เฉินโม่หราน นักธรกิจสาวต้องทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แถมยังเป็นนางร้ายที่เข้าฉากไม่กี่ตอนก็ต้องตาย บ้านใหญ่ก็ยังเห็นแก่ตัวแทบจะหาดีไม่ได้ แบบนี้เธอไม่มีทางยอมหรอกนะ เอาสิ ตายเป็นตาย!!
View Moreหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า
“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”
เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง
“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ
ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว
ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ
“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป
‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’
เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย่าบังคับให้แต่งงานแทนหลานสาวสุดที่รัก
แล้วที่สำคัญคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยนั้น เบื้องหน้าคือพรานป่า แต่เบื้องหลังคือเจ้าพ่อดี ๆ นี่เอง
‘ถ้าอย่างนั้นฉันจะแต่งงานแทนเอง ฉันจะไม่ตัดวาสนาการเป็นคุณนายไปหรอก แต่กว่าจะได้เป็นคุณนายนี่สิ จะต้องเจอกับอะไรบ้างนะ เมื่อถึงตอนนั้นเส้นเรื่องทั้งหมดคงได้เปลี่ยนไปแล้ว’
ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูดังหนักขึ้นจนทำให้เฉินโม่หรานสะดุ้ง ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววโมโหอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะรีบเดินมาเปิดประตู
“มีใครตายหรือไงถึงทุบประตูดังขนาดนี้”
สองแม่ลูกมือค้าง มองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
นั่นเพราะว่าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปหลายนวินาที“จะบ้าหรือไง หล่อนเป็นบ้าอะไรถึงได้มาตวาดฉันที่เป็น
ป้าสะใภ้ของหล่อน” ฟางอี้เหนียงตวาดกลับอย่างไม่พอใจ แต่กลับมีความตกใจที่เห็นหลานสาวจากบ้านรองมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม“นั่นสิ หล่อนบ้าไปแล้วหรือไงถึงกล้าตวาดแม่ฉัน”
คราวนี้เป็นเฉินเม่ยเม่ยที่พูด เธอเองตกใจยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีกเพราะที่ผ่านมา เฉินโม่หรานไม่ค่อยมีปากเสียงสักเท่าไร
ส่วนเฉินโม่หรานคนใหม่ไม่ได้สนใจหรอกว่า สองคนตรงหน้าจะสงสัยไหมว่าเธอนั้นไม่ใช่เฉินโม่หรานตัวจริง แต่ตามความทรงจำแล้ว คนบ้านเฉินหาดีไม่ได้เลย แถมใช้งานบ้านรองอย่างกับทาสในเรือน
คราวนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้เสียแล้ว!
“แล้วอย่างไร ป้าก็แค่สะใภ้บ้านโม่ เมียของลุงใหญ่ไม่ใช่
พ่อแม่ฉันเสียหน่อย ป้าเองก็ไม่เคยมองฉันดีสักครั้ง มีแค่ด่าและ ข่มเหง แล้วทำไมฉันต้องยอมเหมือนเดิม” เธอสวนกลับ ก่อนจะพูดประโยคต่อมาเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไปแล้ว“ว่าแต่มาที่นี่มีเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องอาหารก็ไปทำเอง ฉันป่วย เมื่อวานนี้ทุกคนเห็นกันทั้งหมดแล้วนี่ว่าฉันโดนย่าตี
แถมยังไม่ให้เงินไปซื้อยา จบนะ”ปัง!! เสียงปิดประตูดังขึ้นทันทีเมื่อเฉินโม่หรานพูดจบ
นี่จึงทำให้สองแม่ลูกจากบ้านใหญ่ได้สติกลับมา
“แม่ นังโม่หรานมันผีเข้าหรือเปล่า ทำไมนิสัยของมันถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ” เฉินเม่ยเม่ยพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ
นี่จึงทำให้คนเป็นแม่พยักหน้ารับกับคำพูดของลูกสาว
“แม่เห็นด้วย อย่างไรต้องบอกย่าของแกในเรื่องนี้ ต่อให้มันผีเข้าก็ไม่ควรกำแหงกับฉัน” ฟางอี้เหนียงโกรธจัดและคิดว่าเรื่องนี้ต้องคาบข่าวไปบอกแม่สามีมาให้จัดการหลานสาวจากบ้านรอง
“แล้วถ้ามันผีเข้าจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะแม่ มันไม่แค้นเรื่องในอดีตที่เราเคยทำกับมันหรือคะ”
“ต่อให้มันผีเข้า แต่มันจะทำอะไรเราได้ มันกลัวย่าของแกจะตาย บ้านรองกล้ามีเรื่องหรือ”
สองแม่ลูกต่างก็พูดกันไปมา ไม่นานก็เดินกลับไปยังบ้านใหหญ่ ทว่าเสียงของทั้งสองคนนั้นกลัลเล็ดลอดเข้ามาในห้องที่
เฉินโม่หรานอยู่ หญิงสาวจึงแสยะยิ้มออกมา“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปนี้ต่อให้ใครจะมาหาเรื่อง
หรือจิกหัวใช้ ฉันจะโต้กลับร้อยเท่าพันเท่า จนกว่าจะได้แยกบ้านออกไป”เฉินโม่หรานความจริงแล้วคือนักธุรกิจหญิงในยุคปัจจุบัน แต่ต้องเข้ามาอยู่ในนิยายที่เพิ่งอ่านไป แล้วนางร้ายตัวประกอบเรื่องนี้ต้องตายเพียงไม่กี่ตอน
หญิงสาวพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่นางร้ายตัวประกอบคนนี้จะตาย และพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ จะเป็นเพราะชื่อเหมือนกันก็ไม่น่าใช่
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็หาเหตุผลนั้นไม่ได้สักที
ส่วนทางด้านของเฉินคังและภรรยารวมถึงลูกชายคนโต ทั้งสามคนขึ้นเขามาเพื่อเก็บสมุนไพรไปต้มให้เฉินโม่หรานกิน
โดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลานี้ลูกและน้องสาวของพวกเขาได้ตายไปแล้ว แต่กลับมีหญิงสาวที่ชื่อแซ่เดียวกันมาอยู่แทน“เท่านี้คงจะพอต้มให้กินเพื่อดูอาการแล้วล่ะ ส่วนนี้ก็เอาไปประคบบาดแผล”
เฉินคังพ่อของเฉินโม่หรานพูดพร้อมกับพยักหน้าอย่าง
พึงพอใจที่ได้สมุนไพรตามต้องการ“เช่นนั้นเรารีบกลับกันเถอะครับพ่อ แม่ เดี๋ยวน้อง
ตื่นมาแล้วไม่เห็นพวกเราจะขวัญเสีย แล้วถ้าเกิดบ้านใหญ่มาก่อกวน น้องจะโดนทำร้ายเอาอีกนะครับ”เฉินหลงเปียวพี่ชายของเฉินโม่หรานเห็นว่าได้สมุนไพรตามต้องการแล้ว ก็รีบชวนพ่อกับแม่กลับบ้าน ใจก็ห่วงน้อง อีกใจกลัวว่าจะไม่ทันทำงานที่บ้านเสร็จก่อนไปทำงานในทุ่ง
“นั่นสิ อย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
จากนั้นทั้งสามคนจึงได้สะพายตะกร้าขึ้นหลังเดินลงเขาเพื่อกลับบ้านเฉิน
ภายในห้องโถงของบ้านใหญ่ เวลานี้ฟางอี้เหนียงกับเฉินเม่ยเม่ยเล่าถึงเรื่องราวที่พบเจอให้ฟัง พยายามย้ำว่าเฉินโม่หรานนั้นคงโดนผีเข้า เพราะไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนได้อย่างไรกัน
“มันจะเป็นไปได้หรือ เรื่องผีสางยุคสมัยนี้มันมีด้วยหรือไง” เฉินควนนั่งฟังก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่พอใจที่หลานสาวทำกิริยาอย่างนี้กับภรรยาและลูกตนเอง
“หากไม่โดนผีเข้า แล้วทำไมมันถึงกล้ากับแม่ล่ะ ก่อนหน้านี้แทบจะไม่สบตาพวกเราด้วยซ้ำ” เฉินเม่ยเม่ยยังเชื่อตามความคิดของตนเองที่มองว่า เฉินโม่หรานนั้นมีความผิดปกติและน่าจะถูก
ผีเข้า“ไหน ฉันจะไปดูกับตาว่ามันเป็นอย่างที่พวกเธอพูดหรือเปล่า สงสัยเมื่อวานยังไม่เข็ด อยากเจ็บตัวมากกว่านี้”
ย่าเฉินหญิงชราของบ้านเฉินพูดอย่างไม่พอใจและคิดว่าหลานสาวจากบ้านรองนั้นเสแสร้งเพื่อไม่ต้องทำงาน
จากนั้นก็ไม่รอช้ารีบเดินออกไปแล้วตรงไปยังหลังบ้านที่ครอบครัวบ้านรองอาศัยอยู่
บทที่ 5 เริ่มวางแผนจัดการอนาคตทันทีที่ได้ยินเฉินโม่หรานถามแบบนั้น ทั้งสามคนรีบส่ายหน้าพร้อมกัน“พ่อจะกลัวลูกสาวของตัวเองทำไม ตอนนี้พ่อคิดว่าต้องหาทางแยกบ้านให้ได้ เกิดวันใดที่บ้านใหญ่รู้ลูกจะไม่ปลอดภัย” เฉินคังพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร นั่นเพราะยังหาเหตุผลที่จะแยกบ้านไม่ได้“พี่เองก็ไม่กลัวน้องหรอก เราเป็นพี่น้องกันจะกลัวทำไม พี่กังวลเรื่องเดียว คือเราจะหาวิธีไหนที่จะแยกบ้าน ดูแล้วย่าคงไม่ยอมง่าย ๆ”“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อและพี่ชายของลูก เรื่องหวาดกลัวเพราะลูกมีของวิเศษ พวกเราไม่กลัวกรอก แต่พวกเรากังวลเรื่องเดียวเท่านั้น” กุ้ยเจินที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้างตอนนี้ความกังวลของทั้งสามคนไปในมทิศทางเดียวกันคือ ทำอย่างไรถึงจะแยกบ้านได้พอเฉินโม่หรานได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงยิ้มให้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแยกบ้านเชื่อฉันเถอะว่าเราต้องทำได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทุนสำรองของบ้านกันก่อน เพราะถ้าหากแยกบ้านแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเงินก่อสร้างบ้าน ฉันอยากจะซื้อบ้านในเมืองให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่ามันยากเกินความสามารถของพวกเรา”เรื่องซื้อบ้านเท่าที่รู้จากความทรงจ
บทที่ 4 เขาคือพรานป่าคนนั้นตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิมหญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมาหลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิงจ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัวหญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซ
บทที่ 3 พบเจอพระนางในนิยายเรื่องนี้เฉินโม่หรานกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมองว่าปู่ที่ตายไปแล้วต้องการให้พ่อของเธอรับใช้บ้านใหญ่จนวันตายถึงได้พูดฝากฝังแบบนั้นแต่ไม่เป็นไร วันที่บ้านใหญ่มายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอแต่งงานกับญาติผู้พี่ เธอต้องแลกข้อเสนอนี้ออกไป ทว่าก่อนถึงวันนั้นจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เสียก่อน‘แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ฉันไม่ได้มีมิติส่วนตัวเหมือนคนอื่นที่ทะลุมิติมานี่นา’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และน้อยใจตัวเองที่ไม่มีนิ้วทองคำเหมือนคนอื่นเขา“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะพ่อ การที่ปู่พูดแบบนั้นคงต้องการให้บ้านรองของพวกเรารับใช้บ้านใหญ่ไปจนวันตาย ดูพี่ใหญ่สิตอนนี้อายุเหมาะแก่การแต่งงานแล้ว ยังไม่มีสะใภ้เข้าบ้านเลย”“ที่น้องพูดมาก็มีเหตุผลนะพ่อ” เฉินหลงเปียวเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องพูด ปู่คงไม่อยากให้บ้านรองแยกบ้านเพราะกลัวบ้านใหญ่จะไม่มีคนทำงานให้มากกว่าจากนั้นก็หันมาพูดกับน้องสาวอย่างยิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องแต่งงานพี่ยังไม่คิด และคงไม่มีหญิงสาวที่ไหนอยากแต่งเข้ามาหรอกนะ แค่สภาพความเป็นอยู่บ้านเราก็ไม่เอื้ออำนวยแล้ว”เขาไม่เสียใจกับโชคชะตา แต่เสียใจที่ไม่สามารถพาครอบครัวและทุกคนที่รักหลุดพ้นออ
บทที่ 2 เฉินโม่หรานเปลี่ยนไปปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนที่อยู่ด้านในได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินมาเปิดประตู‘ทะลุมิติมาวันแรก เจองานหนักเสียแล้ว แต่ถ้าทำตัวหงอคงถูกใช้งานและถูกรังแกไม่จบไม่สิ้นแน่’ “มีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” หญิงสาวถามออกมา พร้อมกับกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง “นี่ขนกันมาหมดเลยหรือ”“กล้าดีอย่างไรถึงได้ตวาดใส่ป้าสะใภ้ของหล่อน” ย่าเฉินยืนเท้าสะเอวแล้วถามเสียงดัง“แล้วยังไงคะ ทำไมย่าไม่ถามป้าสะใภ้ล่ะว่าเคาะเรียกหรือทุบประตูเรียก”“ก็หล่อนไม่ยอมลุกมาทำงาน หุงหาอาหารนี่ ฉันเลยต้องทุบประตู” ฟางอี้เหนียงโต้เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน“ทุกคนลืมไปหรือเปล่าว่า เมื่อวานฉันโดนย่าตีอย่างไร้เหตุผล ทำให้ฉันเกือบตาย เอ๊ะ! หรือว่าฉันตายไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ฉันเจ็บหนักขนาดนั้นทำไมคนบ้านใหญ่ไม่คิดสงสารกันบ้าง งานบ้านก็ไม่หนักหนาอะไร ทำไมป้าสะใภ้กับพี่เม่ยเม่ยไม่ทำเองล่ะ” เฉินโม่หรานกอดอกแล้วยืนพิงประตู“หล่อนเจ็บหนักที่ไหน คนเจ็บหนักจะมายืนเถียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้ล่ะ ฉันเป็นย่า ใหญ่สุดในบ้านนี้ ฉันสั่งให้หล่อนไ
บทที่ 1 ทะลุมิติเข้ามาในนิยายหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’ เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย
Comments