Share

บทที่ 9 วันนี้ฉันกำลังจะตาย

บทที่ 9

วันนี้ฉันกำลังจะตาย

ตอนที่ 1

ฉ ั

นไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตจะแตกต่างไปได้อย่างไรหากฉันเดินตามวิถีแห่ง จิตวิญญาณของโพธิ  เพราะสำหรับฉันแล้วมันดูเหมือนว่าตั้งแต่ลมหายใจแรกของฉันมาจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เคยเหมือนเดิม ขณะที่ฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอความตายฉันรู้สึกท้อแท้เมื่อทบทวนชีวิตงของตัวเอง แม้ว่าฉันจะมีชีวิตที่ " ประสบความสำเร็จ " มาก แต่ตามมาตรฐานของสังคม ความเป็นจริงไม่สามารถอยู่ไกลจากความจริงได้

ฉันทำทุกอย่างถูกต้องตามที่ได้รับการสอนมา ทว่าเมื่อชีวิตได้ฉายแสงต่อหน้าฉันในวันนี้นั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่แค่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่ยังรู้สึกหดหู่ไปทั้งชีวิตด้วย ฉันใช้ยาและแอลกอฮอล์เหมือนที่พ่อแม่เคยทำเพื่อ "ปิดบัง" ความทุกข์และทำให้ประสาทสัมผัสของฉันช้าลง ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่ายาและแอลกอฮอล์นั่นเองที่ขัดขวางไม่ให้ฉันเผชิญกับความเป็นจริงว่าฉันรู้สึกอย่างไร สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ไขว้เขว และขัดขวางไม่ให้ฉันมองดูตัวเองเพื่อเผชิญกับชีวิตจริง

ฉันประสบความสำเร็จมากในการไม่เผชิญกับความเจ็บปวดจน วันนี้ วันที่ฉันกำลังจะตาย  มันทำให้รู้ว่าชีวิตของฉันอยู่อย่างเปล่าประโยชน์มาโดยตลอด วันนี้ฉันอยู่คนเดียว ไม่มีใคร แม้แต่ครอบครัวของฉัน ที่จะมาที่นี่เพื่อบอกลาหรือจะคิดถึงฉัน หลังจากที่ฉันตายไป ฉันจะถูกฝังไว้ แต่สิ่งของราคาแพงสวยงามมากมายที่ฉันได้รับตลอดชีวิตไม่ได้ถูกฝังไปได้ ร่างกายของฉันจะถูกนำไปใส่ในโลงหรือโกศเหมือนคนอื่นๆ และฉันจะไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้ เงินทั้งหมดที่ฉันมีก็จะไร้ค่า เพราะมันจะไม่ได้อยู่กับฉันเช่นกัน

แม้ว่าฉันจะรู้ว่ามีหลายคนที่จะมาร่วมงานศพ แต่นั่นเป็นเพราะเรารู้จักและสนิทสนมกัน คนที่จะคิดถึงฉันเพราะฉันมีชื่อเสียง ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดีหรือใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ฉันไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าลูกทั้งสามคนของฉันจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า

จู่ๆก็ไม่อยากทบทวนชีวิตตัวเองในวันสุดท้าย เพราะชีวิตที่ฉายต่อหน้าให้ฉันเห็นในตอนนี้นั้นช่างไม่น่าพอใจเอาเสียเลย ทุกสิ่งที่ฉันทำมาตลอดชีวิตนั้นเป็นไปเพื่อให้ฉันสนุกกับชีวิตอย่างเต็มที่เท่านั้น ฉันรับรู้ผ่านสายตาที่ชัดเจนของ โพธิ ว่าชีวิตที่ผ่านมาล้วนเป็นความล้มเหลวที่น่าหดหู่สิ้นดี ในวันสุดท้ายของชีวิตฉัน นี้ ในที่สุด อนัตตา ก็ปล่อยมือจากฉัน เหมือนที่เธอทำกับทุกคนเมื่อความตายใกล้เข้ามา อนัตตา ไม่สนใจที่จะควบคุมการกระทำของเราในวันนี้อีกต่อไป เพราะเมื่อร่างกายของเราแตกดับ เธอก็ตายเช่นกัน

ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าฉันใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าเหลือเกิน เป็นชีวิตที่ไม่มีผลลัพธ์หรือความหมายอะไรเลย และในที่สุดฉันก็รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกหดหู่ใจมาทั้งชีวิต นั่นเป็นเพราะว่าฉันได้เดินตามทางที่เรียนรู้จาก อนัตตา อย่างไม่แยแสต่อสิ่งใดตั้งแต่ที่เติบโตมาจนตลอดทั้งชีวิต แทนที่จะเดิมตามทางที่ โพธิ เคยไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด ตั้งแต่แรกเกิด ฉันลืมทุกสิ่งที่ โพธิ สอนฉันขณะรออยู่ในท้องแม่ เขาเคยบอกว่าฉันจะลืม แต่แน่นอน ฉันก็จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ

มีเพียงวันนี้เท่านั้นในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าจุดประสงค์นั้นคืออะไร ฉันหวังว่าจะมีคนพบสิ่งนี้เร็วกว่านี้ เพื่อที่ฉันจะได้มีเวลาชดใช้และเปลี่ยนแปลงชีวิตก่อนที่จะสายเกินไป แม้ว่าแพทย์และที่ปรึกษาทุกคนที่ฉันพบล้วนมีเจตนาดี แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อฉันอย่างถูกต้องโดยการละเลยรากเหง้าของปัญหา ความขัดแย้งภายในระหว่าง โพธิ กับ อนัตตา  ล้วนแต่นำไปสู่ความล้มเหลว หากเพียงแต่ผู้มีปัญญาเหล่านี้สามารถเปิดความคิดและหัวใจของพวกเขาได้ บางทีสิ่งต่างๆอาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน

ฉันรู้สึกเสียใจสำหรับทุกคนที่รู้สึกหดหู่ใจและพยายามขอความช่วยเหลือ เนื่องจาก ความเขลาทางจิตวิญญาณ ของ คนในวงการจิตเวชและการแพทย์หลายๆคน ทำให้คนที่ต้องพบเจอกับความรู้สึกหดหู่ใจนั้นไม่สามารถฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าหรือความเจ็บป่วยได้อย่างเต็ม นอกเสียจากว่าจะรักษาสาเหตุทาง “ดวงจิต” ที่แฝงอยู่ด้วย ไม่เพียงแต่อาการของพวกเขาจะดีขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่จะช่วยเหลือพวกเขาให้หายขาดได้อย่างแท้จริง

ความจริงที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งที่ฉันเพิ่งรู้คือ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จจริงๆคืออะไร น่าแปลกว่ามันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันเคยเชื่อมาโดยตลอด ความสำเร็จในชีวิตคือการปลดปล่อยดวงจิตของคุณ และดำเนินชีวิตที่ ไม่เห็นแก่ตัว มากกว่าที่จะใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวโดยมุ่งแต่ความสนใจไปที่ความเพลิดเพลินของตัวคุณเองเท่านั้น การปลดปล่อย “ตัวตนที่แท้จริง” ของเราหรือ “จิตพุทธะ” ของเราจากเบื้องหลังกำแพงแห่งการคุมขังนั้น จะทำให้ชีวิตของเรามีจุดมุ่งหมายใหม่ ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ความรู้สึกสงบภายในและให้ความหมายกับชีวิตของเราอีกด้วย

ขณะที่ฉันนอนรอความตายอยู่ที่นี่นั้น ฉันรู้แล้วว่า “ความหมายของชีวิต” คือการหวนคืนสู่ความรู้ที่เคยมีก่อนเราเกิด ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงเปล่งประกายจากภายใน ก่อนที่เราจะได้สัมผัสกับความเป็นจริงและคำสอนของโลก ก่อน อนัตตา เกิด และก่อนสิ้นลมหายใจ ฉันสามารถรับรู้ถึงความสงบภายในและ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  แต่หลังจากที่ฉันเกิดในอีก 85 ปีข้างหน้า ฉันกลับ " ลืม " มันไปอย่างง่ายดาย

ฉันเข้าใจเหมือนที่เราทุกคนเข้าใจตอนอยู่ในครรภ์ของแม่ว่า การแบ่งปัน การเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจ และความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ต่างห่างที่เป็นคุณสมบัติที่จะทำให้ชีวิตประสบความ สำเร็จ คุณสมบัติเหล่านี้ล้วน มีอยู่โดยธรรมชาติ ที่ไม่ได้มาจากการเรียนรู้ (“อารมณ์หลอก”)  อารมณ์ที่ฉันพูดถึงนั้นคือการให้โดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งใดตอบแทน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามจดจำและย้อนกลับมาหลังจากที่เราเกิด

“อารมณ์หลอก” เป็นอารมณ์ที่เกิดจากการ เรียนรู้  หลังจากที่เราเกิด เราเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์เหล่านี้ด้วยการชมภาพยนตร์ การสังเกตผู้คน และการอ่านหนังสือ ฉันไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้เลยจนกระทั่งวันนี้ ฉันรู้วิธีแสดงอารมณ์ที่เรียนรู้มาในช่วงชีวิตของฉันเท่านั้น อารมณ์เหล่านั้นที่ฉันสัมผัสได้หลังจากที่ฉันเกิด ฉันเองก็กลัวเกินกว่าที่จะเปิดเผยความรู้สึกรักที่เราทุกคนมีตั้งแต่เกิดเช่นเดียวกับคนอื่นๆอีกหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น

ฉันกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อแบ่งปันสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในวันนี้ ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณผู้อ่านในการประเมินว่าอารมณ์ใดที่คุณยินดีจะแบ่งปันกับผู้อื่น โดย อารมณ์หลอก จะนำไปสู่ความเหงาและความทุกข์เท่านั้น ในขณะที่หากคุณแบ่งปันอารมณ์โดยธรรมชาติที่เราทุกคนมีตั้งแต่เกิด ความหมายของชีวิตก็จะปรากฏชัดเจนขึ้น

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมเราถึงมีชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า " ความหมายของชีวิต " ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบง่ายๆนี้ แต่ก็ไม่เคยพบเลย วันนี้ฉันจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยความหวังว่าคุณจะพบคำตอบนี้เร็วกว่าฉัน และมีเวลามากกว่าฉันในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่เพื่อสนุกกับชีวิต อย่างที่มันควรจะเป็น

ฉันอยู่ตัวคนเดียว

ล้อมรอบด้วยผู้คนมากมาย

ฉันเดินผ่านคนอื่นๆมากมายที่แทบจะไม่สังเกตเห็นการดำรงอยู่ของฉัน

ภายในฉันรู้สึกว่างเปล่า หลงทาง และกลัวทุกสิ่ง

จำเป็นต้องพิสูจน์คุณค่าของฉันทุกวัน

ฉันกังวลตลอดเวลา อยากมีความสุข ประสบความสำเร็จ

สามารถอยู่ได้ในโลก

ให้ทุกอย่างที่ฉันและครอบครัวต้องการเพื่อความปลอดภัย

สนุกกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

ฉันกลัวที่จะคิดมากเกินไป

เพราะถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันก็คงรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดมา

จนกว่าเราจะตาย ถึงจะมารู้ว่าเราต่างก็อยู่คนเดียวในโลกนี้อย่างแท้จริง

การเดินทางผ่านชีวิตมีขึ้นเพื่อรู้สึกโดดเดี่ยวเสมอ

เป็นการค้นหาคำตอบที่ "ไม่มีวัน" หาได้ในโลก

เพื่อค้นหา “คำตอบ” ของความสุข ประสบความสำเร็จ ไม่โดดเดี่ยว

ค้นหาจาก "ภายใน" ของคุณก่อน

จากนั้นแบ่งปันให้กับผู้คนโดยไม่ต้องกลัว

ตราบใดที่ทำนอกบทและ "ตื่นรู้" เท่านั้น

คำตอบที่เราแสวงหาอาจเปิดเผยในที่สุด

ตอนที่ 2

ใ นวันนี้ขณะที่รอให้ชีวิตของฉันจบลง ฉันได้รับของขวัญจาก โพธิ  หากปราศจากอิทธิพลของ อนัตตา  โพธิจะแสดงให้ฉันเห็นว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรหากฉันรู้ว่าวันนี้ฉันทำอะไร ฉันจะได้เห็นว่าการดำเนินชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งเลยคือฉันจะได้ยินเสียง ดวงจิต ของฉันอย่างชัดเจนและ "เป็นหนึ่ง" เดียวกับ "จิตตื่นรู้"

มันเป็นชีวิตที่ฉันไม่สามารถจินตนาการมาก่อน ชีวิตของฉัน และเช่นเดียวกับหลายๆชีวิตต่างถูกครอบงำโดย " ความกลัวมากกว่าความรัก " ฉันกลัวทุกอย่าง และแทนที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น ฉันเพียงแค่ยอมรับว่าการอยู่ในความกลัวเป็นเรื่อง ปกติ  ฉันยอมรับว่าชีวิตจริงนั้นช่างซับซ้อนเหลือเกิน ทุกอย่างตั้งแต่สงคราม การฆาตกรรม ความเกลียดชัง การไร้บ้าน ความเจ็บป่วย และความหิวโหยต่างก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าชีวิตนั้นยากลำบากเพียงใด ฉันไม่เพียงแค่รับความเป็นจริงเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังได้รับภูมิคุ้มกันจากผลกระทบเหล่านี้อีกด้วย แต่สุดท้ายฉันกลับยอมรับความโหดร้ายเหล่านี้อย่างหน้ามืดตามัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

วันนี้สิ่งทุกสิ่งแตกต่างออกไป วันนี้ฉันมองเห็นอะไร ฉันมองเห็นโลกที่มีแต่ความรัก การเอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจทุกคน โลกที่ความไม่เห็นแก่ตัวมีบทบาทสำคัญกว่าการสนใจแต่ตัวเราเอง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า จิตตื่นรู้ คืออะไร มันคือการแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในขณะที่เราทุกคนผ่านความยากลำบากมากมายที่ชีวิตได้มอบให้ ความสำเร็จถูกกำหนดโดย " ทุกคน " ที่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่เราต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันผ่านความท้าทายมากมายในชีวิต

ในระดับตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรู้สึกถึงความสงบภายในที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเป็นไปได้ ความห่อเหี่ยวและความเศร้าที่ปรากฎอยู่เสมอนั้นไม่สามารถหลอกหลอนฉันได้อีกต่อไป เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความหวังและความสุข ในความคิดของฉันนั้น ฉันสามารถเห็นท้องฟ้าที่มีสีฟ้าใส และดาวเคราะห์ที่มีสีสันสวยงาม ซึ่งสีของมันนั้นช่างผ่องแผ้วและบริสุทธิ์ ไม่มีเมฆปกคลุมท้องฟ้าหรือมลภาวะที่ทำลายโลก มีเพียงสีสันแห่งชีวิตที่ใสสะอาด ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อความงามและความบริสุทธิ์ของมัน

วันสุดท้าย เท่านั้นที่ฉันเข้าใจว่าทำไมฉันถึงเกิดมาและจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร แม้ว่าจะรู้สึกสงบภายใน แต่ก็เข้าใจแล้วว่าฉันได้เดินทางผิดตลอดชีวิต ฉันเห็นว่าฉันทำลายตัวเองและเห็นแก่ตัวแค่ไหน ความสัมพันธ์ทั้งหมด รวมทั้งกับครอบครัวเป็นเพียงผิวเผิน ฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ รวมทั้งสามีหรือลูกๆของฉันด้วย ฉันใช้ชีวิตเพียงลำพัง โดยแยกความรู้สึกที่แท้จริงออกจากคนอื่น ฉันใช้ชีวิตโดยมองหาแต่ความสุขและความหมายในโลก ฉันร่ำรวย มีงานทำ มีชื่อเสียงมากในฐานะนักแสดง และสามารถซื้อทุกอย่างที่ดีที่สุดในชีวิต ทว่าตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าชีวิตของฉันไม่มีความสำคัญและไร้ความหมายสิ้นดี

ขณะที่ฉันนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอความตาย ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเหล่านี้กำลังสะสมอยู่ในตัวฉัน ฉันอยู่คนเดียว มีเพียงพยาบาลที่บ้านพักรับรอง และแม่บ้านที่อยู่ด้วย ในที่สุดฉันก็พบคำตอบที่ตามหาอย่างสิ้นหวัง แต่ก็สายเกินไปสำหรับฉัน ชีวิตของฉันจบลงแล้ว กระนั้นฉัน​ก็ได้ตั้งใจ​แน่วแน่​ที่​จะ​ทิ้ง​บาง​อย่าง​ไว้​เบื้องหลัง​เพื่อ​ชีวิต​ของ​ฉัน​จะ​ไม่​ได้​อยู่​อย่าง​ไร้​ค่า​โดย​สิ้นเชิง ดังนั้นฉันจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อหวังว่าคนอื่นๆจะได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญเหล่านี้และใช้เวลาก่อนตายเพื่อสัมผัสชีวิตตามที่ควรจะเป็น

บทละคร

ในวันที่เราต้องตาย

เมื่ออัตตายอมจำนนต่อชีวิตของเราในที่สุด

เราจะเข้าใจว่าทั้งชีวิตของเราเป็นบทละคร

ทั้งหมดคือ "การเสแสร้ง"

เราทำหน้าที่ของเราอย่างดีจนเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่จริง

ชีวิตเป็นเพียง "ภาพลวงตา" ที่เราทุกคนมีส่วนเล็กน้อยในการแสดง

หากเราทำตามบทอย่างที่เรา “ได้เรียนรู้” มา

ในขณะที่เราเติบโต

คำตอบที่เราแสวงหาเกี่ยวกับชีวิตอาจคลาดเคลื่อน

ตอนที่ 3

โ พธิ กำลังเปิดเผยทุกอย่างแก่ฉันอย่างรวดเร็ว ฉันแทบไม่มีเวลาเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ขากำลังบอกฉันว่า เราเกิดมาทำไม  มันทำให้ฉันประหลาดใจว่าข้อความของเขานั้นเรียบง่ายเพียงใด มีหลายคนที่ค้นหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบคำตอบนั้น โพธิ กำลังบอกฉันเกี่ยวกับ  “การตื่นรู้” การเห็นแจ้ง” “ความหมายของชีวิต” และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ทุกคนเข้าใจและบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ในชีวิต เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราต้องเปิด " ม่าน " ที่ปิดบังคำตอบ ซึ่งเราต่างก็กำลังแสวงหาออกไป โดยการทำเช่นนี้นั้นจะทำให้เรายอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า เรามีคำตอบทั้งหมดอยู่เสมอ  เราแค่มองหาคำตอบเหล่านี้ผิดที่เท่านั้นเอง ในการค้นหาคำตอบเหล่านี้ เพื่อ “ตื่นรู้ รู้แจ้ง และค้นหาความหมายของชีวิต” ตอนนี้ฉันได้เข้าใจคำตอบที่อยู่ในตัวเราแต่ละคนแล้ว ซึ่งเป็นคำตอบที่ อยู่กับเรามาโดยตลอด

ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแค่เข้าใจสิ่งนี้ แต่ยังรู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรหากการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับคุณ แม้ว่าเวลาของฉันตอนนี้จะค่อยๆหมดลงอย่างรวดเร็วและมีค่ามาก แต่ฉันต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามนาทีเพื่อบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้

ลองนึกภาพความปิติ ความรัก ความสุข และความเห็นอกเห็นใจที่บริสุทธิ์สำหรับชีวิตทั้งหมด การอยู่ในโลกที่ปราศจากความกลัวหรือความเกลียดชัง และมีแต่ความรัก อาจจะมีความเศร้าอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าความโศกเศร้านี้จะเกิดจากการเห็นคนอื่นเชื่อในชีวิตที่เป็น "ภาพลวงตา" แต่ชีวิตจะสอนเราเมื่อเราเติบโตขึ้น และผลที่ตามมาของการเชื่อว่าภาพลวงตาเหล่านี้มีจริง

เราตกอยู่ในกับดักของ อนัตตา  มองดูโลกที่เราอาศัยอยู่ และผลของการเชื่อในภาพลวงตาเหล่านี้ล้วนชัดเจน สงคราม ความตาย ความหิวโหย การไร้บ้าน ความกลัว ความเกลียดชัง ความโลภ อคติ ความเห็นแก่ตัว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอื่นๆอีกมากมายต่างก็ปรากฏชัดในทุกส่วนของโลก สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นหากเราทุกคนเข้าใจสิ่งที่ฉันทำตอนนี้ ลองนึกภาพว่าโลกจะเป็นอย่างไรถ้าเราต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์และใช้ชีวิตด้วย ความรักมากกว่าความกลัว

ฉันอายุ 85 ปี และ “ วันนี้ฉันกำลังจะตาย ” มันช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยเมื่อคุณรู้ว่าจุดจบนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ขณะที่ฉันนอนอยู่บนเตียงและเฝ้ารอวันสิ้นชีวิตอยู่คนเดียวนั้น อนัตตา ได้พูดบางอย่างกับฉัน เธอบอกว่า จะไม่มีคำแนะนำจากเธออีกต่อไปแล้วว่าจะมีความสุขได้อย่างไร เธอไม่ได้บอกฉันอีกแล้วว่าฉันเก่งกว่าใครๆ เพราะฉันมีชื่อเสียงและมีเงินทองมากมาย ในที่สุดฉันก็เริ่มตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญเลย เพราะท้ายที่สุดฉันจะจะแค่นอนในโลงของฉันคนเดียวเหมือนที่อยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต

ในทางกลับกัน โพธิ ที่ฉันไม่ได้ยินเสียงเขาอีกเลยตั้งแต่เกิด ตอนนี้ฉันเขาสามารถดึงความสนใจของฉันได้แล้วเหมือนตอนก่อนที่ฉันจะเกิด เขายังอยู่ตรงนั้นและพูดกับฉันหลายเรื่องก่อนที่ฉันจะตาย เขาเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับ “ หน้ากากกับกำแพง ” ที่ อนัตตา สร้างขึ้นเพื่อ “ ปกป้องฉัน ” และสิ่งเหล่านี้เองที่ขัดขวางไม่ให้เขาช่วยเหลือฉัน หรือทำให้ฉันไม่ได้ยินเสียง โพธิ เลยตลอดชีวิต เขายังบอกฉันด้วยว่าฉันไม่เคยดีไปกว่าใครเลย และชีวิตของใครก็ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่ว่าความมั่งคั่ง เชื้อชาติ เพศ หรืออะไรก็ตาม

ฉันเริ่มจำทุกอย่างที่ โพธิ สอนฉันก่อนจะลืมตามาดูโลกได้แล้ว ฉันจำได้ว่าเขาบอกกับฉันว่า " ความหมายของชีวิต " คืออะไร และฉันก็เริ่มตระหนักได้ว่าฉันล้มเหลวที่ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของเขาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โพธิ เข้าใจและบอกฉันว่าเขาจะกลับไปเกิดใหม่พร้อมกับฉันอีกครั้ง เพื่อจะได้ลองเรียนรู้บทเรียนที่ฉันไม่สามารถเรียนรู้ได้ในช่วงชีวิตนี้

เมื่อฉันเริ่มไตร่ตรองถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ก็เริ่มเข้าใจว่าชีวิตของฉันล้มเหลวเพียงใด ขณะที่กำลังทบทวนชีวิตในวันนี้ ก็ทำให้ฉันได้รู้แจ้งว่าทุกสิ่งที่ อนัตตา เคยบอกมานั้นผิดและไม่เป็นความจริงเลย ตลอดชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของฉัน ฉันทั้งสวยและรวยมาก แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะตาย มันไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป เพราะร่างกายที่เคยสวยงามนี้สุดท้ายก็จะเหี่ยวเฉาและกลายเป็นผงธุลีในที่สุด

จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่เคยเรียนรู้ที่จะสวม หน้ากาก หรือกักขัง ดวงจิต ของฉันเอาไว้เบื้องหลัง กำแพงที่อนัตตา สร้างขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นหาก “ ตัวตนที่แท้จริง ” ของฉันสามารถ ส่องแสง ให้คนทั้งโลกได้เห็น ฉันสงสัยว่าชีวิตของฉันจะแตกต่างกันมากแค่ไหน วันนี้ วันที่ฉันจะต้องตาย  ในที่สุดก็สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้

การอยู่ในโลกที่ "แสงสว่าง" ของคุณส่องสว่างและแบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้นจะนำมาซึ่งความสงบภายในอย่างเหลือเชื่อ  สันติสุขนี้จะถูกแบ่งปัน เช่นเดียวกับทรัพยากรทั้งหมดของเรา เพื่อให้มั่นใจว่าทุกชีวิตมีโอกาสเท่าเทียมกันในการสัมผัสและค้นหา “ ความหมายของชีวิต ” ความหดหู่และความเหงาที่ฉันรู้สึกทุกวันในชีวิตจะไม่หลอกหลอนฉันอีกต่อไป เพราะมันจะถูกแทนที่ด้วยความเมตตาและความรัก ฉันจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะชีวิตของฉันไม่เพียงแค่แบ่งปันอย่างต่อเนื่องจาก โพธิ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอื่นๆทั้งหมดที่มีดวงจิตเช่นกัน ในที่สุดฉันก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่แสวงหานั้นไม่มีอยู่ในสิ่งที่ทำให้ใจว้าวุ่นมากมายในโลกนี้ แต่มาจากการ แบ่งปันกับผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นต่างหาก  ถ้า กำแพงและหน้ากาก ของฉันไม่อยู่ตรงนั้น ฉันคงนั่งสมาธิ หลับตา ทำจิตใจให้สงบ "คอย ฟังเสียง " และในที่สุดก็จะสามารถ "ได้ยิน" เสียงของโพธิ  แทนการทำตัวยุ่งจนไม่มีเวลาที่ได้ยินเสียงของเขา

ในวัน สุดท้ายของชีวิต ฉันนั้นทุกอย่างช่างชัดเจนเหลือเกิน ความปรารถนาเดียวของฉันคือหากฉันรู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้อีกสักหน่อยฉันจะชดใช้ความเห็นแก่ตัวที่คอยกำหนดการมีชีวิตอยู่ของฉันในทุกๆวัน ถ้าฉันได้รู้เหมือนที่ฉันรู้ในวันนี้ ฉันจะใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่ทำงานเยอะ ใช้เวลาอยู่กับคนที่สำคัญที่สุด และแบ่งปันความรักให้กับทุกสิ่งที่ฉันพบเจอตลอดทั้งชีวิตของฉัน

ฉันจะได้รู้จักลูกๆมากกว่านี้และใช้เวลากับพวกเขาจนกระทั่งพวกเขาเติบโต แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่อาชีพและความสุขของตัวเอง และทิ้งพวกเขาไว้ให้อยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยง ฉันจะแบ่งปันความรักกับพวกเขา ฉันจะทำงานน้อยลงและจะมีความทรงจำทั้งดีและไม่ดีของพวกเขาไว้ ฉันจะอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเขาในฐานะที่ปรึกษา เพื่อนำพวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณแทนที่จะเป็นเส้นทางทางโลกที่ฉันและคนอื่นๆอีกมากมายเดินผิดมาตลอดชีวิต ฉันจะทำมันแตกต่างออกไปถ้าฉันได้รู้เรื่องเหล่านี้ก่อนที่วันนี้จะมาถึง

ชีวิตของฉันดูเหมือนจะผ่านไปอย่างช้าๆในวันนี้ ช้าจนเกือบจะเป็นภาพสโลว์โมชั่นในขณะที่ฉันรอลมหายใจสุดท้าย ไม่เพียงแต่เหตุการณ์ในชีวิตจะฉายภายในอดีตให้เห็นเท่านั้น แต่ โพธิ ยังมีเวลาพูดคุยกับฉันอีกมาก นี่คือเรื่องที่ โพธิ บอกกับฉัน มันเป็นเรื่องราวที่ฉันเคยได้ยินมาก่อนขณะอยู่ในครรภ์ของแม่ แม้ว่าวันนี้ฉันจะจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้

ดวงจิตเป็นสากลที่อยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เป็นอมตะและไม่มีวันตาย “ งาน ” ของมันคือการช่วยเหลือผู้อื่นใน การเดินทางผ่านชีวิต  ดวงจิตมีอยู่ทั่วจักรวาลเนื่องจากมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์หลายดวงทั่วดาราจักรหลายพันล้านแห่งในจักรวาล อย่างที่ฉันได้ค้นพบในวันนี้ เราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวและไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ชีวิตซับซ้อนและหลากหลายกว่าที่เราคิดไว้มาก

“ ดวงจิต ” มีไว้เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจเลือก และช่วยให้เราเข้าใจบทเรียนที่เราควรจะเรียนรู้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ แม้อาจจะดูเหมือนง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายเลย  เสียงของ ดวงจิต มักจะเบาลงและไม่ได้ยินในที่สุด เป็นเพราะความเป็นจริงของการพยายามเอาชีวิตรอดในโลกหลังจากที่เราเกิดมา แต่ข้อความของ ดวงจิตนั้น ช่างเรียบง่าย เป็นข้อความแห่งความรักที่มอบให้โดยไม่คาดหวัง ด้วยการแบ่งปันความรักให้กับผู้อื่น จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและมีความหมายมากขึ้น เราแต่ละคนจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อรวม “เนื้อแท้” เข้าด้วยกัน

ลองนึกภาพว่าถ้าเราทุกคนแบ่งปัน แก่นแท้ นี้ให้แก่กันและกัน โลกจะไม่เพียงแค่ปรับเปลี่ยนแต่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ซึ่งการทำเช่นนี้นั้นจะทำให้มั่นใจได้ว่าทุกชีวิตมีความสำคัญและเป็นที่เคารพ ในที่สุด ความรักจะอยู่เหนือความกลัว และสุดท้ายความหมายที่แท้จริงของชีวิตจะถูกเปิดเผย  แทนที่จะอยู่ในโลกที่มุ่งแต่ตัวเอง โลภ และเห็นแก่ตัวเหมือนที่เราเป็นอยู่กันตอนนี้ แต่เราจะอยู่ในโลกที่ความไม่เห็นแก่ตัวและความเห็นอกเห็นใจอยู่เหนือทุกสิ่ง ในโลกนี้ทุกสิ่งจะถูกแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียมกัน จะไม่มีการเร่ร่อนอีกต่อไป และจะไม่มีใครตายจากความอดอยากหรือความเจ็บป่วยที่รักษาได้ จะไม่มีความเกลียดชัง ความกลัว หรือสงครามอีกต่อไป เนื่องจากความโลภและความไม่เท่าเทียมกันจะหมดลง ไม่เพียงแค่ทุกคนจะได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกันโดยไม่มีใครดีไปกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่ความสำคัญของทุกชีวิตก็จะถูกรับรู้เช่นกัน ความเมตตาและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวในที่สุดจะอยู่เหนือชีวิตตามที่ควรจะเป็น

โพธิ กำลังบอกฉันว่า ในโลกของเรา เรากำลังเข้าใกล้ทางแยกอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราต้องเลือกระหว่าง การวิวัฒนาการหรือการสูญพันธุ์  เพื่อวิวัฒนาการพวกเราหลายคนจะต้องยอมรับถ้อยคำของดวงจิตเกี่ยวกับ ความรักที่เป็นสากล และประณามความโลภ ความเกลียดชัง และความกลัว ด้วยการทำเช่นนี้หวังว่าวิวัฒนาการของชาวดาร์วินจะส่งผลให้ผู้ที่ไม่ยอมรับมุมมองชีวิตแบบนี้สูญพันธุ์ในที่สุด อย่างไรก็ตาม หากเราไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ การหายตัวไปของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้อาจเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องยอมรับให้ได้

เมื่อม่านที่ปิดบังความจริงจากฉันได้ถูกเปิดออก ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างไรเมื่อความว้าวุ่นใจมากมายของโลกไม่มีอิทธิพลต่อฉันอีกต่อไป ฉันไม่เคยคิดหรือจินตนาการว่าสิ่งนี้เป็นไปได้แต่ฉันมั่นใจหากเป็นสิ่งที่ โพธิ บอก ความเป็นไปได้ที่ฉันเห็นคือโลกแห่ง " สันติภาพ แสงสว่าง และความรัก " แทนที่จะเป็นโลกแห่ง " สงคราม ความมืด ความกลัว และความเกลียดชัง " ทั้งชีวิตฉันเชื่อว่าอย่างหลังคือทุกสิ่งเพราะฉันได้รู้ ได้อ่าน และได้เห็นในขณะที่เดินทางรอบโลก และฉันก็รู้ด้วยว่าฉันไม่ได้ทึกทักเอาเองคนเดียว

สำหรับฉันดูเหมือนว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่เพียงแค่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นความจริง แต่ยังยอมรับความจริงด้วยว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ตั้งแต่เล็กจนโตเราได้เรียนรู้ว่าโลกเป็นอย่างไร เราต่างก็ยอมรับมันอย่างไม่เคยคิดหรือรู้สึกอะไรต่ออารมณ์และ เหตุการณ์เชิงลบเหล่านี้เ ลยไม่ว่าเราจะได้อ่าน ได้เห็นกับตา ได้ดูในทีวี ในภาพยนตร์ หรือบนอินเทอร์เน็ตก็ตาม มันกลับกลายเป็น “ เรื่องปกติ ” ที่มองดูคนอื่นทนทุกข์และตายไป ถ้าเป็นหนังดีๆสักเรื่องเราคงได้ดูคนตายเป็นร้อยๆ เห็นได้ชัดว่าชีวิตของพวกเขามีค่าหรือความหมายน้อยมาก ผ่านไปสักพักเราก็จะรู้สึกเฉยชาเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ จนถึงจุดที่มันเกิดขึ้นในชีวิตจริง มันก็มีผลกับเราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉันจำได้ว่าหลังจากที่ได้เห็นโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตจริง ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกแย่เพียงใดก็ตาม แต่แล้วฉันก็ใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่คิดอะไรเลย

เมื่อฉันนอนอยู่ที่นี่ ในวันสุดท้ายของชีวิต  ฉันสงสัยว่าชีวิตของฉันจะเปลี่ยนไปอย่างไรหากได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่ง " สันติภาพ แสงสว่าง และความรัก " แทนที่จะอยู่ในโลกแห่ง " สงคราม ความมืด และความเกลียดชัง ” และฉันสงสัยว่าโลกจะแตกต่างกันแค่ไหนถ้าเราทุกคนยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้ในกระบวนทัศน์ของเรา ฉันนอนอยู่ที่นี่โดยจินตนาการว่ากำลังอยู่ในโลกที่ไม่มีสงคราม การขาดแคลนอาหาร ความเกลียดชัง หรือความกลัว ที่ซึ่งเรามีความห่วงใยซึ่งกันและกันมากกว่าเพื่อตัวเอง โลกที่ความเมตตาและความรักหมายถึงไม่มีใครหิวโหย หรือไร้ที่อยู่อาศัย หรือตายโดยไม่จำเป็น ที่นี่ความโลภจะไม่ครอบงำชีวิตของเราอีกต่อไปแต่จะถูกแทนที่ด้วยความรัก ฉันเริ่มเข้าใจทั้งหมดนี้และอีกมากมาย ฉันรู้ ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใน "วันนี้" ได้ ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น  เทคโนโลยีมีอยู่ " ในขณะนี้ " นั้นจะมีไว้เพื่อขจัดภัยพิบัติเหล่านี้ออกจากโลกของเรา สิ่งเดียวที่เราจะป้องกันคือความโลภและความเห็นแก่ตัวของผู้ที่ถือว่าความมั่งคั่งสำคัญกว่าคน

ฉันกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ในวันนี้เพื่อให้คุณรู้ว่าในที่สุดฉันก็เข้าใจสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิต ความหวังของฉันคือถึงว่าแม้ว่าชีวิตของฉันจะล้มเหลวผ่านการดำเนินชีวิตอย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แต่คุณจะไม่ทำผิดพลาดและการเลือกแบบเดียวกับที่ฉันเลือก ฉันภาวนาขอให้การแบ่งปันเรื่องราวของฉัน และสิ่งดีๆบางอย่าง ที่ได้จากชีวิตของฉันนี้ช่วยกระตุ้นให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตได้อย่างเติมเต็ม สร้างโลกแห่ง “ ดินแดนสุขารมณ์ ” ตามที่โพธิบอก ถึงแม้ว่าจะเป็น วันสุดท้ายที่ฉันจะมีชีวิตอยู่ ก็ตาม

แหล่งกำเนิด

แหล่งกำเนิด คือโลกที่คนส่วนใหญ่ “หลับใหล”

ใช้ชีวิตใน “ความจริง” ที่ได้เรียนรู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นความจริง

ผู้ที่ยังคงหลับใหลตลอดชีวิต

แสวงหาสัจธรรมในโลก เชื่อในสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งสอนมา

ว่าเมื่อโตขึ้นจะนำมาซึ่งความหมายและความสุข

แต่ “ไม่ได้เป็นเช่นนั้น”.

เมื่อเรา “ตื่นขึ้น” ครั้งแรก เราเริ่มตั้งคำถามว่าความเชื่อนั้นถูกต้องหรือไม่

แม้ว่าชีวิตเราจะ “ประสบความสำเร็จ” มาเพียงใด

แต่เรากำลังสัมผัสได้ถึง “เสียง” ที่เราเริ่ม “ได้ยิน” ภายใน

บรรทัดฐานที่เราเคยเรียนรู้และยอมรับว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ "สมเหตุสมผม" กับเราอีกต่อไป

“เสียง” ที่เราได้ยินนั้น บอกเราถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

ความหวัง ความเสมอภาค การช่วยเหลือผู้อื่น และค่านิยมการดูแลเชิงบวกอื่นๆทั้งหมด

ได้ถูกแบ่งปัน "อย่างเสียสละ" ให้กับคนอื่นๆทั้งหมด

แหล่งกำเนิดที่เราเคยเข้าใจและยอมรับว่าเป็นความจริงของเรา

เริ่มลบเลือน และออกไปจากโลกที่เราไม่รู้จัก

โลกที่ “ความรัก” (จิตวิญญาณ) อยู่เหนือ “ความกลัว” (อัตตา)

และแทนที่จะแข่งขันกันเอง

เพื่อความอยู่รอดในโลก

เราปรารถนาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันแทน

การใช้ชีวิตในโลกเช่นนี้เป็นไปได้

เพียง "ฟัง" เสียงที่คุณ "ได้ยิน" ภายใน

เปิดใจของคุณเพื่อรับข้อเสนอของชีวิตที่เป็นไปได้

ปล่อยให้แหล่งกำเนิดของคุณมลายหายไป

เพื่อเปิดเผย “จุดประสงค์ของชีวิต” ที่แท้จริง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status