“ค่ะ...หนูชื่อปิ่นงาม..ส่วนนี่พี่คำปันจะ”
“สวัสดีครับ”
หลังจากที่ปิ่นงามแนะนำตัวคำปันชายหนุ่มก็รีบยกมือสวัสดี
“คำปันเองเหรอลูกทิดปลั่งใช่ไหม”
ดอกแก้วจำได้ดีว่าเคยเจอคำปันเมื่อยังเล็กๆตอนไปเยี่ยมแสนคำที่ทางเหนือครั้งพวกตนยังไม่มีลูกมีเต้า
“ครับแม่เลี้ยง”
“ตอนนั้นที่เห็นกันยังเล็กๆอยู่เลยนะจำไม่ได้ล่ะสิ..ไปๆขึ้นเรือนพักผ่อนกันก่อน”
หลังจากทักทายกันเสร็จเจ้าบ้านก็ชวนแขกขึ้นเรือนเอาของไปเก็บแล้วจะได้พักผ่อนหลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆวันนี้เลยได้แค่ทักทายไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะนี่ก็มืดค่ำแล้ว
“นึกว่าพ่อเลี้ยงจะมาพร้อมหนูปิ่นเสียอีก..ดันมาป่วยเอาเสียได้”
สองสามีภรรยามาคุยกันที่ห้องหลังจากจัดแจงที่พักให้ปิ่นงามและคำปันเรียบร้อยแล้วทั้งสองแอบเสียดายที่คิดว่าแสนคำจะมาพร้อมกับหลานสาวแต่กลับมารู้ว่าป่วยกะทันหันจากปากปิ่นงาม
“นั่นสิ..จะว่าไปหนูปิ่นกิริยาท่าทางเหมือนตองนวลไม่มีผิดเลย”
พ่อเลี้ยงอินอดนึกถึงเพื่อนตนในวันวานที่อยู่ที่ไร่แสนคำไม่ได้ยิ่งเห็นปิ่นงามก็ยิ่งนึกถึงตองนวล
“ก็คงจะเหมือนคนเลี้ยงนั่นแหละ”
ดอกแก้วเองก็คิดเช่นเดียวกับสามีเธอรู้มาว่าตองนวลมีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับหลานของแสนคำและตองนวลก็เป็นคนเลี้ยงทั้งสองมาพร้อมกันเพราะพ่อแม่ของหลานสาวแสนคำเสียตั้งแต่ลูกพึ่งคลอดด้วยอุบัติเหตุตองนวลจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ไปโดยปริยาย
“จริงสิ...เราไม่เคยเห็นลูกตองนวลเลยนะพ่อคงจะโตพอกับหนูปิ่น”
จะว่าไปหลังจากที่ตองนวลแต่งงานมีลูกพวกเธอก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนอีกเลยเพราะตอนนั้นลูกก็ยังเล็กแถมไร่ก็ยังยุ่งวุ่นวาย
“อืม..เรายุ่งอยู่กับไร่คงต้องไปเยี่ยมกันบ้างแล้วล่ะ”
พ่อเลี้ยงอินเห็นทีหลังงานแต่งคีรีกับปิ่นงามต้องหาเวลาว่างไปที่เหนือบ้างแล้วเพราะงานที่ไร่ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่คีรีควบคุมดูแลเกือบทั้งหมดไม่มีอะไรน่าห่วงมากนัก
เช้าวันต่อมา
ปิ่นงามทำตัวเป็นแขกที่ดีถึงคติว่าอยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดายเธอตื่นมาพร้อมกับนภาลงมาช่วยกันทำกับข้าวตั้งแต่เช้ามืด
พอตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าเธอก็เตรียมห่อข้าวเหนียวหมูทอดเอาไว้ให้คำปันสามห่อใหญ่เพื่อที่จะให้ชายหนุ่มเอาไว้กินกลางทางเวลาหิวขณะขับรถกลับ
“ข้าวเหนียวหมูทอดเอาไปกินระหว่างทางนะพี่คำปัน”
“ขอบใจนะปิ่นเอ็งก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะไม่ต้องเป็นห่วงน้านวลฉันจะดูแลให้”
คำปันให้คำมั่นกับปิ่นงามเพราะรู้ว่าเธอห่วงแม่ขนาดไหน
“ขอบใจจะ”
“เดินทางปลอดภัยนะคำปัน”
พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงของไร่เห็นคำปันยืนร่ำลากับปิ่นงามอยู่ก็เดินเข้ามาอวยพรให้คำปันนั้นเดินทางปลอดภัย
“ครับผมลาล่ะครับ”
คำปันยกมือไหว้ลาทั้งสองก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปปิ่นงามยืนมองรถที่แล่นออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาตอนนี้เธอก็ต้องเผชิญเรื่องราวต่อไปด้วยตัวคนเดียวแล้วแม้นจะรู้ว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ผิดแต่เธอก็จำเป็นต้องทำ
“พี่ปิ่นทำเองทั้งหมดเลยน้ะจ๊ะแม่”
เมื่อได้เวลาจัดสำรับอาหารเช้านภาก็เอ่ยปากอวดว่ากับข้าวทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของปิ่นงามทั้งหมดเธอเจอว่าที่พี่สะใภ้เธอวันแรกก็ถูกชะตาเสียแล้วด้วยเพราะรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งปิ่นงามกิริยามารยาทก็เรียบร้อยน่ารักกว่าเธอเยอะเลย
“หนูปิ่นมีฝีมือเหมือนกันนะ”
ดอกแก้วเห็นอาหารเรียงรายเธอก็ยิ้มกริ่มที่ลูกสะใภ้เธอเป็นแม่บ้านแม่เรือนแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงแล้วคราแรกคิดว่าคุณหนูอย่างหลานสาวพ่อเลี้ยงแสนคำจะทำงานบ้านงานครัวไม่เป็นเสียอีก
“ไหนลองชิมฝีมือว่าที่ลูกสะใภ้ซะหน่อยซิ...อืม”
พ่อเลี้ยงอินทร์เห็นอาหารก็รีบตักชิมถ้วยแรกเป็นต้มจืดฟักใส่ไก่หน้าตามันก็ดูปกติทั่วไปแต่รสชาติเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยหอมหวานกลมกล่อมกำลังดีแถมไก่ที่ใช้แม้นจะเป็นไก่บ้านแต่ก็เปื่อยยุ่ยเคียวง่ายนับว่าปิ่นงามเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดการทำอาหารได้อย่างดีเลยทีเดียว
“อืม...กลมกล่อมกำลังดีเลย...เป็นไงพ่อ..”
ดอกแก้วที่กำลังตักน้ำต้มจืดชิมเหมือนกันอยากจะรู้ว่าสามีเธอคิดเห็นแบบไหนแต่สำหรับเธอถือว่าอร่อยมากเลยทีเดียว
“อร่อยน่ะสิ...เอ..แต่ว่ารสชาติแบบนี้นี้คุ้นๆนะ”
พ่อเลี้ยงอินทำสีหน้าครุ่นคิดว่ารสชาติแบบนี้เขานั้นเคยกินที่ไหนมาก่อน
“อืม...นั่นสิพ่อ...อ่อ..ตองนวลเคยทำให้เรากินไงพ่อ”
ดอกแก้วร้องอ๋อขึ้นมากะทันหันรสชาติแบบนี้เห็นตองนวลเคยทำให้กินเมื่อครั้งอยู่ที่เหนือมิน่าล่ะคิดว่ามันทำไมคุ้นเคยกับรสชาติแบบนี้พอสมควร
“เออ..ใช่”
“แล้วตอนนี้ตองนวลเป็นยังไงบ้างล่ะหนูปิ่นยังทำงานอยู่ที่บ้านพ่อเลี้ยงแสนคำหรือเปล่า”
ดอกแก้วเห็นทีก็ถามเรื่องตองนวลกับปิ่นงามเอาเสียเลยเพราะไม่ไดติดต่อกันนานไม่รู้ว่าตอนนี้ตองนวลเป็นอย่างไรบ้าง
“เอ่อ..น้าตองนวลสบายดีค่ะ...อาหารที่ปิ่นทำเป็นก็เพราะน้าตองนวลสอนทั้งหมด”
“อาหารฝีมือตองนวลทำพ่อกับแม่อ้วนท้วนกันมาแล้วดีใจที่ได้กินอาหารรสชาตินี้อีกครั้ง”
“ถ้าพ่อกับแม่ชอบปิ่นจะทำให้บ่อยๆเลยค่ะ”
ปิ่นงามนั่งอมยิ้มอ่อนที่ทั้งสองยังจำรสชาติอาหารที่แม่เธอทำได้แต่ก็แอบหน่วงใจเล็กน้อยที่ต้องเรียกแม่เธอว่าน้า
“น้ำค่ะคุณหมอ...ปิ่นถือรอไว้แล้ว”ปิ่นงามกลั้นหัวเราะเล็กน้อยทั้งรีบยื่นแก้วน้ำให้หมอหนุ่มได้ดื่ม“คุณปิ่นไม่บอกผมล่ะครับว่ามันเผ็ด”หน้าหมอหนุ่มตอนนี้แดงเป็นลูกตำลึงจนคนในวงกินข้าวต่างก็มองกันด้วยความตกใจเว้นคีรีที่มองแต่ปิ่นงามด้วยสายตาที่น้อยอกน้อยใจที่เห็นหญิงสาวดูใส่ใจชาวีมากกว่าตัวเองในตอนนี้“อีกแก้วค่ะ..คุณหมอกินเผ็ดไม่ได้เหรอคะ”นภารีบยื่นน้ำอีกแก้วให้ชาวีเพราะเห็นว่าในมือของเขากำลังจะหมด“ค่ะ..เผ็ดนิดหน่อยก็หน้าแดงทันทีเลยล่ะ”“อ่อ...ภาไม่รู้ว่าคุณหมอกินเผ็ดไม่ได้โทษทีค่ะ”นับว่าเป็นที่ตกอกตกใจกันไปกับสีหน้าของชาวีแต่ดีที่หายเผ็ดได้หน้าของเขาจึงหายแดงนภาตอนนี้จึงไม่กล้าตักอะไรให้หมอหนุ่มอีกจนสิ้นสุดมื้อเย็นวันนี้หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้วคีรีก็พาลูกกับเมียกลับเรือนเล็กส่วนหมอหนุ่มก็พักอยู่ที่เรื่อนใหญ่“เดี๋ยวพ่ออาบน้ำให้นะครับอคิณ”พอคีรีพาทั้งสองมาถึงบ้านเขาก็รีบที่จะทำหน้าที่สามีโดยการจะช่วยภรรยาอาบน้ำให้ลูกชายแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำหน้าที่อาบน้ำให้ลูกในวันนี้เสียแล้วเพราะอคิณเดินหนีเขาหน้าตาเฉยขณะที่จะถอดเสื้อผ้าให้“ให้แม่อาบให้ครับ”อคิณแม้จะคุ้นเคยกั
“พี่ขอเวลาอีกนิดแล้วจะกลับไปกราบขอโทษพวกท่าน”“พ่อกับแม่คงดีใจนะจ๊ะที่รู้ว่ามีหลานแล้ว”หลังจากที่สองสาวคุยกันจนนภาเห็นว่าปิ่นงามเข้าใจทุกอย่างดีแล้วเธอก็อยู่เล่นทำความรู้จักกับอคิณพักใหญ่และอยู่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับทุกคนแล้วจึงกลับมาบอกข่าวดีกับคีรีว่าปิ่นงามนั้นเข้าใจทุกอย่างดีเพียงแค่ตอนนี้ขอเวลาทำใจที่จะเจอกับคีรีอีกสักหน่อยเท่านั้น“แล้วพี่ต้องรอจนถึงเมื่อไรล่ะภา”คีรีคิดว่านภากลับมาเขาจะได้เจอกับปิ่นงามเลยเสียอีกกลับต้องรอเวลาจึงหัวเสียไม่น้อย“ให้เวลาพี่ปิ่นหน่อยสิพี่คี...ตอนนั้นพี่ก็ทำพี่ปิ่นเสียใจมากแถมพี่กับพี่ปิ่นก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้ว”“เฮ้อ..”23.00 น.คีรีรู้ที่อยู่ของปิ่นงามจากที่คุยกับนภาเมื่อช่วงเย็นและตอนนี้เขาก็จอดรถอยู่ที่หน้าบ้านที่ภรรยารักของเขาแล้วชายหนุ่มทนไม่ไหวที่จะรอให้ปิ่นงามพร้อมที่จะคุยกับเขาเพราะไม่รู้ว่าจะนานอีกเท่าไรถึงจะได้เจอหน้ากันเสียที“ฉันคิดถึงเธอแทบบ้า..ใครจะทนรอไหว”คีรีปีนรั้วเดินดุ่มๆพร้อมไฟฉายหนึ่งกระบอกมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านแกร๊กกกเขาเดินมาข้างบ้านก่อนจะเริ่มงัดหน้าต่างจนเข้ามาด้านในได้คืนนี้ค่อนข้างเงียบเชียบแม้แต่เสียงลมก็ยังไม
“พี่อยากเจอปิ่นใจจะขาดแล้วภา”“ภารู้...แต่ขอให้ใจเย็นๆเกิดพี่ปิ่นหนีไปอีกจะทำยังไง”นภาคิดถูกแล้วที่เธอไม่รีบบอกคีรีเรื่องที่เจอปิ่นงามตั้งแต่ในห้างไม่อย่างนั้นคงจะกระโตกกระตากจนปิ่นงามอาจจะเตลิดหนีไปอีกแน่ตอนนี้เธอให้พี่ชายเธอรออย่างใจเย็นและจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเองในช่วงเย็นของวันต่อมานภาคะยั้นคะยอให้คีรีรออย่างใจเย็นที่โรงแรมกว่าจะบังคับพี่ชายเธอให้เชื่อฟังได้ก็เหนื่อยที่จะพูดพอสมควรหลังจากที่จัดการกับคีรีได้เธอก็เดินทางมาที่คลินิคของหมาวีในช่วงเย็นเพื่อที่จะคุยอะไรบางอย่างกับหมอชาวีเสียก่อน“คุณนภาอาการที่มีแค่ปวดหัวไม่ได้รุนแรง..”ชาวีดูประวัติคนไข้รายสุดท้ายของวันที่พยาบาลผู้ช่วยยื่นประวัติให้ก่อนที่จะพาคนไข้เข้ามาเขาก็แอบสงสัยพอสมควรเรพาะปกติแล้วคนไข้ที่ปวดหัวส่วนมากแค่หายากินเองนอนพักแล้วก็น่าจะหายไม่ต้องมาหาหมอ“สวัสดีค่ะคุณหมอ”“อ้าวคุณนั่นเองเชิญนั่งก่อนครับ..ปวดหัวอีกแล้วเหรอครับ”ชาวีเงยหน้ามางมองคนไข้หลังจากที่เธอเอ่ยทักทายเขาก็จำด้ทันทีว่าเป็นหญิงสาวที่เขาเจอในห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน“เอ่อ...พอดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหมอน่ะค่ะ”นภาไม่พูดอะไรมากความเธอมาถึงก็ขอคุยกั
สองวันต่อมาคีรีและนภามาที่กรุงเทพตั้งแต่เมื่อวานพอถึงวันนี้พวกเขาก็เข้ามาดูโรงงานแปรรูปที่ชานเมืองกรุงเทพมหานครกันตังแต่เช้าเพื่อที่จะตัดสินใจว่าจะให้บริษัทของผจญไปสร้างโรงงานให้หรือไม่“รูปแบบเครื่องจักรทั้งหมดของที่นี่จะถูกสร้างที่ไร่คีรีรักษ์แบบเดียวกันทั้งหมดครับ...นี่สัญญาเอาไปอ่านรายละเอียดก่อนนะครับ”ผจญนักธุรกิจวัยหลางคนเข้ามาให้การต้อนรับคีรีและนภาด้วยตัวเองหลังจากดูโรงงานกันมาพักใหญ่แล้วผจญก็ยื่นสัญญาปึกใหญ่ให้กับนภาเอาไว้ศึกษาก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการบริษัทของเขาสร้างโรงงานให้“ขอบคุณค่ะคุณผจญ...แล้วจะได้รูปแบบนี้แน่นอนใช่หรือเปล่าคะ...คือภาต้องถามให้แน่ใจค่ะเพราะเราจะได้จำกัดจำนวนการแบ่งขายให้เจ้าอื่นถูก”“แน่นอนครับ...หากไม่ใช่ทางคุณภาสามารถทำเรื่องฟ้องได้เลยครับ”“ได้ยินแบบนี้ภาก็มั่นใจค่ะ”ตอนนี้แม้นจะเดินด้วยกันสามคนแต่คนที่คุยกันมีเพียงแค่นภาและผจญเท่านั้นไม่จนผจญนั้นแอบคิดว่าคีรีไม่พอใจตรงไหนหรือเปล่า“คุณคีรีติดอะไรตรงไหนหรือเปล่าถามผมได้นะครับ”“อ๋อ..ไม่เลยครับทุกอย่างตามนภาหมดเลยครับ”“ครับ”นภาถึงกับยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่ว่าพาพี่เธอมาด้วยยากแล้วให้พี่เธอช่วยกันออ
ช่วงเย็นของวัน..ที่วัดในหมู่บ้านค่อนข้างวุ่นวายเพราะมีคนไปเจอศพของศักดิ์นอนขึ้นอืดอยู่ในป่าตอนนี้ทั้งสรวงและสมศรีเสียใจมากไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำกับศักดิ์สิทธิ์ได้โหดร้ายเช่นนี้“พี่ศักดิ์ใครทำพี่แบบนี้”สรวงนั่งกอดกัยกับคนเป็นแม่ร้องห่มร้องให้ระงมขณะที่คนอื่นๆที่มาช่วยจัดงานศพในศาลาวัดก็หดหู่ไม่แพ้กัน“กูเอง...ฮ่าๆๆ...กูนี่แหละที่ฆ่ามัน...มันเสือกอยากจะบอกกับคนอื่นเองว่ามันเป็นผัวกู”จู่ๆผกาก็เดินหัวฟูเข้ามาในศาลาอย่างคนที่สติไม่สมประดีเธอเปล่าประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอเป็นคนฆ่าศักสิทธิ์เอง“ผกา..เอ็งทำแบบนี้ทำไมห้ะ”สรวงโกรธมากที่ผกานั้นทำพี่ชายตนจนถึงตายและหมายจะเข้าไปทำร้ายหญิงสาวสักฉาดโดยที่ไม่สนใครจะว่าเขาทำร้ายผู้หญิงแต่ดีที่คนในศาลารีบห้ามเอ่าไว้ก่อน“ฮ่าๆๆๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆๆ..”ผกาหัวเราะลั่นทั่วศาลาจนคนในศาลายืนมองหญิงสาวเป็นตาเดียวด้วยต่างก็คิดว่าหญิงสาวสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว“ผกาเอ็งเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”เทิดศักดิ์มองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจที่เธอไม่คิดสลดบ้างหรืออย่างไรฆ่าคนตายทั้งคนยังจะมาหัวเราะหน้าระรื่นอยู่อีก“น่าจะบ้าจริงๆนั่นแหละของคงกลับเข้าตัวแล้วสิ”นภาตะโกนให้ทุ
เพล้งงงงเสียงแตกของจานกระเบื้องทำให้หมอหนุ่มที่พึ่งเดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนที่นี่หลายวันต้องรีบวิ่งเข้ามาในครัวว่ามีอะไรเกิดขึ้น“คุณปิ่นเป็นอะไรครับ”พอเห็นปิ่นงามนั่งฟุบกองอยู่ที่พื้นเขาก็รีบพยุงเธอออกมาจากในครัวมานั่งที่โซฟาในห้องโถงของบ้าน“จู่ๆก็หน้ามืดค่ะ”“อืม.. ผมขอดูอาการหน่อยนะครับ”ชาวีรีบตรวจชีพจรหญิงสาวก่อนจะซักถามความเป็นอยู่ทั่วไปเรื่องอาหารการกินการนอนตรงเวลาหรือไม่พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติและเส้นชีพจรที่เขาจับได้ดูท่าว่าตอนนี้ปิ่นงามน่าจะตั้งครรภ์“คุณปิ่นกำลังตั้งครรภ์นะครับ”“อะไรนะคะ?”ปิ่นงามตัวชาวาบเพราะไม่คิดว่าจะมีพันธะอะไรกับคีรีแล้ว“สามีคุณล่ะครับ”“ปิ่นขอไม่พูดถึงนะคะ...แล้วถ้าคุณหมอจะไล่ปิ่นออกปิ่นก็ไม่ว่าค่ะ”ปิ่นงามรู้ดีว่าไม่มีใครอยากรับคนท้องทำงาน“ไม่หรอกครับ...คุณอยู่ที่นี่ดีแล้วเป็นอะไรผมจะได้ดูแลสะดวก...งานอะไรที่คุณทำไม่ไหวก็ไม่ต้องทำ”“ขอบคุณคุณหมอมากเลยนะคะที่ดีกับปิ่นเหลือเกิน”“ไม่เป็นไรเลยครับถือว่าผมช่วยเพื่อนคนนึงแถมอีกหน่อยก็จะมีหลานตัวเล็กๆมาวิ่งเล่นทำให้บ้านนี้มีชีวิตชีวาอีกด้วย”หมอหนุ่มรู้สึกเห็นใจหญิงสาวมากกว่าเดิมเพ