Share

บทที่ 8 ชีวิตในวัย 60 ของฉัน

บทที่ 8

ชีวิตในวัย 60 ของฉัน

มื่อฉันถ่ายทำภาพยนตร์ไปทั่วโลก ทุกสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้เมื่อโตขึ้นนั้นก็ได้รับการยืนยันอีกครั้ง มันไม่สำคัญเลยว่าฉันจะทำงานในประเทศหรือทวีปใด ปัญหามากมายที่เผ่าพันธุ์ของเราได้ก่อให้เกิดแก่กันและกัน กับชีวิตอื่นๆ และต่อสิ่งแวดล้อมนั้นปรากฏชัดทุกที่

ในแอฟริกา ฉันได้เห็นความหิวโหยแบบสุดขีด ซี่โครงของเด็กน้อยเกือบจะโผล่ออกมาจากผิวหนัง เด็กเหล่านี้หลายคนจบลงด้วยความตาย ผอมแห้งและอ่อนแอจากความอดอยาก พวกเขาแทบจะไม่กระพริบตาหรือลืมตาขึ้นมาเลยก่อนที่ชีวิตจะจบลง ฉันยังเห็นคนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสียชีวิตจากโรคที่รักษาได้ เช่น เอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย

สงครามก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในเกือบทุกทวีปที่ฉันไปเยือน กลุ่มกบฏจะขับรถไปตามหมู่บ้านต่างๆตามอำเภอใจ และฆ่าทุกคนเพราะความโลภหรือเพียงเพราะพวกเขาไม่ได้มีความเชื่อเหมือนกัน ไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขาเลยว่าจะมีผู้หญิงหรือเด็กเล็กในหมู่บ้านด้วยหรือไม่ พวกเขาต่างฆ่าทิ้งทั้งหมด

ตอนที่ฉันกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของกัมพูชา ผู้คนนับล้านถูกฆ่าตายเมื่อพล พต นักปฏิวัติชาวกัมพูชาที่เป็นผู้นำเขมรแดงตัดสินใจย้ายประชากรของเขาไปยังค่ายแรงงานในชนบท มีการประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก การบังคับใช้แรงงาน การทารุณกรรมทางร่างกาย เกิดภาวะทุพโภชนาการ และเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้ประชากรเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเสียชีวิต

ในอเมริกากลาง แก๊งค์และนักปฏิวัติได้ตระเวนไปทั่วในหลายประเทศเพื่อสังหารผู้คนตามอำเภอใจ พูดตามตรงว่าฉันไม่รู้จริงๆว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง แต่ฉันคิดว่าจริงๆแล้วเป็นเพราะความโลภ ความกลัว และความเกลียดชังมากกว่า

ในเม็กซิโก ซึ่งฉันเดินทางไปหลายครั้งไม่เพียงแค่ไปทำงาน แต่ยังไปเที่ยวพักร้อนด้วยนั้น มีแก๊งค์ค้ายาหัวรุนแรงมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ฆ่าตำรวจมากมาย แต่ยังฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก และยังฆ่ากันเองอีกด้วย ผู้คนกว่า 150,000  คน ถูกสังหารในระยะเวลาเจ็ดปีเพราะกลุ่มค้ายาเหล่านี้

ในกรุงปักกิ่งประเทศจีน มลภาวะเลวร้ายมาก อากาศหนาทึบทำให้หายใจลำบาก ทุกคนจะต้องสวมหน้ากากเมื่อเดินออกไปข้างนอก มลภาวะรุนแรง ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลวร้ายลง หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร โลกที่เรารู้จักในปัจจุบันนี้จะเปลี่ยนแปลง ในอีกไม่กี่ชั่วอายุคน

ฉันได้อ่านบทความที่เกี่ยวกับความโหดร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย มากเกินกว่าที่จะกล่าวถึงในนี้ได้ มันเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและประวัติศาสตร์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ชนพื้นเมืองอเมริกันถูกฆ่าโดยชาวยุโรป ไปจนถึงชาวอะบอริจินซึ่งมีประชากรลดลงจาก 1.5 ล้านคนเมื่อชาวอังกฤษเข้ามาในออสเตรเลียครั้งแรกในปี 1788 จนเหลือน้อยกว่า 100,000 คนในช่วงต้นทศวรรษ 1900 น่าเสียดายที่สิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ ฉันเชื่อว่าคุณเข้าใจประเด็นของฉัน ความตายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากความโลภ ความเกลียดชัง อคติ และความกลัว ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เรา เรียนรู้ หลังจากที่เราเกิดมาในโลกที่น่าเศร้านี้ มันไม่ควรจะไม่เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งวันนี้ วันที่ฉันจะต้องตาย  ในที่สุดฉันก็เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องนี้ แต่ฉันจะพูดถึงมันในภายหลัง

เมื่อฉันอายุ 60 ปี ฉันทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้มีความสุข ฉันเดินทางไปทั่วโลก มีฐานะร่ำรวยมาก มีลูกสามคน และตอนนี้ก็มีสามีเก่าถึงสามคน (และกำลังจะเป็นสี่คน) ฉันยังมี "เพื่อน" มากมายที่มักจะมาปาร์ตี้ด้วยกันเสมอ ฉันยุ่งแทบตลอดเวลาในทุกๆวัน แต่ก็ยังหดหู่และไม่มีความสุข แม้ว่าจะมีทุกสิ่งที่ใครๆก็อยากได้ แม้ว่าจะรู้จักผู้คนมากมาย มีครอบครัวและลูก แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว และไม่มีใครสักคนที่คอยอยู่ข้างกาย ความสัมพันธ์และมิตรภาพทั้งหมดเป็นเพียงผิวเผิน แต่ก็ต้องขอบคุณ " หน้ากาก " และ " กำแพง " ที่คอยปกป้องฉันมาตลอดชีวิต

ลูกทั้งสามคนของฉันส่วนใหญ่ได้รับการเลี้ยงดูจากพี่เลี้ยงเหมือนอย่างที่ฉันโตมา และไม่ได้ต้องการมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับฉันเท่าไรนัก เพราะเราต่างก็เหินห่างและไม่ค่อยได้พูดคุยหรือเห็นหน้ากัน ความรักที่ฉันได้แสดงให้พวกเขาเห็นเมื่อโตขึ้นนั้นเป็นเพียงผิวเผิน เพราะ อนัตตา ได้สอนฉันมากกว่า โพธิ

ตอนนี้พวกเขายุ่งมากกับชีวิตและลูกๆ จึงมีเวลาให้ฉันเพียงน้อยนิด ไม่ค่อยโทรมาหา แต่ถ้าเมื่อไรที่โทรมา ก็จะบอกว่า “ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ” พวกเขาก็แค่เป็นเหมือนฉัน ที่เรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อยในการ “ ปิดบัง ” ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่ฉันทำ พวกเขาต่างก็ปั้นหน้าหลอกทุกคนเหมือนกัน ฉันรู้ว่าฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแน่ๆเพราะพวกเขาเรียนรู้วิธีการทำเช่นนี้ได้ดีมากเลยทีเดียว

ทุกคนที่ฉันรู้จักอยากอยู่กับฉันเพียงเพราะฉันมีชื่อเสียง มั่งคั่งร่ำรวย สวย และชอบที่จะมีช่วงเวลาดีๆ ฉันยังคงดื่มแอลกอฮอล์และเสพยาทุกวันเพื่อช่วยให้ฉันสามารถรับมือกับอะไรต่างๆได้ แต่ยาและแอลกอฮอล์ดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นอีกต่อไป แม้ว่าฉันจะรู้จักผู้คนมากมาย แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมาก มีหลายวันที่ฉันรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฉันอยากฆ่าตัวตาย เพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์เหมือนอย่างที่ฉันรู้สึกมาทั้งชีวิตอีกต่อไป ฉันยังคงทานยาและพบที่ปรึกษาทุกสัปดาห์เพื่อรักษาอาการซึมเศร้า แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย ฉันไม่เข้าใจ ว่าในเมื่อฉันมีชีวิตที่ดี มีทุกสิ่งที่ดีที่สุด และ “ประสบความสำเร็จ” เหตุใดฉันจึงรู้สึกเช่นนี้ แม้จะมีลูกสามคนและหลานอีกแปดคน แต่พวกเขาต่างก็ไม่พอใจที่ฉันไม่สามารถรักและเอาใจใส่ในขณะที่พวกเขากำลังเติบโตได้ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงเล็กน้อยกับฉันเท่านั้น

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฉันนั่งอยู่คนเดียวริมสระน้ำ ฉันเริ่มนึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็กในวัยหัดเดิน ฉันจะถูกสอนให้ยิ้ม บอกทุกคนว่าฉันนั้นยอด เยี่ยม มาก และอย่าให้ใครรู้ว่าจริงๆ แล้วฉันรู้สึกอย่างไร ฉันอยากเป็นที่รักและรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้พ่อแม่ของฉันและโรซ่ามีความสุข

ฉันจำได้ว่าการสวม " หน้ากาก " นั้นจะช่วยปกปิดใบหน้าของฉันไปตลอดชีวิต ตอนอายุ 7 ขวบ ฉันร้องไห้ และขายหน้าที่โรงเรียน จากนั้น อนัตตาจึง ตัดสินใจช่วยฉันด้วยการสร้าง " กำแพงรอบหัวใจ " ที่หนามาก ฉันจำได้ว่าได้ขอบคุณเธอที่ทำสิ่งนี้ให้ ฉันไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีก และฉันก็ ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นอีกเลย

ที่ริมน้ำฉันเริ่มตระหนักว่าฉันไม่เคยทิ้ง " หน้ากาก " หรือสามารถทะลุผ่าน " กำแพง " ของ อนัตตาที่กักขังโพธิไว้เบื้องหลัง ได้เลย " กำแพง " นี้หนามาก ไม่มีแสงส่องทะลุเข้าไปได้ และไม่มีอะไรจะมาทำร้ายฉันได้อีก มันช่วยปกป้องฉันมาทั้งชีวิต แต่ในขณะเดียวกันในที่สุดวันนี้ฉันก็เริ่มเข้าใจว่าเพราะกำแพงนี้จึงทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ฉันได้ และไม่รู้ด้วยว่าจริงๆแล้วฉันรู้สึกอย่างไร

ตอนนี้เมื่ออายุ 60 ปี ฉันเริ่มจำทุกสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ว่ามันจะส่งผลต่อค่านิยมและความเชื่อของฉันไปตลอดชีวิต แม้ว่าฉันจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และพยายามสนุกกับทุกนาทีโดยเลียนแบบสิ่งที่พ่อกับแม่ทำ แต่สุดท้ายแล้วฉันกลับนั่งเศร้าโศก ไม่มีความสุข อยู่คนเดียว และหดหู่อย่างสาหัส

ฉันคิดถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่ฉันแสดงและผู้คนที่ฉันพบขณะเดินทางไปทั่วโลก ฉันยังจำสลามะที่อยู่ ในแอฟริกาได้ว่าเธอและครอบครัวมีความสุขอย่างแท้จริงมากมายเพียงใดถึงแม้พวกเขาจะยากจนและมีทรัพย์สินทางวัตถุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันได้พบกับผู้คนอื่นๆมากมายเช่นกัน ที่ดูมีความสุขและสงบถึงแม้ว่าพวกเขาจะดิ้นรนทุกวันเพื่อจะมีที่อยู่หรือซื้ออาหารให้เพียงพอสำหรับครอบครัวเพียงแค่บรรเทาความหิวโหย ฉันได้แต่สงสัยว่าพวกเขารู้สึกเช่นนี้กันได้อย่างไรทั้งที่ชีวิตไม่ได้ “ ประสบความสำเร็จ ” อะไรเลย

ฉันเริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ฉันคิดและเชื่อว่าเป็นความจริง แม้ว่าจะไม่เข้าใจอะไรก็ตาม ฉันใช้ชีวิตอย่างที่เคยทำมาตลอด โดยการแสวงหาคำตอบและความสุขจากทุกสิ่งที่ฉันทำและซื้อ ชีวิตของฉันตั้งแต่ยังเล็กถูกกำหนดให้เดินตามเส้นทางนี้นับตั้งแต่ที่ฉันมอบความสุขให้ อนัตตา และละทิ้งทุกสิ่งที่ โพธิ ได้สอนมา

ฉันเป็นใคร อารมณ์และ ความรู้สึก ที่แท้จริงของฉันยังคงถูกขังอยู่ในหัวใจ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเปิดเผยโดย กำแพง ที่ฉันมีตั้งแต่ฉันอายุเจ็ดขวบ อารมณ์ทั้งหมดที่ฉันสามารถแสดงออกมาได้นั้นคือสิ่งที่ได้ เรียนรู้ มากกว่าความรู้สึกที่แท้จริงอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าฉันสามารถเปิดเผยความอ่อนแอและความเปราะบางได้ มีความแตกต่างอย่างมากระหว่าง อารมณ์ที่ผ่านการเรียนรู้และอารมณ์โดยธรรมชาติ อารมณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ (หรืออารมณ์หลอก) มาจากปฏิสัมพันธ์ของเราในโลก เราทำตามที่เรา คิด ว่า ควร จะเป็นโดยสังเกตผู้อื่นที่แสดงให้เราเห็นถึงอารมณ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม อารมณ์โดยธรรมชาติ นั้นมาจากส่วนลึกภายในที่ซึ่ง  “ดวงจิต” ของเราอยู่ อารมณ์เหล่านี้เป็นความรู้สึกที่จริงใจและมอบให้อย่างอิสระด้วยความเห็นอกเห็นใจและความรัก

ทั้งที่รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ชีวิตอีก 25 ปีข้างหน้าก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะแก่ขึ้นแต่ฉันก็ยังคงแสดงภาพยนตร์และยังมีผู้ชื่นชมอยู่มากมาย ฉันได้แต่งงานอีกครั้ง แม้ว่าจะเหมือนกับการแต่งงานครั้งอื่นๆ แต่การแต่งงานครั้งนี้ก็อยู่ได้ไม่นานเช่นกัน เนื่องจากฉันยังไม่สามารถ "เปิดใจ" และเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ ฉันจึงปฏิบัติต่อสามีคนสุดท้ายเหมือนที่ทำกับสามคนแรก โดยมองหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและความสุข ของฉันเอง เท่านั้น

ผ่านไปสองสามปีการอยู่กับเขาเริ่มน่าเบื่อและเราก็แยกทางกัน แม้ว่าฉันจะรู้ว่าการแต่งงานสามครั้งแรกสิ้นสุดลงเพราะสามีของฉันประพฤติตัวอย่างไร แต่คราวนี้ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าบางทีฉันเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ทำให้เราต้องแยกทางกัน ฉันยังสงสัยอีกว่าภาวะซึมเศร้าและความเหงาที่ฉันเป็นนั้น ก็อาจเกี่ยวข้องกับวิธีที่ “ฉัน” ปฏิบัติต่อผู้อื่น มากกว่าที่ว่าไม่มีใครดีเท่าฉันได้

ฉันเริ่มตั้งคำถามในสิ่งที่ฉันได้รับตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ฉันยังคงทานยารักษาอาการซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง พบที่ปรึกษา และสังสรรค์อยู่บ่อยๆแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นเลย ที่ฉันได้รู้ ในวันสุดท้ายของชีวิต นั้นเป็นเพราะฉันยังไม่ได้ยินเสียงจากโพธิ ยาและที่ปรึกษากำลังรักษาปัญหาทางร่างกายและอารมณ์ที่ฉันเป็น แต่พวกเขาไม่ได้รักษาปัญหาพื้นฐานที่แท้จริงซึ่งก็คือ  "จิตวิญญาณ" ปัญหาของฉันเป็นผลมาจากการที่ไม่สามารถได้ยินหรือดำเนินชีวิตตามที่ดวงจิตต้องการให้ทำได้  ดังนั้น การรักษาเหล่านี้จึงพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยได้ชั่วคราวและไม่เพียงพอ

ฉันไม่ได้ตระหนักหรือรู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งก่อนที่ความตายจะมาถึง แม้ว่าฉันปรารถนาจะเข้าใจมันจริงๆก็ตาม บางทีชีวิตของฉันอาจจะแตกต่างออกไปถ้าฉันเข้าใจสิ่งนี้ได้ก่อนหน้านี้ แต่วันนี้ ขณะที่ฉันเตรียมตัวตาย ฉันรู้ว่ามันสายเกินไปสำหรับฉัน แต่อาจไม่สายเกินไปสำหรับคุณ

สองทางเลือกในชีวิตของเรา

พิจารณาดูว่าเรามีเพียงสองทางเลือกในชีวิต

ทางเลือกแรกคือ "การพอใจในตนเอง"

นี่คือทางเลือกที่เป็นที่ "ยอมรับ" ของคนส่วนใหญ่

เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

เพียงแค่สังเกตโลกตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและตลอดประวัติศาสตร์

สงคราม ความหิวโหย การเร่ร่อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความกลัว ความเกลียดชัง อคติ

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากผลที่ตามมาของการใช้ชีวิต

ซึ่งความกังวลเพียงอย่างเดียวคือเพื่อ "ตัวเราเอง"

ทางเลือกที่สองเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก

เป็นทางที่มีคนเลือกน้อย แม้มักจะตามหากันหลายคนก็ตาม

คือการ “ตื่น” มาสู่การตระหนักรู้

การใช้ชีวิตด้วยความพอใจในตนเองนั้นเป็นทางเลือกที่ผิด

สงสัยว่าชีวิตต้องมีอะไรมากกว่านี้

แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความกลัวและเป็นห่วงแต่ตัวเองเท่านั้น

ทางเลือกอื่นจะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้จัก

การเอาใจใส่ผู้อื่นอย่าง “เท่าเทียมกัน”

เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน

จะเติมเต็มบทเรียนที่เราอยู่ที่นี่เพื่อ “เรียนรู้” ได้

เป็นการนำความหมาย ความรัก และความเข้าใจมาสู่ชีวิตของเรา

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status