พชรและแสงศรในกายทิพย์เดินออกมาจากรูปปั้นในเทวาลัยที่ตอนนี้มีหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งคุกเข่าขอพรบทเดิมๆมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ด้วยอธิฐานเรื่องอาการป่วยของลูกสาวทั้งน้ำตาปานจะขาดใจโดยมีเพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้อนั่งปลอบเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ
“เจ้าปู่ช่วยลูกหลานด้วย อย่าให้ลูกสาวของลูกเป็นอะไรไปเลย…ลูกนับถือศรัทธาเจ้าปู่ โปรดช่วยลูกหลานด้วย ฮึกๆ” พลางหลับตาสวดขอพรสะอื้นไห้ ก่อนจะปักธูปรอบที่สามลงกระถางหน้ารูปปั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นพญานาคราชด้วยสายวิงวอน หญิงวัยกลางคนปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเตรียมจะกลับไปดูแลลูกสาวที่ป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุของตน
พชรและแสงศรในร่างโปร่งใสตามหญิงวัยกลางคนคนนั้นไป ก่อนที่เพื่อนบ้านจะหันไปพูดกับหญิงวัยกลางคนนั้นด้วยท่าทีที่เป็นห่วง
“แม่จัน ฉันจะไปเอา
แต่หางของพญานาคสีทับทิมกลับไม่ยอมละปล่อยร่างของนรินทร์เลยซ้ำยังลากร่างนั้นไถลตามไปด้วย ฉกกัดพญานาคองค์สีขาวนั้นย้ำๆซ้ำๆจนเขาแทบจะหมดแรง…ก่อนที่เศียรทั้งห้าจะคาบลำกายพญานาคสีขาวที่สิ้นฤทธิ์ขึ้นมาไม่ปล่อย องค์เพชรแก้วเห็นดังนั้นก็ขบกรามกำหมัดแน่น วิ่งเข้าไปทันที…หากช้ากว่านี้เขาได้เสียสหายคู่กายไปเป็นแน่ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นพญานาคองค์ใหญ่แทบจะคับฟ้า เศียรทั้งเจ็ดแผ่พังพานออกมา เกล็ดกายแก้วระยิบระยิบเป็นเกราะ หงอนสีทองอร่าม เลื้อยพุ่งเข้าไปชนเศียรของพญานาคสีทับทิมที่คาบลำกายพญานาคสีขาวหนึ่งเศียรเอาไว้จนละปล่อย ก่อนจะคำรามขู่กู่ก้องดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่พื้นทน้ำในท้องนที ปฐพี พงไพรสั่นสะเทือน จนพญานาคสีทับทิมเลื้อยกายร่นถอยเล็กน้อย…เจ้าพี่……หากเจ้ายังมิยอมละร่างนรินทร์…ข้าจักมิปล่อยไว้…หากข้าจักต้องกลับกลายเป็นเดรัจฉาน ขอเพียงนางยังคงอยู่ ข้าก็จักทำ!...เสียงเข้มซ้อนคำรามกล่าวขึ้นอย่างน่าเกรงขาม พลางดวงตาสีท้องทะเลฉ
เมื่อนรินทร์เดินตามหาเพื่อนๆในแต่ละห้องใกล้ๆ กลับปรากฏว่าเห็นเพียงเสื้อผ้าที่ใส่แล้วกองไว้แต่ละกอง ไม่เห็นคนอยู่เลยเธอคิดว่าเพื่อนๆของเธอคงออกไปที่บ้านพักเก่าที่ไฟไหม้ไปแล้วแน่ๆ อุปกรณ์การทำงานทุกอย่างอยู่ที่บ้านนั้น โชคร้ายหน่อยคือมันไหม้ไปหมดแล้วและนรินทร์คิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เธอจึงเลือกที่จะเดินออกจากคฤหาสน์ของพชรไป เธอไม่เห็นใครนอกจากผู้หญิงคนนั้นที่นั่งเฝ้าเธอในห้อง นรินทร์เงยหน้ามองท้องฟ้าก็พอจะรู้ได้ว่ามันน่าจะช่วงบ่ายคล้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเธอเลยตั้งใจจะตรงไปที่ยังบ้านพักนั้นก่อน แต่ทว่าเมื่อเดินลัดเลาะไปท้องฟ้าที่สว่างเมื่อครู่เริ่มมืดครึ้มทั่วหมู่บ้าน นรินทร์มองไปรอบๆก็ไม่เห็นแม้แต่ชาวบ้าน ความจริงแล้วคีภัทราไม่ได้คาดหวังกับปอบตาดำเสียเท่าไหร่ ดูจากการหลบซ่อนตัวของยายปอบแล้วก็รู้ว่ายายปอบนั้นขี้ขลาดเพียงใด แต่การที่ให้ยายปอบนั้นเข้ามาในหมู่บ้านก็เพื่อสร้
พชรและแสงศรในกายทิพย์เดินออกมาจากรูปปั้นในเทวาลัยที่ตอนนี้มีหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งคุกเข่าขอพรบทเดิมๆมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ด้วยอธิฐานเรื่องอาการป่วยของลูกสาวทั้งน้ำตาปานจะขาดใจโดยมีเพื่อนบ้านที่สนิทชิดเชื้อนั่งปลอบเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ “เจ้าปู่ช่วยลูกหลานด้วย อย่าให้ลูกสาวของลูกเป็นอะไรไปเลย…ลูกนับถือศรัทธาเจ้าปู่ โปรดช่วยลูกหลานด้วย ฮึกๆ” พลางหลับตาสวดขอพรสะอื้นไห้ ก่อนจะปักธูปรอบที่สามลงกระถางหน้ารูปปั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นพญานาคราชด้วยสายวิงวอน หญิงวัยกลางคนปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเตรียมจะกลับไปดูแลลูกสาวที่ป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุของตน พชรและแสงศรในร่างโปร่งใสตามหญิงวัยกลางคนคนนั้นไป ก่อนที่เพื่อนบ้านจะหันไปพูดกับหญิงวัยกลางคนนั้นด้วยท่าทีที่เป็นห่วง “แม่จัน ฉันจะไปเอา
คีภัทราเดินเข้ามาในถ้ำยังตนที่จำศีลภาวนาอยู่เป็นประจำด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด แม้จะนั่งบำเพ็ญเพียรมานานเป็นพันๆปีแต่ก็ไม่สามารถชะล้างขัดเกลาจิตใจของนางได้เลย ที่นางเฝ้าบำเพ็ญนั้นก็เพียงเพื่อให้มีบารมีสูงส่งกว่านรินธราด้วยจิตใจที่ริษยา และหวังจะครองคู่กับพญาเพชรแก้วในฐานะมเหสีเอกที่สมกับเป็นคู่บุญคู่บารมี หาได้คิดถึงชะตาลิขิตของฟ้าไม่“มันกลับมาได้อย่างไร!! ไยมันจึ่งได้มีบารมีเทียบเทียมในกาลก่อน!!” คีภัทราเอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บใจหลังจากที่เห็นดวงจิตของนรินธราที่ออกมาช่วยกายหยาบของนางเองด้วยพลังบารมีที่สั่งสมมาจนคีภัทราสัมผัสได้“ข้าเฝ้าขัดขวางมันทุกภพทุกชาติ มันจักกลับมาสมบูรณ์ได้อย่างไร!! เจ็บใจนัก!!” ยิ่งคิดยิ่งตอกย้ำถึงหนทางที่จะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจนั้นยากขึ้น ถึงไม่มีเจ้าพี่หรือบริวารอารักขานางก็ช่วยตัวเองได้เมื่อยามคับขันอยู่ดี ดวงตาสีแดงฉานเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว มือเล็กกำหมัดแน่นจนสั่นสะท้านในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทอยากให้ศัตรูหัวใจแตกดับสลายไปต่อหน้าต่อตาของนาง“ในเมื่อมิมีผู้ใดทำกระไรมันได้ ข้าก็จักจัดการมันเองเสีย!!&rdqu
“อุ๊ย!!” เมื่อพนิตาเห็นว่าภากรณ์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งที่เธอพูด จึงทำทีเผลอเอามือไปปัดแก้วน้ำจนหกรดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางของตัวเอง ภากรณ์เห็นอย่างนั้นก็ตกใจรีบหันไปหยิบกระดาษทิชชูยื่นให้ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นเต้าสวยที่ปิดแค่แผ่นแปะจุก ภากรณ์นิ่งค้างมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะรีบสะบัดหน้าเรียกสติของตัวเองพลางยื่นทิชชุให้พนิตา“ขอโทษค่ะ นิตาซุ่มซ่ามเอง”“ครับ...” ภากรณ์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาไม่รักดีก็พลอยชำเลืองมองเต้าตึงสวยเด่นนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ พนิตาทำท่าเช็ดหน้าอกตัวเองแล้วยกยิ้มขึ้นก่อนจะเลื่อนมือไปปลดกระดุมออกเพื่อเช็ดน้ำที่หกเลอะด้านใน“เปียกหมดเลย…” พนิตาพูดเสียงอ่อยก้มมองตัวเองที่เปียกโชกไปหมดจนเห็นถึงไหนต่อไหน“เอ่อ...ผมมีชุดสำรองอยู่หลังรถเดี๋ยวผมไปเอามาให้ แบบนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่” ภากรณ์พูดพร้อมตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่พนิตาเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเอาไว้ก่อน“นิตาไปด้วยดีกว่าค่ะ นั่งอยู่แบบนี้มัน…” พ
พชรเดินนำเข้าบ้านไปทิ้งให้พนิตายืนกำหมัดมองตามหลังด้วยความรู้สึกสับสนปนเสียหน้าที่เขาปฏิเสธเธอ แต่ก็คิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเข้าหาเขาเร็วไป พนิตาจึงเดินตามพชรเข้าบ้านไปโดยทำตัวเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พชรเดินนำขึ้นมายังชั้นสองของคฤหาสน์เพราะในใจของเขาตอนนี้เป็นห่วงนรินทร์มาก แต่ที่ยอมอยู่กับพนิตาก็เพื่อหาว่าเหตุของเพลิงไหม้ว่ามันมาจากฝีมือมนุษย์หรืออมนุษย์ที่ไหน ถึงได้ยอมข่มใจข่มความเป็นห่วงนั้นเก็บไว้ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องที่เปิดประตูไว้และมองเข้าไปด้านในที่ภากรณ์กำลังนั่งกุมมือนรินทร์ไม่ห่างเขาก็ได้แต่ขบกรามแน่น พนิตาเองก็มองเห็นภาพนั้นไม่ต่างจากพชรเลย คนอื่นๆที่นั่งอยู่ก็ดูท่าทางอ่อนเพลียบางคนก็เผลอหลับไปไม่ได้อยู่ในห้องที่แสงศรจัดเตรียมไว้ให้ กลับมารวมกันอยู่ที่ห้องของนรินทร์ครบทุกคน นิลนนท์ที่นั่งง่วงซึมอยู่เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาเยือนก่อนจะรีบลุก