Share

บทที่ 7 ชีวิตในช่วงวัยผู้ใหญ่ของฉัน

บทที่ 7

ชีวิตในช่วงวัยผู้ใหญ่ของฉัน

ลังจากที่ฉันเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ฉันไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะในขณะนั้น ฉันได้แสดงภาพยนตร์มาแล้วถึงสามเรื่องและกำลังเป็นนักแสดงที่มีฝีมือคนหนึ่ง ประสบการณ์ทั้งหมดที่ฉันมีตั้งแต่ยังเด็กจากการสวม " หน้ากาก " เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงจากผู้อื่นนั้น ช่วยให้ฉันแสดงเป็นคนอื่นได้ง่ายขึ้น ฉันสามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ตามต้องการอย่างที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ โดยรู้สึกว่าฉันต้องพยายามอย่างหนักแต่อย่างใดเลย ฉันซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ได้เก่งมากเพราะได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติมานานแล้วจาก “ การปกปิด ” ความรู้สึกที่แท้จริงจากทุกคนรอบตัวฉัน

เนื่องจากผู้ชายทุกคนมองว่าฉันสวย ดังนั้นฉันจึงไม่เคยขาดคู่เลย ในที่สุดฉันก็ได้แต่งงานถึงสี่ครั้งและมีลูกทั้งหมดสามคน เช่นเดียวกับพ่อแม่ของฉัน ตัวฉันเองยุ่งมาก ยุ่งเกินกว่าที่จะใช้เวลากับลูกๆ และเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของฉันทำ ฉันได้จ้างพี่เลี้ยงเต็มเวลาเพื่อมาดูแลลูกๆ และจ้างแม่บ้านเพื่อทำอาหารและทำความสะอาดบ้านเนื่องฉันมักจะทำงานนอกบ้านซะเป็นส่วนใหญ่

แม่บ้านของฉันชื่อเชอริช เธอเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ ผิวคล้ำ มาจากครอบครัวแอฟริกา มีลูกสี่คนอยู่ที่บ้าน และต้องขึ้นรถบัสสามต่อเพื่อมาที่บ้านของเรา เธอใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการเดินทางจากบ้านกว่าจะมาถึงบ้านของเราที่อยู่ในย่านหรู แต่เธอก็ไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง เราจ่ายค่าจ้าง 10 เหรียญต่อชั่วโมงให้เธอตามที่ฉันคิดว่าเป็นค่าจ้างที่ยุติธรรมแล้ว

เชอริชมักจะยิ้มและมีความสุขอยู่เสมอ เธอจะร้องเพลงแอฟริกันพื้นเมืองในขณะที่เธอทำงานไปด้วย และมีคำพูดที่ดีที่จะพูดกับทุกคนในครอบครัวของฉันเสมอ เด็กๆ ต่างก็รักเชอริชมาก เธอจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกับพวกเด็กๆหลังเลิกเรียนและเล่าเรื่องในแอฟริกาให้ฟัง เมื่อพวกเขายังเล็ก เธอจะนั่งบนเก้าอี้โยก อุ้มพวกเขาไว้บนตัก และร้องเพลงของเด็กแอฟริกันที่เธอได้เคยร้องเมื่อตอนเป็นเด็กให้พวกเขาฟัง

ในอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นฉันได้รู้จักเชอริชมากขึ้น เธอบอกฉันว่าชีวิตในแอฟริกาที่เธอเติบโตขึ้นมานั้นช่างยากลำบากมาก มักขาดแคลนอาหารอยู่เสมอ เสื้อผ้าของเธอเก่าและขาดรุ่งริ่ง ส่วนครอบครัวของเธนั้นประกอบด้วย พ่อ แม่ และพี่น้องอีกสี่คน ทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆที่มีหลังคามุงจาก และมักจะรั่วทุกครั้งที่ฝนตก พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งน้ำประปาหรือห้องน้ำใช้

แม้จะเจอเรื่องเหล่านี้ แต่เชอริช กลับมีแต่ความทรงจำที่ยอดเยี่ยมในขณะเธอที่เติบโตขึ้นมา เธอมาที่สหรัฐอเมริกาเมื่ออายุ 19 ปี แต่งงาน และมีลูก 4 คนในเวลาอันรวดเร็ว สามีของเธอทำงานเต็มเวลาด้วยค่าแรงขั้นต่ำ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ได้มีเงินมากมายอะไรนัก เธอเช่าอพาร์ทเมนต์ที่มี 2 ห้องนอนเล็กๆ ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันทั้ง 6 คน และลำพังเพียงค่าเช่าก็ใช้เงินเกือบครึ่งของที่สามีเธอหาได้แล้ว

แต่มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับเชอริช เธอมีความสุขและเป็นความสุขที่แท้จริง เธอมักจะพูดกับสามีและลูกๆของเธอด้วยความรัก และดูเหมือนว่าจะมีแสงออร่าเล็ดลอดออกมารอบตัวเธอตลอดเวลา ฉันรู้สึกว่ามันเปล่งประกายมาก เธอไม่เคยรู้สึกเสียใจกับตัวเองเลย ไม่ว่าเธอจะเติบโตขึ้นมาอย่างไร หรือตลอดชีวิตของเธอในตอนนี้จะเป็นอย่างไร แม้ว่าเธอจะมีเงินเพียงเล็กน้อย แต่เธอกลับมีแต่ความสงบสุข วิธีที่เธอพูดถึงครอบครัวของเธอนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความรักแบบไม่มีเงื่อนไขมอบให้กันและกัน และเธอก็รักครอบครัวและเพื่อนฝูงที่อยู่ในแอฟริกาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน

คนที่ไม่มีทุกอย่างเหมือนที่ฉันมีจะมีความสุขและมีความรักมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เพราะฉันเข้าใจว่าการมีวัตถุสิ่งของหลายอย่างนั้นจำเป็นต่อการมีความสุข ถึงแม้ว่าเธอจะเติบโตมาในคองโก แต่สภาพความเป็นอยู่ของเธอที่นี่ กับการมีเงินเพียงน้อยนิดสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกถึงหกคนนั้น กลับทำให้เธอเต็มไปด้วยความสุขและความรักสำหรับทุกคน เป็นไปได้หรือที่คุณเป็นคนจน ต่างเชื้อชาติ ไม่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังมีความสุข และรู้จักความรัก เป็นเวลาหลายปีที่ฉันไม่สามารถเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ได้เลยว่ามันจว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตฉันก็เข้าใจในที่สุด

ตรงกันข้ามกับฉันที่จะดื่มและใช้โคเคนตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกระทั่งเข้านอน ฉันชอบความรู้สึกเคลิ้มเพราะมันทำให้ฉันมึนเมาจนลืม ความรู้สึกหดหู่และเศร้าโศกอย่างรุนแรงในชีวิตได้ ถ้าฉันเอาแต่ยุ่งอยู่กับงาน ดื่มแอลกอฮอร์ เสพยา และมีเซ็กส์ จะทำให้ฉันก็ไม่ต้องคิดหรือเผชิญหน้ากับสาเหตุของภาวะซึมเศร้าและความทุกข์ได้โดยตรง ฉันจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างที่พ่อกับแม่เคยทำมา นั่นก็คือทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายและปาร์ตี้อยู่ตลอด แต่ถ้าเมื่อใดที่ฉันไม่ยุ่ง ภาวะซึมเศร้าของฉันก็จะแย่ลง และบ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

ในช่วงเวลานี้ ฉันซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีสระว่ายน้ำพร้อม มีรถสปอร์ตหลายคัน และทรัพย์สมบัติทางวัตถุที่ดีที่สุดที่เงินสามารถซื้อได้ ฉันรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ฉันมีความสุข ฉันเดินทางไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพื่อทำงานเท่านั้น แต่เพื่อความสนุกในชีวิตด้วย ฉันไม่ค่อยอยู่คนเดียวเพราะฉันรู้จักผู้คนมากมาย และมีกลุ่ม "เพื่อน" ด้วยเช่นกัน ชีวิตฉันในช่วงนี้ช่างดีเหลือเกิน

ภาพยนตร์หลายเรื่องที่ฉันแสดงมักจะพาฉันไปยังสถานที่แปลกใหม่ทั่วโลก ที่นั่นฉันพบผู้คนมากมาย ปาร์ตี้กันทุกคืน ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก และเสพยาทุกวัน ฉันไม่ค่อยได้นอนคนเดียวและแทบไม่เคยนอนกับคนเดิมเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทุกคนเห็นคือผู้หญิงที่มีความสุข เซ็กซี่ มั่งคั่ง รักสนุก และยิ้มแย้มตลอด ฉันใช้ "ชีวิตสำหรับปาร์ตี้" เสมอ “ หน้ากาก ” ที่ฉันสวมนั้นประสบความสำเร็จอย่างมากในการซ่อนความเจ็บปวดและภาวะซึมเศร้าที่มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วฉันรู้สึกอย่างไร อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ฉันมีชื่อเสียงและมั่งคั่ง ฉันมี ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ อย่างมาก

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงรู้สึกหดหู่ โดดเดี่ยว และไม่มีความสุข ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังที่ฉันเฉิดฉายไปทั่วโลกนั้นจริงๆแล้วฉันกำลังเศร้า มันช่างไม่สมเหตุสมผลกับฉันเอาเสียเลย ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวได้อย่างไรทั้งที่ยังถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาก และฉันหดหู่และไม่มีความสุขได้อย่างไรในเมื่อฉันร่ำรวยขนาดนี้

มีหลายครั้งนับไม่ถ้วนที่ฉันต้องการยุติความเจ็บปวดที่ไม่มีทางบรรเทาได้ที่มันรู้สึกอยู่ภายในใจของฉัน ฉันเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ก็จะมีบางอย่างในตัวฉันที่ขัดขวางไม่ให้ฉันทำเช่นนั้น และฉันก็ได้รู้ในภายหลัง ในวันสุดท้ายของชีวิต ว่าบางสิ่งที่ว่านี้คือ โพธิ นั่นเอง อย่างไรก็ตามเขาได้ให้ความหวังแก่ฉันอย่างทันท่วงที แม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่หลัง กำแพง ที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ภายในหัวใจของฉันเอง ผู้ที่ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่ประสบและเลือกที่จะจบชีวิตลงมักจะไม่ "ได้ยิน" เสียง ดวงจิต ของพวกเขาในช่วงเวลาสุดท้าย และน่าเสียดายที่หลายคนเลือกเส้นทางนี้

หากคุณเคยสงสัยว่าคนที่รวย มีชื่อเสียง หน้าตาสระสวย และดูเหมือนจะมีทุกอย่างจะฆ่าตัวตายได้อย่างไร ตอนนี้คุณได้คำตอบแล้ว เป็นเพราะว่าชีวิตเราขาดความหมาย ทำให้เราหดหู่และไม่มีความสุขอย่างรุนแรง เรามองหาความหมายในโลกผ่านการอยู่กับคนอื่น แต่สุดท้ายกลับไม่พบความหมายที่เรามองหา เราจึงเกิดความสับสน ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้บอกเราว่าเราควรจะมีความสุขแต่เราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

ขณะที่ฉันกำลังค้นหาความจริงของชีวิตก่อนที่ฉันพร้อมจะตาย เราไม่มีความสุขเลยเพราะเราแสวงหาความสุขผิดที่ คำตอบของชีวิต ที่นำไปสู่ความหมายและความสุขนั้น สามารถพบได้ในหัวใจของเราเอง ที่ซึ่งดวงจิตของเราดำรงอยู่ และไม่อาจพบได้ในที่อื่น เพียงแค่แบ่งปันความรักของเราอย่างไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่แค่กับคนใกล้ตัวเท่านั้น แต่กับคนอื่นๆด้วย แล้วเราจะพบสิ่งที่เราค้นหามาตลอด อุปสรรคมากมายที่ อนัตตา สร้างขึ้น รวมทั้ง หน้ากาก และ กำแพง  ทั้งหมดที่เราได้ เรียนรู้ และยอมรับว่าเป็นความจริงมาตลอดชีวิตนั้นทำให้เราสับสน และทำให้เราเดินตามทางผิดตลอดมา

เมื่อฉันเดินทางไปทั่วโลกฉันเห็นความยากจนและการดิ้นรนสุดขีดที่หลายคนเผชิญตลอดชีวิต ฉันเห็นเด็กตายจากความอดอยากและความเจ็บป่วยที่ปกติเราสามารถรักษาให้หายได้ พวกเขายากจนเกินกว่าที่จะสามารถซื้ออาหารหรือยารักษาโรค แต่คนยากจนและเด็กเหล่านี้หลายคนดู "มีความสุข" ฉันไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาจะรู้สึกปีติได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีเงินหรือมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย ชีวิตของพวกเขาต่างก็ล้มเหลว ฉันแค่ดีใจที่ชีวิตของฉันไม่ได้เป็นแบบพวกเขา เพราะฉันร่ำรวย มีชื่อเสียง และเซ็กซี่ ดังนั้นฉันจึงรู้ว่าฉันกำลัง ประสบความสำเร็จ อย่างมากในชีวิต

ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ฉันแสดงจะต้องไปถ่ายทำอยู่ในแอฟริกา เมื่อเห็นว่าผู้คนในแอฟริกามีฐานะยากจนเพียงใด ความหิวโหย ความเจ็บป่วย ความกลัว ความตายจากสงคราม และการต่อสู้ดิ้นรนอื่นๆอีกมากมายที่พวกเขาเผชิญอยู่ทุกวันนั้น ทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่ฉันมี ในกองถ่าย เราใช้ชีวิตอย่างหรูหราเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ฉันได้เรียนรู้ตอนเป็นเด็กว่าไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อื่นให้ดีขึ้น ดังนั้นเช่นเดียวกับที่ทุกคนรอบตัวฉันทำ ฉันจึงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งที่เห็นเช่นกัน

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันพบขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในแอฟริกา เธอชื่อ " สลามะ " ซึ่งเป็นชื่อแอฟริกันที่แปลว่า " สันติภาพ " สลามะอายุ 10 ขวบ มีความสุขและมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เธอยังพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีอีกด้วย สลามะก็เหมือนกับเด็กๆ คนอื่นๆจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ และมักจะเข้ามาดูอยู่บ่อยครั้งเพราะเราถ่ายทำกันทุกวัน เธอหลงใหลในทุกสิ่ง และวันหนึ่งระหว่างที่รอถ่ายทำฉากใหม่ ฉันได้พบเธอขณะที่กำลังเดินกลับไปที่รถเทรลเลอร์เพื่อพักผ่อน

สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจที่สุดคือรอยยิ้มของเธอและ "ออร่า" ที่เปล่งประกายออกมาอยู่รอบตัวเธอให้ทุกคนได้เห็น ไม่เพียงแค่ดูมีความสุข แต่เธอก็ดูสงบด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉัน ไม่เคย รู้สึกเลยตลอดทั้งชีวิต ฉันอยากรู้ว่าคนที่ยังเด็กและยากจนขนาดนี้จะมีความสุขและสงบได้อย่างไร เธอดูไม่มีอะไรเลย สวมชุดเก่าขาดๆ และรองเท้าแตะที่ไม่ใช่คู่ของมัน

ขณะที่เราใช้เวลาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่สองสามเดือน ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น เราพูดคุยกันเยอะมาก และสลามะ ก็ได้เรื่องของเธอ ครอบครัวของเธอ และชีวิตของเธอในหมู่บ้านใกล้เคียงที่เธออาศัยอยู่ให้ฉันฟัง สลามะอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ ปู่ พี่สาวสองคน และน้องชายในกระท่อมหลังเล็กๆที่ใหญ่พอจะให้ซุกหัวนอนตอนกลางคืน พ่อแม่ของเธอทำงานอย่างหนักมากในการพยายามหาเงินให้เพียงพอเพื่อซื้ออาหารกินและเสื้อผ้าใส่เพื่อปกป้องพวกเขาจากสภาพอากาศ เห็นได้ชัดว่าสลามะรักครอบครัวของเธอมาก

วันหนึ่งครอบครัวของเธอชวนฉันไปทานอาหารเย็น เนื่องจากเราพักการถ่ายทำชั่วครู่ ฉันจึงตอบรับคำเชิญของพวกเขาด้วยความยินดี เมื่อเราไปถึงหมู่บ้านของเธอ สิ่งแรกที่ทำให้ฉันประทับใจคือความสุขของทุกคนในหมู่บ้านที่ได้พบฉัน พวกเขาทั้งหมดยิ้ม หัวเราะ และเข้ามาต้อนรับฉันอย่างดี หมู่บ้านมีขนาดเล็กและมีกระท่อมประมาณยี่สิบหลัง กระท่อมแต่ละหลังมีขนาดเล็กเช่นกัน และบางหลังดูเหมือนจะต้องการการซ่อมแซม

ครอบครัวของสลามะนั้นยอดเยี่ยมมาก พวกเขาทักทายฉันด้วยความยินดี เข้ามากอดฉันขณะที่ฉันเข้าไปในกระท่อมของพวกเขา ฉันสงสัยว่าคนเจ็ดคนสามารถอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย อาหารมื้อเย็นประกอบด้วยอาหารแอฟริกันแบบดั้งเดิมที่เรียกว่าชากะลากะ เป็นผักที่ทำจากหัวหอม มะเขือเทศ พริก แครอท ถั่ว และเครื่องเทศที่ปลูกเองในสวนเล็กๆ เรายังมีหัวนมซึ่งคือโจ๊กชนิดหนึ่ง เป็นอาหารประเภทแป้งที่ทำจากข้าวโพดขาว คล้ายกับปลายข้าวที่ฉันกินในภาคใต้ ช่างเป็นอาหารที่อร่อยมาก ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้มารู้จักครอบครัวแอฟริกันดั้งเดิม และได้ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา

แม้ว่าปู่ของสลามะจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่คนอื่นๆ ในครอบครัวสามารถพูดได้ สิ่งที่ฉันจำได้มากที่สุดจากอาหารเย็นมื้อนี้คือความสุขและความสง่างามที่พวกเขาทั้งหมดมี แม้ว่าพวกเขาจะมีอาหารหรือทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลยสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ได้เข้าใจถึงเรื่องความสำเร็จในชีวิต ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเงินทองหรือมีสิ่งดีๆมากมาย แต่ความปิติยินดีของพวกเขาปรากฏออกมาล้วนแล้วแต่เป็น "ของจริง" และมาจากใจของพวกเขา มันดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับฉันเอาเสียเลย เพราะสำหรับบฉันแล้วความสำเร็จมาจากเงินและการมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเท่านั้น

ตามที่ฉันรู้จาก โพธิในวันสุดท้ายของชีวิต  ครอบครัวของ สลามะ  มีความสุขเพราะพวกเขาไม่มี กำแพง หรือ หน้ากาก ปกปิดตัวตนที่แท้จริง พวกเขาคือของแท้ พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ว่าความสำเร็จในชีวิตถูกกำหนดด้วยรูปลักษณ์ ความมั่งคั่ง และทรัพย์สมบัติ

แต่พวกเขากำหนด ความสำเร็จด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป สำหรับพวกเขาแล้ว ความสำเร็จคือการได้อยู่ด้วยกัน มีอาหารเพียงพอ มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ มีที่หลบภัยจากเหตุการณ์ร้ายต่างๆ และแบ่งปันความรักในชีวิตให้กันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว  พวกเขาเข้าใจว่านี่คือ "ความหมายของชีวิต"

เนื่องจาก อนัตตา ไม่ได้สอนสิ่งอื่นใดในโลกที่กำหนดความสำเร็จให้แก่พวกเขา พวกเขาจึงไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ชีวิตของพวกเขาแม้จะเรียบง่าย แต่ก็มีความสุขอย่างแท้จริง เพราะ พวกเขานิยามความสำเร็จว่ามาจากภายในใจ มากกว่าที่จะมาจากสิ่งที่พวกเขาสามารถซื้อหรือหาได้ในโลก  ด้วยความเรียบง่ายนี้ทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเราหลายคนต้องดิ้นรนเพื่อค้นหาอะไรในทุกๆวัน พวกเขารู้ว่า ความสุขและความหมายไม่ได้มาจากทุกสิ่งที่เราคิดว่ามาจากโลกภายนอก แต่มาจาก "ภายใน" จากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่เราแบ่งปันให้กันมากกว่า

ฉันยังเห็นสัตว์ป่าหลายชนิดในช่วงหลายเดือนนั้นในแอฟริกาอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่ฉันสามารถมองเข้าไปในดวงตาของพวกมันได้ ฉันจะ " สัมผัส " ถึงดวงจิตของพวกมันได้เช่นกัน ตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ว่าสัตว์ต่างก็มีดวงจิตเหมือนกันกับเรา หากคุณเคยมีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือสุนัข คุณจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง และนี่ต้องทำให้เราทุกคนหยุดคิด

ฉันสงสัยว่าสัตว์ที่ฉันเห็นมีความรู้สึกและแสวงหาความรักเหมือนที่เราทำหรือไม่ แต่ฉันเชื่อว่าพวกมันต่างก็มีความรู้สึกและแสวงหาความรักเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเห็นความผูกพันระหว่างแม่กับลูกของสัตว์ปะเภทต่างๆ ฉันเห็นแม่ยอมมอบชีวิตให้กับผู้ล่าเพียงเพื่อช่วยลูกของพวกมันให้หนีรอดไปได้ ลองนึกดูว่าต้องมี “ดวงจิต” กี่ดวงหากสัตว์แต่ละตัวมีต่างก็มีดวงจิตเหมือนกัน และถ้าเราเชื่ออีกว่าพืชก็มี "ดวงจิต" เช่นกัน เนื่องจากพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วล่ะก็ ตัวเลขนี้ก็จะมากมายนับไม่ถ้วน เราทุกคนไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ต่างก็แสวงหาสองสิ่งนั่นก็คือ ความรักและความเป็นเพื่อน ฉันเข้าใจสิ่งนี้ในขณะที่สังเกตฝูงสัตว์ที่เดินทางและอาศัยอยู่ร่วมกัน รวมถึงการขยายพันธุ์มากมายในอาณาจักรสัตว์ มันทำให้ฉันรู้ว่าเราทุกคนไม่ได้แตกต่างจากพวกมันเลย

สิ่งที่ฉันรู้ด้วยเช่นกันว่าเป็นความจริงนั้น แม้ว่าฉันจะใช้ กำแพง และ หน้ากาก ก็ตาม ฉันพบว่าการทำงานหลายอย่างเป็นการบำบัด ยังมีอีกหลายคนที่เป็น “คนบ้างาน” เราทำงานหนักไม่เพียงแค่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่ทำให้เราไม่มีเวลาเหลือที่จะเผชิญกับอดีตหรือความทุกข์ของเราต่างหาก เช่นเดียวกับที่ฉันเป็น หากคุณไม่มีเวลาว่าง คุณก็จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่อยู่ในตัวคุณเช่นกัน เราโน้มน้าวใจตัวเองว่าเราต้องทำงานหนักจึงจะประสบความสำเร็จ แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของความสำเร็จของคุณเอง หากความสำเร็จของคุณเหมือนกับที่ฉันเป็นอยู่ ฉันรับรองได้ว่า คุณจะไม่มีวันค้นพบมันได้ ไม่ว่าคุณจะทำเงินหรือมีทรัพย์สินทางวัตถุมากเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ตามหากคุณได้เรียนรู้สิ่งที่สลามะ และครอบครัวของเธอรู้อยู่แล้ว ว่าความสำเร็จนั้นเกี่ยวข้องกับเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับอย่างอื่นมากกว่า แล้วคุณอาจจะรู้สึกแตกต่างออกไป ความสำเร็จสำหรับพวกเขาคือการสามารถเป็น " ตัวตนที่แท้จริง " ของตัวเองได้ ซึ่งปราศจากมลทินจากชีวิตที่เบี่ยงเบนความสนใจมากมายในแต่ละวัน แม้ว่าฉันจะ “ประสบความสำเร็จ” ตามที่สังคมกำหนดและจากทั้งหมดที่ฉันได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วสลามะและครอบครัวของเธอที่มีเงินหรือทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยกลับประสบความสำเร็จมากกว่าที่ฉันเป็นอยู่เสียอีก สำหรับพวกเขาความสำเร็จถูกกำหนดโดยเกณฑ์ที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านั้นคือความรักและความเคารพที่แท้จริงที่พวกเขามีต่อตนเอง ต่อกันและกัน และต่อทุกชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจ ความหมายที่แท้จริงของชีวิต ได้ดีกว่าที่ฉันเคยเป็นมา

มีภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันแสดงตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพการแสดง มันทำให้ฉันตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่ฉันได้รับการสอนมาเช่นกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างในสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ในเขตสงวนซึ่งพวกเขาได้ถูกส่งให้ไปอยู่ที่นั่น เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ฉันเคยเล่นตอนอายุ 17 ปี บทบาทที่ฉันเล่นคือบทบาทของเด็กสาววัยรุ่นที่พ่อแม่ถูกฆ่าตาย ฉันถูกลักพาตัวและไปอาศัยอยู่กับกลุ่มชนพื้นเมืองลาโกตาใน นอร์ทดาโคตา ตอนแรกฉันได้รับการปฏิบัติที่แย่มาก โดยเฉพาะจากผู้หญิงอเมริกันพื้นเมือง แต่ในท้ายที่สุดหลังจากอยู่ที่นั่นมาหลายปี ฉันก็ได้พบและแต่งงานกับนักรบ และค่อยๆได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในนักรบของพวกเขา

เหตุผลที่ฉันเล่าเรื่องนี้เพราะมีหลายอย่างที่เราเรียนรู้ได้จากความเชื่อของคนที่มีความภาคภูมิใจเหล่านี้ ชาวลาโกตาเชื่อว่าสัตว์ พืช และมนุษย์ล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน หรือกำเนิดมาจากพระแม่ธรณี สัตว์ได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกันกับมนุษย์ แน่นอนว่าพวกเขาถูกล่า แต่สำหรับเพื่อนำมาเป็นอาหารเท่านั้น และผู้ล่ามักจะขออนุญาตจิตวิญญาณของสัตว์ก่อนเสมอ พวกเขายังเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด รวมทั้งมนุษย์มีดวงจิตหรือ “ จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ” เป็นของตัวเอง และดวงจิตนี้มาจากแหล่งสากลแห่งเดียวที่เรียกว่าจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่หรือ “วากัน ทังกะ” ในที่สุดฉันก็สามารถชื่นชมสิ่งเหล่านี้ได้ ในวันสุดท้ายของชีวิต  มีสิ่งมากมายที่เราทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการปฏิบัติตามความเชื่อและประเพณีมากมายของลาโกตา แต่แทนที่จะได้เรียนรู้จากพวกเขา เรากลับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่เพียงแต่ในลาโกตาเท่านั้น แต่รวมถึงชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันอื่นๆทั้งหมดด้วย

ขณะที่ฉันกำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่นั้น “ กำแพง ” ที่ อนัตตา ได้สร้างขึ้นตอนฉันอายุเจ็ดขวบก็หนาและแข็งแรงขึ้น ไม่มีแสงใดจะส่องผ่านทะลุกำแพงได้  มันทั้งตันและทึบ อย่างที่ โพธิ ได้บอกฉันภายหลังในวันสุดท้ายของชีวิตว่าที่ฉันไม่ได้ยินเสียงของเขานั้นเป็นเพราะเขาติดอยู่หลังกําแพงนี้ มีแต่ความเงียบและความมืดอยู่ภายใน เสียงเดียวที่ฉันได้ยินคือเสียงของ อนัตตา “ หน้ากาก ” ที่ อนัตตา สร้างขึ้นเพื่อซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของฉันจากผู้อื่นนั้นยังคงไม่บุบสลาย ถึงแม้ฉันจะคิดว่าฉันรู้ว่ารักคืออะไร แต่ความเป็นจริงแล้วฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันคิดว่าความรักคือสิ่งที่ฉันเห็นในหนัง รักที่สุดแสนจะโรแมนติก ความสัมพันธ์ที่ยาวนานเหมือนอย่างในกรณีของฉันที่แต่งงานมาถึงสี่ครั้ง แต่สุดท้ายแล้วความรักก็จบลงในที่สุด

สำหรับหลายคนที่เกษียณจากการทำงาน จู่ๆ ก็จะมีเวลาว่างและถูกบีบให้ต้อง “คิด” พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามกับทางเลือกมากมายในอดีต เนื่องจากในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็จะได้มีเวลาเผชิญหน้ากับปีศาจเสียที เป็นปีศาจที่พวกเขาหลีกเลี่ยงมาหลายปีจากการที่เอาแต่ยุ่งอยู่กับงาน เมื่อมีเวลาทบทวนชีวิต พวกเขามักจะรู้สึกหดหู่และวิตกกังวล เนื่องจากต้องกลับมาสำรวจ หน้ากาก และ กำแพง ของตัวเองที่พวกเขาสร้างขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อเอาไว้ปกป้องพวกเขาจากความโกลาหลและความเจ็บปวดในการใช้ชีวิตในโลก คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นเดียวกับฉัน พวกเขาจะไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต  และเมื่อนั้นเองพวกเขาอาจเริ่มเข้าใจเช่นเดียวกับที่ฉันเข้าใจแล้วว่าพวกเขาได้เลือกทางผิดมาตลอดชีวิตเช่นกัน

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่รู้ว่าพวกเราหลายคนไม่เคยพบคำตอบเลยจนถึงบั้นปลายของชีวิต เราต้องอดทนต่อความเจ็บปวด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าทุกวัน สิ่งที่ยากที่สุดในการรับรู้เรื่องนี้ก็คือทุกอย่าง ไม่ได้สำคัญอะไรเลย  ชีวิตเราผ่านดำเนินผ่านเราไป กลืนกินเราในความเหงาและความเจ็บปวด เพียงเพราะเราเดินตามทางของ อนัตตา  แทนที่จะไปตามทางที่แท้จริงของ ดวงจิต  มีพวกเรากี่คนที่สงสัยว่า ในวันสุดท้าย เหล่านั้นจะเป็นอย่างไรหากเราสามารถย้อนกลับไปในวัยเด็กเพื่อ "ทำมันให้ดีขึ้น" ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจในวันนี้แล้ว ภาพของชีวิตที่ไม่มี หน้ากาก หรือ กำแพง  รู้ว่าจะหาคำตอบที่เราแสวงหามาก่อนหน้านี้ในชีวิตของเราได้จากที่ไหน รู้เท่าทัน ทุกสิ่งที่เราต้องทำเพื่อตื่นรู้ รู้แจ้ง พบความสงบและความสุขภายในนั้นมาจากการนั่งบนเก้าอี้ที่สบาย หลับตา ทำจิตใจให้สงบ และ “ฟังเสียง”  แต่พวกเราส่วนใหญ่กลับต่อสู้ดิ้นรนมาทั้งชีวิต แสวงหาคำตอบในโลกหรือจากการอยู่ร่วมกับคนอื่น ซึ่งไม่อาจพบความสุขที่แท้จริงได้ ชีวิตที่แสนประหลาดและตลกก็คือเราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพยายามกลับไปสู่ความรู้ที่เราเคยมีก่อนเราเกิด และก่อนที่เราจะเข้าใจทุกสิ่งได้นั้น เราจะต้องไป เรียนรู้ จากผู้อื่นหลังจากที่เราคลอดออกมาจากท้องแม่

ลองนึกถึงว่าคำพูดและการกระทำของเราจะส่งผลต่อชีวิตของทุกคนที่เราโต้ตอบด้วยอย่างไรบ้าง กำแพง ของฉันถูก สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งเมื่อฉันอายุได้เจ็ดขวบ และมันจะมีผลอย่างลึกซึ้งกับฉันไปตลอดชีวิตที่เหลือ ลองนึกภาพว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเราดูแลกันและกันในทุกรูปแบบชีวิตและ โลก ด้วยความเคารพและการดูแลที่เราทุกคนปรารถนาให้เกิดขึ้นกับตนเอง แทนที่จะแข่งขันกันแต่เราจะร่วมมือกัน และแทนที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชังและความกลัวแต่เราจะดำเนินชีวิตด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจกัน

ลองจินตนาการดูสักครั้ง

ฉันอยู่ในความเจ็บปวด

ไม่จำเป็นต้องระบุความท้าทายและโศกนาฏกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมด

ที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้และตลอดอำนาจการปกครองบนโลก

ฉันเจ็บปวดที่ต้องรู้ว่ามีการต่อสู้มากมายที่หลายคนต้องเจอ

ในขณะที่พวกเขาพยายามเอาตัวรอดทุกวัน

ในโลกที่เสื่อมโทรมใกล้จะสูญพันธุ์นี้

ฉันเจ็บปวดเมื่อมองดูใบหน้าที่ปวดร้าวของแม่ ลูก และคนอื่นๆ

การดิ้นรนในโลก "มายา" ที่ให้ความสำคัญกับคนแข็งแกร่งและใจร้าย

และการให้ความสำคัญกับตนเองมากกว่าความต้องการของ "ทุกคน"

ความจำเป็นในการพิสูจน์ความเหนือกว่าของเรา ไม่ใช่เฉพาะกับสายพันธุ์อื่น

แต่สำหรับเราด้วยกันเอง เพียงเพื่อพิสูจน์ว่า "เรา" ดีกว่า

เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เป็นสาเหตุของความเจ็บปวดของฉัน

เมื่อเรา “ตื่นรู้” เราก็เริ่มตั้งคำถาม

หากเส้นทางเห็นแก่ตัวที่เราเดินมาตลอดในชีวิตนั้นถูกต้อง

เราจะ "รู้แจ้ง" ทันทีเมื่อเรา "ยอมรับ" ว่ามันไม่ใช่

เรารู้ดีว่ามันเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดของประสบการณ์มากมายทั่วโลก

เราเปลี่ยนพลวัตได้ด้วยการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง “เท่านั้น”

เส้นทางเผ่าพันธุ์ของเราได้ไล่ตามตั้งแต่เริ่มแรก

โดยการยอมรับและแบ่งปัน

เป็นเส้นทางความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวและมีแต่สันติของดวงจิตภายใน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status