที ทั่วทั้งร่างของนางพลันขนลุกซู่เมื่อได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ ฮูหยินในยามนี้น่ากลัวจริงๆ นับตั้งแต่เกิดเรื่องในคราวนั้น ฮูหยินก็พลันจมอยู่ในความโศกเศร้าเนิ่นนานจนกินเวลาร่วมปีทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ วันหนึ่งกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเอ่ยปากกล่าวว่า ต้องการกลับไปสะสางความแค้นกลับท่านแม่ทัพโม่! ผิงอันเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น หากผู้เป็นนายว่าอย่างไรนางก็เห็นด้วยพร้อมเคียงข้างทั้งสิ้น นางเฝ้ารอแล้วรอเล่าว่าฮูหยินจะกลับจวนเมื่อใด...จากหนึ่งปีกลายเป็นสองปี กระทั่งล่วงเข้าสู่ปีที่สาม และในช่วงเวลานั้นเอง นางได้ยินข่าวแผ่วเบามาว่า ภรรยาอีกคนของท่านแม่ทัพโม่ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว ทว่าด้วยความไม่ทันระวัง จึงสูญเสียบุตรในครรภ์ไปอย่างน่าเศร้า ทันใดนั้นเอง...นายหญิงของนางก็พลันเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด ว่าจะต้องกลับไปยังจวนสกุลโม่ในวันนี้! ผิงอันได้แต่พยักหน้าและจัดเตรียมทุกอย่างกลับมาสกุลโม่อีกครั้งหลังจากสามปี… เซินลี่ฮวาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา นางปรายสายตามองทั่วทั้งจวนพลันเห็นเหล่าสาวใช้ที่หลบซ่อนอยู่มุมต่างๆ กระซิบกระซาบ “สงสัยอันใดก็มาถามข้าเถอะ…ยามนี้มารดากลับมาแล้ว”ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า
コメント