Share

บทที่ 3 ก่อนฉันเกิด

บทที่ 3

ก่อนฉันเกิด

ม ั

นอบอุ่น เงียบสงบ และมืดมิด ที่ที่ฉันอยู่คือในครรภ์ของแม่ตอนที่ฉันรอจะลืมตามาดูโลก อยู่ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึก ปลอดภัย และรับรู้ได้ถึง ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จากแม่ของฉัน โพธิ ก็อยู่กับฉันด้วยเช่นกัน เขากำลังบอกฉันว่า เขาจะอยู่กับฉันไปตลอดการเดินทางทั้งชีวิตของฉัน โพธิ นั้นวิเศษมาก ฉันรู้สึกปลอดภัยเพราะเขาช่วยให้ฉันเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากฉันเกิด ภายในท้องแม่ฉันรู้สึกได้ถึงแต่ความอิ่มเอม มีความสุข เต็มไปด้วยความรัก และความรู้สึกอีกมากมายที่ทำให้ฉันอบอุ่นใจ ฉันตื่นเต้นที่จะได้เห็นโลกกว้าง แต่ก็ต้องรอจนกว่าฉันจะโตพอ ระหว่างที่ฉันรอจะได้ออกมาดูโลกนั้น โพธิจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเองให้ฉันทราบ และบอกฉันว่าเขาจะช่วยเหลือฉันอย่างไรในตลอดชีวิตของฉัน นี่คือเรื่องที่ โพธิ เล่าให้ฉันฟังในขณะที่ฉันอดทนรอที่จะได้ลืมตามาดูโลก

โพธิคือ "ดวงจิต" ของฉัน และถ้าหากจะให้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย จะเหมือนกับว่าเขามีชีวิตอยู่ "ภายในใจของฉัน"  นั่นเอง ดวงจิต มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้คน สัตว์ พืช หรือแม้แต่ดวงดาวและจักรวาล ดวงจิตเหล่านี้ล้วนเป็นนิรันดร์ และไม่เพียงแค่จะอยู่กับฉันในขณะที่รอจะเกิดมาเท่านั้น แต่จะอยู่กับฉันไปตลอดทั้งในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ฉันตายไปแล้วด้วย

โพธิ และ ดวงจิต ดวงอื่นๆทั้งหมดเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อไม่ว่าจะเป็น “ พระเจ้า แก่นแท้ จิตวิญญาณ ดวงวิญญาณ หรือจิตที่ตื่นรู้ ” ซึ่งนี่เป็นเพียงห้าคำเท่านั้นในชื่อเรียกอื่นๆอีกมากมาย เพื่อไม่ให้ฉันสับสน เขาบอกฉันว่ามันไม่สำคัญว่าฉันจะเรียกเขาว่าอะไร เพราะเขาอยู่จะกับฉันเพื่อนำทางในขณะที่ฉันใช้ชีวิต โพธิอยู่ในใจฉัน และเป็นตัวแทนของ "ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข"  ซึ่งเป็นความรักที่มอบให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวและไม่หวังสิ่งตอบแทน  เขาบอกให้ฉัน มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีความหมาย  ซึ่งฉันจะต้องแบ่งปันความรักนี้ให้กับทุกคนและทุกสิ่งที่มีชีวิตด้วยเช่นกัน เป้าหมายของชีวิต หรือเหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่คือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยมีดวงจิตอยู่ด้วย และแบ่งปันความรักของเราให้กันโดยไม่เห็นแก่ตัว การทำเช่นนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ “ ความหมายของชีวิต ” ที่แท้จริง ด้วยการแบ่งปันความรู้และ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จากดวงจิตของเรา โดยการเห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ และห่วงใยเท่านั้น จะทำให้ " ทุกคน " ประสบความสำเร็จในชีวิต ยิ่งเราช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากเท่าไร ชีวิตเราก็จะยิ่งสมบูรณ์ มีความหมาย และประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันอยู่คนเดียวเพราะ โพธิ จะอยู่กับฉันเสมอ ฉันยังเข้าใจด้วยว่าฉันจะใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นด้วยดวงจิตเช่นกัน และเราจะเผยแพร่ความสุข สันติ ความเห็นอกเห็นใจ และความรักไปทั่วโลกร่วมกัน

ช่างเป็นชีวิตที่วิเศษมากตอนอยู่ในท้องของแม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่งแต่โ พธิก็ได้สอนฉัน หลายอย่าง เขาสอนฉันว่าเราเกิดมาเพื่อ “เรียนรู้ที่จะได้สัมผัสชีวิต” เราควรเรียนรู้ถึงความสำคัญของ ทุก ชีวิต การทำงานร่วมกัน ความเห็นอกเห็นใจ ความรัก การเอาใจใส่ ความไม่เห็นแก่ตัว และอื่นๆอีกมากมาย เขาอธิบายว่าด้วยการยอมรับคำแนะนำของเขา รวมถึงแบ่งปันความรู้ และความรักนี้ให้กับ ทุกคน เท่านั้น เราจึงจะสามารถตอบคำถามที่เรามีเกี่ยวกับชีวิตได้ และเมื่อเรารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของคนอื่นๆ เราก็จะแข็งแกร่งขึ้น และช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปตลอดชีวิต เป้าหมายของเราคือการเป็น "หนึ่ง" เดียวกับดวงจิต หรือ "จิตที่ตื่นรู้" ของเรา และแบ่งปันความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและความเชื่อที่เสียสละที่เรามีให้กับผู้อื่นทั้งหมด โพธิ บอกฉันว่าเราทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน ไม่มีชีวิตใดดีกว่าหรือสำคัญไปกว่าชีวิตอื่น ไม่ว่าเราจะหน้าตา  ความเชื่อ เพศ หรืออะไรก็ตามเป็นอย่างไร ทุกชีวิตมีค่า เพราะล้วนแล้วแต่มี ดวงจิต อยู่ภายในตัวพวกเขาและในทุกสิ่งที่มีชีวิตเช่นกัน ด้วยการเดินตามเส้นทางของจิตวิญญาณตลอดชีวิต เราจะได้สัมผัสกับชีวิต “ ตามที่ควรจะเป็น ”

โพธิ ยังบอกฉันด้วยว่าฉันจะถูกท้าทายให้จำสิ่งนี้หลังจากที่ฉันเกิด เพราะ หลังจาก ฉันเกิดแล้ว ผู้นำทางอีกคนหนึ่งคือ “ อนัตตา ” “ อัตตาหรือตัวตน ” ของฉัน ก็จะร่วมเดินทางไปกับฉันด้วยเช่นกัน อนัตตา ไม่เหมือนกับ โพธิผู้เป็นนิรันดร์ อนัตตาจะมีอยู่เฉพาะในขณะที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น โพธิ อธิบายว่า อนัตตา เป็นตัวแทนของทุกสิ่งที่ฉันจะได้ เรียนรู้ ในโลกนี้ตลอดชีวิตหลังจากที่ฉันเกิด แม้ไม่รู้ว่าควรจะคาดหวังอะไร แต่ก็ตื่นเต้นที่จะได้เจอกับ อนัตตา  เพราะอยากเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด

ยิ่ง โพธิ สอนฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเข้าใจทุกอย่างมากขึ้นเท่านั้น ชีวิตช่างดูเรียบง่ายมาก ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือเผยแพร่ความเสียสละของ โพธิและความรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้กับผู้อื่น หลังจากที่ฉันเกิดมา ถ้าฉันต้องการคำแนะนำหรือรู้สึกสับสน ฉันแค่ถามคำถาม และ โพธิ จะช่วยฉันค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง

ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันอยู่คนเดียว เพราะไม่เพียงแค่โพธิเท่านั้นที่ อยู่กับฉัน แต่ยังมีดวงจิตที่อยู่ในตัวของคนอื่นๆที่จะช่วยฉันด้วยเช่นกัน โพธิ พยายามให้ฉันเตรียมพร้อมกับการใช้ชีวิตหลังจากที่ออกจากครรภ์มารดาอย่างปลอดภัยและสบายใจ แต่ดูเหมือนไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะทุกอย่างลงตัวแล้ว ฉันมีคำตอบให้กับทุกคำถามเกี่ยวกับชีวิตที่เราอยากรู้หลังจากที่เราเกิดมาแล้ว มันยากที่จะเข้าใจว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อจะได้เจอกับโพธิหลังจากที่ฉันเกิด ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือ “หลับตา สงบจิตใจ และฟังเสียงจากภายในใจของฉัน”  ตามสัญชาตญาณ ฉันรู้ว่ายิ่งฉันแบ่งปันชีวิตกับผู้อื่นมากเท่าไร ชีวิตของฉันก็จะยิ่งง่ายขึ้นและเติมเต็มมากขึ้นเท่านั้น โพธิ บอกฉันด้วยว่าเราทุกคนจะแข็งแกร่งขึ้น

เมื่อฉันได้เรียนรู้บทเรียน ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เกิดมา และแทบรอไม่ไหวที่จะได้แบ่งปันและสัมผัสชีวิต อย่างไรก็ตามฉันก็รู้ด้วยว่าความท้าทายมากมายรอฉันอยู่ แม้ชีวิตจะดูไม่ยากเท่ากับตอนที่รอลืมตามาดูโลก แต่ฉันก็ไม่เข้าใจในความสับสนและความโกลาหลที่รอฉันอยู่หลังจากออกมาจากการปลอบโยนและความปลอดภัยในท้องของแม่

โพธิ สอนฉันมากมายในเก้าเดือนระหว่างที่รอคลอด ในบรรดาหลายสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้คือเหตุผลที่เราต้องเกิดมา นั่นคือ “ ความหมายของชีวิต ” เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตทางจิตวิญญาณร่วมกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว ในขณะที่เราถูกท้าทายทุกวันด้วยชีวิตที่ฟุ้งซ่านมากมายที่จะคอยมาให้เ

โพธิคือ "ดวงจิต" ของฉัน ที่เป็นตัวแทนของความรักและความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเราแต่ละคน  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฉันเกิดมา ฉันพบว่าเสียงของเขาหายไปและห่างไกลออกไปทุกที เมื่อฉันเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในโลกนี้ แม้ว่าในที่สุดฉันจะจำทุกสิ่งที่เขาสอนฉันก่อนเกิดได้ แต่ฉันกลับพบว่าการจำสิ่งเหล่านี้ภายหลังจากลืมตาดูโลกนั้นช่างยากเหลือเกิน เนื่องจาก อิทธิพลของอนัตตา ที่เป็น อัตตา ตัวตนของฉันเอง

ดังนั้น หลังจากที่เราเกิดมา เป้าหมายของเราคือไม่เพียงแค่จดจำทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแบ่งปันความรู้และความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวที่เรามีให้กับผู้อื่นอีกด้วย ความเข้าใจและความรักที่ไม่มีเงื่อนไขโดยธรรมชาตินี้มีอยู่ในทุกชีวิต มันคือ " จิตที่ตื่นรู้ " ของเรา ด้วยการเข้าใจและยอมรับสิ่งนี้ เราสามารถเป็น " หนึ่ง " เดียวกับ จิตที่ตื่นรู้ ของเรา และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้

บทเรียนเบื้องต้นที่ โพธิ สอนฉันคือความสำคัญขอ งการแบ่งปันความรักที่ ให้อย่างอิสระโดยไม่คาดหวัง ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทุกชีวิตเข้าด้วยกัน  แม้ว่ามักจะดูเหมือนเราอยู่คนเดียวหลังจากที่เราเกิดมา แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เราทุกคนล้วนมี " ความผูกพันทางดวงจิต " ต่อกัน นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ รวมทั้งสัตว์ พืช และทุกชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นในจักรวาลด้วย ตามที่ฉันค้นพบ ชีวิตไม่ได้มีอยู่เฉพาะในโลกของเรา แต่มีอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อีกหลายล้านล้านดวงที่มีอยู่ในจักรวาลเช่นกัน แต่ฉันจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง

หลังจากที่เราคลอดออกมาและเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในโลก เป็นเรื่องปกติที่จะลืมสิ่งที่เราได้เคยเรียนรู้ในขณะที่กำลังรอลืมตาดูโลก เหตุผลที่เราเกิดมาหรือสิ่งที่แสดงถึงจิตที่ตื่นรู้ของเรา คือการกลับมาของความรู้นี้ไม่มีข้อจำกัดของชีวิตใดที่ทำให้เราไขว้เขว ดวงจิตของเรา สอนให้เราเสียสละ รัก ห่วงใย และเห็นอกเห็นใจทุกคน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างที่เราอาจจะมี มันทำให้เรารู้ว่าชีวิต “ ทั้งหมด ” มีความสำคัญ ไม่มีชีวิตใดที่สำคัญไปกว่าอีกชีวิตหนึ่ง และด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น ที่จะทำให้การต่อสู้ที่เราอาจมีหลังจากที่เราเกิดมาลดลงได้

ขณะที่ฉันรอที่จะเกิดมา ฉันได้เรียนรู้เหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่ มันคือการจำสิ่งที่เราเคยรู้ว่ามันเป็นความจริงเมื่อเราอยู่ในครรภ์มารดา และยอมรับความจริงนั้นหลังจากที่เราเผชิญกับสิ่งรบกวนมากมายตลอดชีวิตของเรา จิตที่ตื่นรู้ ของเราเป็นเพียงการหวนคืนสู่เส้นทางแห่งดวงจิต เมื่อเราทำเช่นนี้ได้ ความสงบภายในและความรักที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ในครรภ์มารดาจะกลับมาและแทรกซึมทุกเส้นใยและเซลล์ในร่างกายของเรา เป็นการหวนคืนสู่ตัวตนทางวิญญาณของเรา ซึ่งถูกลืมไปนานแล้วหลังจากที่เราเกิด เพราะมาเราเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในโลกนี้แทน

โพธิ ยังพยายามเตรียมพร้อมให้กับฉันเพื่อให้ฉันรู้ว่าชีวิตหลังจากฉันเกิดจะเป็นอย่างไร เขาได้เล่าถึง อนัตตา และหลายสิ่งหลายอย่างที่จะทำให้ฉันไม่สามารถจำสิ่งที่เขาสอนได้ เขายังบอกฉันเกี่ยวกับสองเส้นทางในชีวิตที่ฉันอาจต้องเดินอีกด้วย เส้นทางหนึ่งจะนำไปสู่ความสงบภายในและความรัก ส่วนอีกเส้นทางหนึ่จะนำไปสู่ความสับสนและความกลัว

ในขณะที่ฉันนอนอยู่ตรงนี้ ในวันสุดท้ายของชีวิต  ตอนนี้ฉันจำทุกสิ่งที่ครั้งหนึ่งโพธิได้เคยบอกกับฉันไว้ ช่างเป็นเรื่องน่าขันยิ่งนั้น ที่ฉันจำสิ่งที่เขาบอกไม่ได้เลยตั้งแต่วันแรกที่หายใจจนถึงบัดนี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆอีกหลายคน ฉันแค่ "ก้าวเข้าสู่ขั้นตอน" ของการทำในสิ่งที่ฉันควรทำ และเข้าสังคมเพื่อเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง ทำให้ฉันต้องพบเจอกับความยากลำบากและความหดหู่ใจที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ตลอดชีวิต และทำให้ฉันตระหนักรู้ในวันนี้ว่าชีวิตของฉันล้มเหลว และอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ ฉันลืมบทเรียนทั้งหมดที่ครั้งหนึ่ง โพธิ เคยสอนมาจนถึงวันนี้ วันที่ฉันจะต้องตาย

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่ต่างจากคนอื่นๆส่วนใหญ่เลยแม้แต่น้อย การขาด ความเข้าใจทางจิตวิญญาณ เพื่อค้นหาเหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่นี้เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ หลายคนไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ บางคนก็ยุ่งเกินไป สับสน หรือดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจนไม่มีเวลาจดจำ ต้นกำเนิดทางจิตวิญญาณ ของตนเอง สำหรับพวกเราที่เดินตามเส้นทางนี้ ชีวิตจะต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเราอาจจะโชคดีพอเหมือนกับฉัน ที่มั่งคั่งและไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ขาดหายไป เว้นแต่เราจะเข้าใจ ยอมรับ และมีส่วนร่วมกับส่วนจิตวิญญาณในชีวิตของเราอีกครั้ง มิเช่นนั้นแล้วองค์ประกอบที่หายไปนั้นจะหลอกหลอนเราไปตลอดชีวิต

แม้ว่าฉันจะเกิดมาจากพ่อแม่ที่ร่ำรวย จนกลายเป็นเศรษฐี และมีชื่อเสียงในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไปเมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ฉันจะต้องตาย ในที่สุดฉันก็เข้าใจสิ่งนี้ ทั้งชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ ความเหงา และไม่มีความสุข ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไม เพราะฉันมีชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว ฉันใช้ชีวิตอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ โดยทำตามและเชื่อในสิ่งที่ฉันเรียนรู้หลังจากฉันเกิด มากกว่าที่จะทำทุกอย่างตามที่เคยได้เรียนรู้มาขณะรออยู่ในครรภ์ของแม่

เพื่อค้นพบความหมายในชีวิตของเรา สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาและยอมรับ ด้านจิตวิญญาณ ของเราและอย่ากลัวที่จะ "กระโดดเข้าไปด้วยศรัทธา" การเชื่อมั่นเกี่ยวกับ จิตวิญญาณ ค่อนข้างแตกต่างจากการนับถือศาสนา ซึ่งการเป็นฝ่าย จิตวิญญาณ นี้คือการเป็นหนึ่งเดียวกับ “ ดวงจิต ” และ “จิตตื่นรู้” ของเรา โดยยอมรับและดำเนินตามวิถีของ ดวงจิต ตลอดทั้งชีวิต อย่างไรก็ดี ศาสนาจะมักมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจผิดของ อนัตตา และสิ่งที่เราเรียนรู้ในโลกตอนเราเติบโตขึ้นมากกว่า

แม้ว่าในตอนแรก ศาสนาอาจมีเจตนารมณ์ที่ดี แต่การปฏิบัติตามอุดมการณ์ของศาสนานั้นแทบจะไม่ได้นำไปสู่การ “ ปลุกให้จิตตื่นรู้ ” แต่อย่างใด แต่มักจะนำไปสู่ความสับสน โดยให้เราเดินตามเส้นทางแห่งการ เรียนรู้ที่ ผิดตลอดทั้งชีวิตเสียมากกว่า อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้นั้น ทำให้เรายิ่งไกลห่างจากการตื่นรู้มากขึ้น คำสอนของศาสนาที่เกี่ยวกับ ความรักนั้น มักจะ " มีเงื่อนไข " โดยอิงจากการได้รับสิ่งตอบแทน ทั้งที่ควรจะเน้นไปที่ความรักแบบ ไม่มีเงื่อนไข เสียมากกว่า ถึงแม้จะมีความพยายามในขั้นต้นที่จะส่งเสริมการแบ่งปันความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อนัตตา ก็ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการตีความทางศาสนากับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างยิ่ง ซึ่งก็รวมไปถึงอารมณ์เชิงบวกอื่นๆอีก มากมายที่ศาสนาสนับสนุนเช่นกัน และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงคุณค่าที่ศาสนามีในชีวิตของพวกเขา อย่างไรก็ดี จิตวิญญาณ จะคอยส่งเสริม ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข โดยไม่ได้คาดหวังสิ่งใดๆเป็นการตอบแทน

โพธิพยายามเตรียมความพร้อมให้กับฉันในเรื่องเหล่านี้  และฉันก็คิดว่าฉันเข้าใจสิ่งที่เขาสอนฉันเช่นกัน ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง เราจะไม่เคยเตรียมตัวหรือเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเราเกิดมาก็ตาม ความเป็นจริงของการพยายามเรียนรู้และเอาตัวรอดในโลกนี้ทำให้ฉันไม่เพียงแต่ลืมสิ่งที่ฉันเคยรู้มาตั้งแต่ตอนแรกว่าเป็นความจริงเท่านั้น แต่กลับยังต้องใช้ชีวิตที่ไม่น่าพึงพอใจไปอย่างไร้ความหมายอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับชีวิตก็คือ เราสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางที่ชีวิตเรากำลังดำเนินอยู่ได้ ทั้งหมดที่เราต้องการคือความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นและรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเป็นอย่างไร เพียงแค่ยอมรับเส้นทางแห่งจิตวิญญาณในชีวิต ชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที  สิ่งปกคลุมและ ม่านที่ ปิดตาและร่างกายของเราไว้อยู่นั้นสามารถเปิดออกได้ โดยการเผยให้เห็นเส้นทางสู่ความสงบภายใน ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และความเข้าใจ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรอจนถึง วันสุดท้ายของชีวิต เพื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ในที่สุดเหมือนอย่างที่ฉันเป็นก็ได้ คุณสามารถทำได้เร็วกว่านี้มาก เพียงแต่คุณจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษเท่านั้น ฉันรับรองกับคุณว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะคุ้มค่า หากฉันรู้ว่าต้องทำเช่นนี้ก่อนที่จะมาถึงในวันนี้นั้น ฉันยินดีที่จะเสียสละอะไรก็ตาม เพื่อให้ได้ความสงบภายในและความรักที่ฉันรู้สึกได้ในตอนนี้ ฉันค้นหาความรู้สึกนี้ทุกวันในชีวิต แต่ก็ไม่เคยพบเลย ทว่าตอนนี้นั้นฉันรู้แล้วมันเป็นไปได้ที่จะได้ค้นพบมันได้เร็วขึ้นกว่าที่ฉันทำ

ปริซึม

เมื่อเราเกิดมาตอนแรกนั้น “ก่อน” ที่เราจะเข้าสังคมและ “ถูกสอน” ให้เชื่ออะไรก็ตาม

แสงที่หักเหผ่าน "ปริซึมแห่งชีวิต" นั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์

แสงสีขาวนี้เกิดขึ้นมาจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไข "โดยเนื้อแท้"

ที่มีอยู่ "ภายใน" ของแต่ละชีวิต

แต่ในขณะที่เรา "เรียนรู้" ว่าเรา "ควร" ปฏิบัติและ "ดูแล" กันและกันอย่างไรนั้น

แสงสีขาวของปริซึมจะกระจายออกเป็นสีสันต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน

ยิ่งเรา “ยอมรับ” สิ่งที่เรา “เรียนรู้” และ “ถูกสอน”

โดยสังคมว่าเราควรประพฤติและปฏิบัติต่อผู้มืดมนคนอื่นๆอย่างไร

สีสะท้อนแสงของรุ้งจะยิ่งไหลผ่านปริซึมมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งแสงสว่างจากปริซึมมืดเท่าไร ชีวิตก็ยิ่งท้าทายมากขึ้นเท่านั้น

ปัญหาส่วนใหญ่และความเจ็บป่วยมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก

ทั้งในปัจจุบันและตลอดประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อคนส่วนใหญ่เห็น

แสงที่มืดมิดปรากฏขึ้นผ่านปริซึมแห่งชีวิต

เมื่อเรา “ตื่น” ให้เริ่มตั้งคำถามว่าเรามีอะไรบ้าง

ที่ถูก “สอน” และให้ “เชื่อ” ว่าเป็นความจริง (อัตตา)

สีที่เราเห็นจากการสะท้อนผ่านปริซึมจะเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ตราบเท่าที่เราเริ่มปฏิเสธสิ่งที่เราได้เคยเชื่อไปในอดีต

แสงสีที่สังเกตได้จากอีกด้านหนึ่งของปริซึมสว่างมากขึ้นเท่าใด

ชีวิตของเราก็จะยิ่งสงบสุข เป็นที่รัก และมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น

และด้วยการเปลี่ยนสีนี้

ในที่สุด ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับ “ความหมายของชีวิต” ก็อาจเป็นจริงได้

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status