เมื่อจิตพญานาคีกลับมาจุติใหม่ที่โลกมนุษย์ในยุคปัจจุบันหลังจากที่สลายหายไปเพราะถูกกระทำในอดีต...เขาผู้เป็นกษัตริย์นาคาเฝ้ารอคอยการกลับมาของนางผู้เป็นที่รัก...แต่ทว่า..นางนั้นเปลี่ยนไปจนเขาต้องกุมขมับ!
View Moreหาดทรายละเอียดสีขาว... รอบข้างเต็มไปด้วยหมอกควัน...ตรงหน้ามีเพียงทะเลน้ำสีฟ้าใสไล่สีครามลงกว้างใหญ่ไพศาลสุดตา...สถานที่แห่งนี้เหมือนไม่มีจริงในโลก...
"เอ๊ะ?"
หญิงสาวร่างอรชรอุทานขึ้นถ้าเป็นสมัยที่เธอดูคงจะถูกเรียกว่าสาวอวบอึ๋ม มองเห็นชายหนุ่มท่อนบนเปลือยเปล่าไร้เครื่องประดับประดาในตัวยกเว้นเข็มขัดทองที่รั้งผ้านุ่งโสร่งสีขาวเดินขึ้นมาจากผืนน้ำ ทำให้เห็นมัดกล้ามกำยำชัดเจน รูปร่างชายชาตรีสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
ผิวพรรณผ่องใส เรียบเนียน มีแสงระยิบระยับตามร่างกายนั้น ผมของเขายาวประบ่าแต่ถูกรวบมัดมวยไว้เพียงครึ่ง พอเผยให้เห็นกรอบหน้าชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ปลายรั้งเชิด ปลายจมูกโค้งมนเป็นหยดน้ำ ปากเรียวได้รูปรับกับใบหน้า ทำให้ดูหน้าหวานปานหยาดน้ำผึ้ง คิ้วเข้มตรงสวย แต่ไม่หนาจนเกินพอดีรับกรอบหน้าทำให้ดูสมเป็นชายขึ้นมาเสียหน่อย กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปลือกตาสองชั้น มองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเศร้า
ไม่ว่ายุคสมัยไหนถ้าได้เห็นชายผู้นี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่หลงรักเป็นแน่ แต่น่าแปลกที่เขาเหมือนไม่มีอยู่ในโลกที่เธอรู้จัก เพราะไม่มีใครจะหล่อเหลาปานเทพบุตรเช่นเขาแน่ ไม่ทันที่เธอจะได้เอะใจอะไรชายหนุ่มคนดังกล่าวได้เดินขึ้นมาจูงมือเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะพาเดินลงไปในน้ำ เพียงชั่วพริบตาร่างของเธอก็อยู่ใต้น้ำเสียแล้ว
....ฉ... ฉันหายใจไม่ออก...
หญิงสาวได้แต่คิดในใจตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ใต้น้ำพร้อมกับกลั้นหายใจตามสัญชาตญาณของมนุษย์จนรู้สึกอึดอัดด้วยความไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มข้างๆหันมายิ้มให้เธอบางๆโดยไม่เปิดปากพูดสักคำแต่กลับได้ยินเสียงทุ้มอ่อนนุ่มรื่นหูและดูน่าเชื่อน่าไว้ใจของเขา
...หายใจเถิด...น้องหายใจในนี้ได้...นรินธรา...
ด้วยความใกล้จะหมดลมหายใจและความเชื่อใจชายหนุ่มข้างๆ อย่างน่าแปลกประหลาดทำให้เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แต่กลับไม่สำลักน้ำ มันน่าอัศจรรย์ที่เธอยังคงหายใจได้ปกติ หญิงสาวหันหน้าไปมองคนข้างๆ ที่จับมือเธอไว้ไม่ปล่อยแล้วยิ้มให้เขาเป็นเชิงขอบคุณ หญิงสาวหันไปมองรอบๆตัวที่มีฟองอากาศเต็มผืนน้ำข้างใต้ที่ร่างของเธอลอยอยู่คู่กับชายหนุ่มผู้นั้น
แม้จะพยายามมองรอบๆ ตัวเท่าไหร่กลับมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีฟ้าคราม ชายหนุ่มข้างๆ จับมือเธอแล้วแหวกว่ายดำดิ่งลงไปลึกสุด ในสติของสมองนึกกลัว..แต่ใจกลับรู้สึกว่าเชื่อใจคนข้างกาย ว่าเขาไม่พาเธอไปเจออันตรายแน่นอน ....
ระหว่างที่กำลังแหวกว่ายก็หยอกเย้ากันเหมือนคู่รัก ชายหญิงต่างหันมายิ้มให้กันขณะแหวกว่ายคล้ายคุ้นเคยกับที่แห่งนี้...ไม่นานนักหญิงสาวต้องตกตะลึงเมื่อทั้งซ้ายและขวามีบางอย่างเคลื่อนตัวลงไปพร้อมกับพวกเขา แต่ใบหน้าชายหนุ่มกลับไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด...เกล็ดสีขาวเหมือนเพชร...ลำตัวยาวและใหญ่...ตรงป้องพระนาภีกลับมีสร้อยสังวาลทองคาดอยู่...
ทั้งสองสิ่งมีชีวิตเลื้อยนำดิ่งลงไปจนลับตา... หญิงสาวหันกลับมามองชายหนุ่มที่จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้วอย่างรักใคร่เอ็นดู พร้อมกับพาเธอดำดิ่งลงไปตามสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าจนสุดทาง...
ในที่สุดเธอก็ได้มาหยุดใต้มหาสมุทรและเท้าของเธอแตะลงพื้นทรายสีขาวประดุจแก้ว ด้านหน้าช่างเลือนรางพยายามเพ่งสายตามองเท่าไหร่ก็มองเห็นไม่ชัดถนัดนัก เนื่องด้วยหมอกควันโดยรอบที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ภาพเลือนรางที่คล้ายปราสาทราชวังศิลปะโบราณที่เธอเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่ายุคไหน แต่คล้ายกับศิลปะสมัยสุโขทัยและเป็นสีขาวทั้งหลังระยิบระยับเหมือนเพชร ก่อนที่เธอจะได้ตะลึงงันไปมากกว่านั้น
ก็เห็นชายหนุ่มผิวขาวกำยำรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับทองเกล้ามวยผมขึ้นสูง พวกเขาแบกหีบสมบัติสามหีบเดินออกมา แม้ใบหน้ายิ้มบางๆ แต่กลับไม่มีใครพูดหรือเอื้อนเอ่ยคำใดมาสักคำ ก่อนจะเดินผ่านเธอไปพร้อมกับยกหีบไว้บนหัว ....ไม่นานชายทั้งสองก็หายไปกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เธอเห็นก่อนหน้า...เลื้อยทะยานขึ้นไปสู่ผิวน้ำ
"นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย..."
ชายหนุ่มผู้นำพาเธอมายังคงอยู่ข้างกายและมองเธอพร้อมรอยยิ้มแต่ใบหน้ากลับดูเศร้านัก เขาจับมือเธอก่อนจะเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ พาเธอแหวกว่ายตามสิ่งมีชีวิตสองสิ่งนั้นกลับขึ้นไปดังเดิม ....
หีบสมบัติสามหีบวางอยู่ตรงหน้าของเธอหลังจากทะยานขึ้นมายังจุดเริ่มต้นที่พบเจอเขา ชายหนุ่มเหล้ามวยผมทั้งสองเมื่อวางหีบให้เธอก็หันหลังกลับลงไปเช่นเดิม เหลือไว้เพียงแต่ชายที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดการเดินทางที่แสนจะลึกลับนั้น ยืนจ้องมองเธอด้วยใบหน้าเศร้าจนใจของหญิงสาวรู้สึกเจ็บปวด ทั้งสายตาและความรู้สึกของเขาที่ส่งมาถึงเธอโดยไม่พูดเอ่ยคำใด ทำให้เธอทรุดตัวลงร้องไห้อย่างหนักบนผืนทรายแห่งนั้น
เขาไม่ได้หันหลังให้เธอแม้แต่วินาทีเดียว...แต่ตัวเขากลับห่างออกไปเรื่อยๆ จนเลือนราง...
.
.
กายหยาบที่แปลงกายมาเดินโซซัดโซเซมายังบ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้าน เนื้อกายบางส่วนลอกขึ้นเกล็ดกับงู เกล็ดสีขาวใสราวกับเพชรระยิบระยับไปเกือบครึ่งใบหน้าหล่อนั้น ความทรมานเพราะฤทธิ์อาถรรพ์คำสาปทำเอาเขาแทบหมดแรง “นายท่าน!” “แสงศร…” พูดไปพร้อมกับหอบหายใจรวยริน ก่อนที่งูเห่าเผือกสีขาวสหายมือซ้ายจะรีบเข้ามารับพยุงกายหยาบของผู้เป็นนาย ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้องมองเจ้านายอย่างนึกห่วง“ข้าว่าท่านควรจักออกจากกายหยาบนี้เสียก่อนขอรับ” แสงศรเอ่ยขึ้น“มิเป็นไร พาข้าเข้าไปบำเพ็ญภาวนาด้วยกายนี้เถิด”เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วแสงศรสหายคู่ใจก็รีบพาเจ้านายเข้าบ้านหลังใหญ่ไปโดยไม่โต้แย้ง การที่ผู้เป็นนายยอมทนเจ็บขนาดนี้เพราะนางในดวงใจกลับมาเกิดแล้วและยังได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากที่พยายามมาหลายพบห
ราวกับต้องมนต์เมื่อเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เธอยังคงจ้องมองเขานิ่งค้างในอ้อมแขนแกร่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหนความรู้สึกคิดถึงอ้อมกอดเกิดขึ้นมาในใจ จนเธอต้องพยายามตั้งสติและดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา นรินทร์ไม่กล้าที่จะมองใบหน้าหล่อคมนั้นตรงๆ“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ”เธอเอ่ยขึ้นมาแก้เขิน ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตัวปราสาทไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม …ในที่สุดเขาก็ปรากฏกายมาเจอเธอได้เสียที ตามคำสาปที่เขาได้สาปตัวเองด้วยความรู้สึกผิดครั้งในอดีตหลายพันปีที่ผ่านมาเอาไว้ว่า …หากตัวข้าหานางในดวงใจมิเจอ นางมิก้าวเท้าลงเหยียบเมืองข้าแล้วไซร้…ก็หาออกจากกายทิพย์สังขารนี้ได้ไม่……จักเกิดก็มิได้ จักตายก็มิได้ ทรมานจากความคำนึงถึงห่วงหาอาวรณ์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์… “รู้จักหนุ่
“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง“โห…ประโยคคลาสสิค
แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม“ไม่”“หือ? อะไรนะครับ”“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?”เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ“โห่…หัว…”ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยว
“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมั
นรินทร์สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับหายใจหอบ ภาพฝันที่วูบเข้าหาตัวเธอนั้นยังคงจำได้ติดตา มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน นรินทร์เสยผมตรงสวยของตนก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงเพื่อดูเวลาพร้อมกับถอนหายใจ “ตีสาม...อีกแล้วเหรอ”หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพาร่างของตนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัวเพื่อหาน้ำเปล่ามาดื่มเรียกสติให้ตัวเองตื่นเสียหน่อย มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เธอฝันอะไรแบบนี้ การตื่นกลางดึกทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อนมันทำให้ร่างกายเธอของอ่อนเพลียไม่น้อย แต่ครั้นจะให้นอนก็เห็นทีจะนอนไม่หลับไปเสียแล้วร่างโปร่งมองหญิงสาวอันเป็นที่รักอย่างห่วงใย ภายในใจสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคีภัทราถึงได้แทรกแซงฝันของนรินทร์ได้ เขาจึงทำได้เพียงปลุกเธอให้ตื่นด้วยมนตร์เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่นรินทร์ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเสียทุกครั้ง“คีภัทรานี่ใครกัน...ฝันถึงหลายรอบแล้วนะ...นางเจ้าองค์ไหนอีก...”นรินทร์พึมพำกับตนเองพร้อมกับนึ
นรินทร์กลับมาถึงคอนโดหลังจากการทำงานที่หนักหน่วงเธอหัวเสียอย่างที่สุด เสียพลังงานต่อล้อต่อเถียงกับบก.แต่มันก็ไม่เป็นผล ดันหลงกลสองพ่อลูกนั่นจนได้ที่ตั้งใจจะไปแย้งเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรูก็ดันไปตกหลุมพรางของอดีตผัวเก่าอย่างภากรณ์ซะได้ หรือเธอเองคงจะเคยชินกับการถูกเขาหลอกเสียล่ะมั้งผลเลยออกมาเป็นแบบนี้แต่คนอย่างนรินทร์ต้องไม่แพ้! เธอไม่มีวันให้เขาดูถูกเธอได้ยิ่งสถานะของเธอและเขาตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วมาดูกันหน่อยเป็นไงว่าคนอย่างนรินทร์น่ะเหรอกลัวความลำบาก คิดแล้วเธอก็เริ่มเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่ทีมของเธอต้องไปทำสกู๊ปนรินทร์นั่งหน้าจมอยู่กับหน้าจอคอมเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ที่เธอต้องไป จากคนที่ทำแต่งานไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ก็ต้องมานั่งหาข้อมูลกันเสียหน่อย“บูรบุรี เมืองอะไรกันล่ะเนี่ยไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย” ความรู้สึกแปลกประหลาดวังเวงคลืบคลานเข้ามาจนทำให้ขนลุก ห้องก็ห้องตัวเองอยู่มาก็นานแต่ทำไมเหมือนกับว่ามีคนอื่นที่นอกเหนือจากตนเองอยู่ด้วยกันนะ นรินทร์หันหน้าไปไปมอ
“ทีม Local ไปกันเถอะ ไม่อยากคุยกับ...หมา มันเห่าแล้วหนวกหู”นรินทร์พูดพร้อมหันไปเน้นย้ำคำหลังอย่างหนักแน่นและมองตรงไปยังภากรณ์อย่างตั้งใจ คนในทีมหัวเราะคิกคักชอบใจกับความดื้อร้ายไม่ยอมใครของนรินทร์ ก่อนเทวินจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าพูดกับภากรณ์ที่ขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดของนรินทร์“เฮ้อ...นี่สินะตัวอย่างสุภาษิตไทยที่ว่า...หมาหวงก้าง”ภากรณ์ได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองขวางเทวินที่ยืนยิ้มตาปริบๆ หน้าระรื่นใส่เขา ภากรณ์แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับกอดอกเหมือนผู้ชนะ“อย่าได้ใจไปเลย ยังไงนรินทร์ก็ไม่มีทางเลิกรักฉันได้หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่กับฉันมาถึงเจ็ดปี ป่านนี้คงนึกเสียใจอยู่ข้างใน แค่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น”“ครับ ผมจะรักษาแผลใจนั้นอย่างดีเลย ขอบคุณ...คุณภากรณ์ที่ช่วยเปิดทางให้”เทวินพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะสลดใจกับคำพูดของภากรณ์เลยแม้แต่น้อย การที่ผู้หญิงกำลังอ่อนแอแล้วมีใครสักคนเข้าไปดูแลอย่างจริงใจย่อมโอนเอนไปทางคนผู้นั้น ภากรณ์เข้าใจความหมายคำพูดของเทวินเป็นอย่างดี สีหน้าที่ยิ้มเยาะเทวินในตอนแรกกลับบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับจ
หลังจากที่สะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้งเช้านี้ก็เป็นอีกครั้งที่นรินทร์สะดุ้งตื่นจากความฝันที่เสมือนจริง เหตุการณ์เลือนรางไปบางช่วงตอนตื่น และก็ต้องหยุดชะงักกลางคันมันเสียตลอด แต่สำหรับเช้าวันใหม่นี้กลับสะดุ้งถึงสองครั้งสองหน แถมยังฝันเรื่องเดิมและมันดันเป็นเรื่องที่ปะติดปะต่อกันเหมือนได้เห็นเหตุการณ์ในโลกนิทานอย่างไรอย่างนั้นร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยความเมื่อยล้าร่าง แต่ในหัวกลับมีเรื่องที่ฝันเมื่อสักครู่วนเวียนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อและคิดว่าอย่างไรมันก็แค่ความฝัน หญิงสาวเดินเข้าไปอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย มันแตกต่างจากทุกวันก็ตรงที่เธออยู่คนเดียวแล้วนับตั้งแต่เมื่อวานนี้ร่างโปร่งแสงมองเธอว้าวุ่นไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้เธออาจจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของเขาก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ได้หวนกลับมาพบเจอดวงจิตของผู้เป็นที่รักยิ่งที่เขาเฝ้ารอและตามหามานานนับพันปี เขาได้เฝ้าตามคอยดูแลเธอมาตลอดเท่าอายุของเธอในปัจจุบัน...ประเดี๋ยวเราก็จักได้พานพบกันแล้ว นรินธรา...เส
Comments