Share

บทที่ 5 โรงเรียน

บทที่ 5

โรงเรียน

ฉ ั

นเริ่มเข้าเรียนตอนฉันอายุห้าขวบ ได้พบกับเด็กๆ มากมายและได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่จริงๆแล้วฉันก็รู้มามากพอสมควรแล้วล่ะ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงห้าปีแรกของชีวิต รู้ตื่นเต้นและพร้อมที่จะเผชิญกับโลกแล้ว

ฉันไม่เคยอยู่กับเด็กคนอื่นมาก่อนเลย ตอนนี้ฉันต้องเรียนรู้ไม่เพียงแค่วิธีที่จะเข้ากับพวกเขา แต่ยังเพื่อให้พวกเขาชอบฉันอีกด้วย ฉันได้เรียนรู้ที่จะยิ้มอยู่เสมอ ไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของฉันออกมา และฉันก็ทำมันได้ดีมากเลยเพราะไม่เคยให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วฉันรู้สึกอย่างไร ฉันเชี่ยวชาญในการสวม หน้ากาก จนไม่มีใครรู้จักฉันอย่างแท้จริง ฉันจะยิ้มออกมาอย่างมิตรไมตรีและบอกทุกคน รวมถึงพ่อแม่ของฉันด้วยว่าสิ่งต่างๆนั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าข้างในฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยก็ตาม

ฉันมักจะรู้สึกกังวล เครียด และไม่มีความสุข แต่อย่างที่ฉันได้รับการสอนมาจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ผลปรากฏว่าฉันทำได้ดีมาก และฉันเองก็ไม่เคยรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลยเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ฉันมีปัญหามากมายเข้ามาตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้แม้แต่กับคนที่ฉันรักซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด ฉันได้สร้างลักษณะภายนอกที่สมบูรณ์แบบ จนทุกคนที่เห็นจะคิดว่าฉันมีความสุขมาก แต่ข้างในกลับรู้สึกหดหู่ โดดเดี่ยว และน่าสังเวชอย่างยิ่ง

ฉันจำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่งที่พ่อกับแม่จัดงานปาร์ตี้ที่บ้าน คืนนั้นฉันตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกลัว ฉันลงไปหาแม่ข้างล่าง เพียงเพื่ออยากให้แม่ปลอบและบอกว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ไม่เพียงแค่ตกใจกลัวเท่านั้น แต่รู้สึกเศร้า และเป็นแบบนี้มานานแล้ว พอไปถึงก็เจอแม่อยู่กับเพื่อนของแม่ ฉันยิ้มให้ทุกคนอย่างนอบน้อมตามที่ได้รับการอบรมมา ฉันบอกแม่ว่าอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาและรู้สึกกลัวมาก แม่กอดฉันและบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร แม้ว่าฉันจะรู้สึกดีขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันจำจากเหตุการณ์ในวันนั้นคือแม่ฉันภูมิใจในตัวฉันมากเมื่อเพื่อนๆของแม่บอกว่าฉันเป็นเ ด็กสาว ที่น่ารักและดู มีความสุขมาก  แม้ว่าฉันจะรู้สึกกลัวและเศร้าเพียง แต่ก็ไม่มีใครสามารถรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้ได้เลยแม้แต่พ่อกับแม่ เพื่อนของพวกเขา หรือโรซ่า ฉันรู้ว่าฉัน ประสบความสำเร็จ ในชีวิตและจะไม่ยอมให้ใครรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของฉันอีก ท้ายที่สุดฉันเพียงอยากให้พ่อกับแม่รักฉัน ความโศกเศร้าที่ฉันรู้สึกคือภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงซึ่งดำเนินต่อไปจนกระทั่งหลายปีต่อมา ตอนที่ฉันยังเป็นวัยรุ่น พ่อกับแม่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงได้ส่งฉันไปหาหมอและที่ปรึกษาเพื่อขอความช่วยเหลือ

ตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ ฉันมีปัญหาที่โรงเรียน ฉันได้ตีเด็กสาวอีกคนเมื่อเธอไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันต้องการให้เธอทำ ทุกคนต่างก็โกรธฉัน และบอกว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ฉันเริ่มร้องไห้และรู้สึกเจ็บ ฉันรู้สึกอายเมื่อเด็กคนอื่นๆหัวเราะเยอะเมื่อเห็นฉันมีปัญหาและอารมณ์เสีย ฉันจำวันนี้ได้ดีเพราะเป็นวันที่ ใจของฉันเริ่มแข็งกระด้างเมื่ออนัตตาได้ตั้ง “กําแพง” ขึ้นเพื่อปกป้องตัวฉันไว้ “ กำแพง ” นี้ได้ล้อมรอบหัวใจของฉันและจะไม่มีวันปล่อยให้ฉันเจ็บปวดหรืออับอายอีกต่อไป

ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร แต่ กำแพง นี้ทำได้มากกว่าการปกป้องฉัน ซึ่งก็คือการล้อมและขังปิดตาย โพธิ เอาไว้ในใจของฉันอีกด้วย แต่ใน วันที่ฉันกำลังจะตาย กำแพง นี้ก็พังทลายในที่สุด ทำให้ โพธิ พูดสามารถกลับมาพูดคุยกับฉันได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง แม้ว่า โพธิ จะบอกว่าเขาอยู่กับฉันมาโดยตลอด แต่ “ กำแพง ” ที่ อนัตตา สร้างขึ้นเพื่อปกป้องฉันตอนอายุเจ็ดขวบนั้นได้ปิดเสียงของโพธิเอาไว้ซะจนเงึยบสนิท และเมื่อฉันได้ยินเสียงเขาอีกครั้งในตอนนี้ กลับรู้สึกเศร้าอย่างเหลือเชื่อ พร้อมกับกลับมาคิดทบทวนว่าฉันพลาดอะไรไปอีกหรือไม่ที่ไม่มีเขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิต

ก่อนจะเล่าเรื่องราวในวัยเด็กที่เหลือให้ฟัง ฉันขอเล่าเรื่อง “ กำแพง ” ให้ฟังเสียก่อน เพราะเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนชีวิตฉันทุกวันตั้งแต่ที่ อนัตตา สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันชอบ กำแพงนี้ มาก เพราะมันปกป้องฉันจากสิ่งเลวร้ายมากมายที่จะเกิดขึ้นกับฉันตลอดทั้งชีวิต มันทำให้ในใจของฉันเหมือนทำมาจากเหล็กและไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่มีใครทำร้ายหรือทำให้ฉันขายหน้าได้อีกแล้ว ตราบใดที่กำแพงไม่บุบสลาย ฉันก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์อีกต่อไป จากวันนั้นถึงวันนี้ วันที่ฉันจะจากโลกนี้ไป  ฉันไม่เคยร้องไห้อีกเลย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉันไม่เคยรู้เลยก็คือ กำแพง นี้ยังคงขัดขวางไม่ให้ฉันได้ยินเสียงของ โพธิ อยู่

แต่อารมณ์ทั้งหมดที่ฉันรู้สึกตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันได้เรียนรู้มาจาก อนัตตา และได้รู้ด้วยว่า ความรักนั้นมี "เงื่อนไข" ฉันจะให้ความรักถ้ามันสร้างประโยชน์ให้กับ ฉัน  ฉันเริ่มเข้าใจทุกสิ่งที่ฉัน เรียนรู้ ในช่วงห้าปีแรกของชีวิตว่ามันเป็นความจริง ชีวิตเป็นเรื่องยาก ฉันควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องของ ตัวเอง ก่อนของคนอื่นเสมอ อนัตตา ยังสอนเรื่องอารมณ์ต่างๆให้ฉันอีกมากมายด้วยเช่นกัน นอกจากความรักแบบมีเงื่อนไขแล้ว เธอยังสอนฉันเกี่ยวกับความเกลียดชัง ความกลัว ความกังวล ความเศร้าและอื่นๆอีกมากมาย และฉันก็ได้เข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต " มันคือตัวฉันเอง "

ฉันใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเชื่อในสิ่งนี้ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อเรื่องนี้เช่นกัน ฉันใช้ชีวิตด้วย " ความกลัว " ต่อทุกสิ่ง และด้วยความกลัวนี้ทำให้ อารมณ์และความรู้สึกด้านลบอื่นๆต่างก็เริ่มเข้ามา ฉันรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆว่าเป็นเพราะอะไร ฉันยังกลัวที่จะได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ ถึงแม้ว่าจะมี กำแพง ที่คอย "ปกป้อง" ฉันจากอารมณ์ต่างๆ แต่ที่สุดแล้วฉันก็รู้สึกขอบคุณสำหรับ กำแพงและหน้ากาก นี้เพราะมันทำให้ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดในทุกๆวันที่อาศัยอยู่ในโลกที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยความโหดร้าย

ในขณะที่ฉันได้เรียนรู้ในวันนี้ซึ่งเป็น  วันสุดท้ายของชีวิต ว่าการใช้ชีวิตในความกลัวมากกว่าที่จะอยู่กับความรักนั้นทำให้ฉันต้องยอมจำนนต่อบางสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเป็นสิ่งที่ไม่ดีในชีวิต  ฉันมองว่าชีวิตเป็นเรื่องยาก เพราะได้น้อมรับเอาอารมณ์และการกระทำด้านลบทั้งหมดเข้ามาตอนที่ฉันโตขึ้น การมองโลกผ่านเลนส์นี้ทำให้ฉันเข้าใจผิดและมองโลกที่แท้จริงผิดเพี้ยนไปหมด

ฉันมองว่าชีวิตคือการแข่งขัน ฉันจึงรู้ว่าความกังวลเพียงอย่างเดียวของฉันคือการทำเ พื่อตัวเองและความสุขของตัวเองเท่านั้น  ฉันไม่เคยคิดว่าอาจจะมีวิธีอื่นในการมองเห็นชีวิต แต่กลับยอมรับมุมมองของโลกนี้อย่างเต็มที่ว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น ความคิดที่จะแบ่งปันความรักให้กับคนอื่นโดยไม่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉันมาก เพราะ กำแพง ที่อยู่ในใจของฉันทำให้ โพธิ ไม่สามารถคุยกับฉันได้อีก จนถึงทุกวันนี้

กำแพงและหน้ากาก

เราเรียนรู้บ่อยครั้งเมื่อเราเป็นเด็กเล็ก

ถึงวิธีซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของเรา

เบื้องหลัง "กำแพง" และ "หน้ากาก" ที่พวกเรา "ทุกคน" สวมใส่อยู่นั้น

ช่างเก่งเหลือเกินในการซ่อนความรู้สึกของเราไว้เกือบทั้งหมด

อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจากคนอื่นๆหรือแม้กระทั่งจาก "ตัวเราเอง"

กำแพงและหน้ากากช่วยให้เราอยู่รอดในโลกและตอบสนอง

ต่อสถานการณ์ต่างๆให้เราเป็นที่ยอมรับของสังคม

มันไม่ง่ายเลยที่จะซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงหรือสวมหน้ากากอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งกำแพงหนาและหน้ากากใหญ่ขึ้นเท่าไร

ปัญหาในชีวิตเรารวมถึง

ความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลจะมากขึ้นเท่านั้น

เราทุกคนต้องพยายามทลายกำแพงและฉีกหน้ากากออก

เพราะมันจะคอยขัดขวางไม่ให้เราบรรลุศักยภาพสูงสุด

หากเราทำได้เราจะสามารถ

“โอบกอดและสัมผัสชีวิต”

ได้อย่างที่มันควรจะเป็น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status