จอมยุทธ์จากสำนักพันเงาสองคนเคลื่อนไหวราวกับใบไม้ที่ล่องลอยไปตามสายลม พวกเขาปลดสลักประตูและกับดักกลไกง่าย ๆ ที่อยู่เบื้องนอกได้อย่างไร้ร่องรอย ประตูไม้หนักอึ้งของหอจดหมายเหตุถูกแง้มเปิดออกอย่างเงียบงัน
ทันทีที่ก้าวเข้าไป อากาศที่เย็นเยียบและกลิ่นอายของกระดาษเก่าแก่หลายร้อยปีก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของทุกคน ภายในนั้นกว้างใหญ่และมืดมิด ชั้นเก็บม้วนคัมภีร์สูงเสียดฟ้าเรียงรายกันเป็นทิวแถวราวกับป่าหินที่ไร้ที่สิ้นสุด ที่นี่เป็นทะเลอักษรที่เก็บซ่อนความลับของราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน
“คดีที่เราต้องการ อยู่ในห้องต้องห้ามที่ลึกที่สุด” จางอู๋จีผู้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีกระซิบนำทาง
ทั้งสี่เคลื่อนที่ไปตามเงามืดอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูเหล็กกล้าบานใหญ่ที่ถูกปิดผนึกไว้ด้วยยันต์อาคม
“ยันต์นี้มีไว้เพื่อตรวจจับพลังลมปราณของผู้บุกรุก” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว นางสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในยันต์ “แต่ข้าพอจะรู้วิธีผ่านมันไปได้”
นางใช้ความรู้ทางการแพทย์ สร้างจุดบอดของพลังลมปราณขึ้นรอบตัวของทุกคนชั่วขณะ ทำให้พวกเขาสามารถ
จอมยุทธ์จากสำนักพันเงาสองคนเคลื่อนไหวราวกับใบไม้ที่ล่องลอยไปตามสายลม พวกเขาปลดสลักประตูและกับดักกลไกง่าย ๆ ที่อยู่เบื้องนอกได้อย่างไร้ร่องรอย ประตูไม้หนักอึ้งของหอจดหมายเหตุถูกแง้มเปิดออกอย่างเงียบงันทันทีที่ก้าวเข้าไป อากาศที่เย็นเยียบและกลิ่นอายของกระดาษเก่าแก่หลายร้อยปีก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของทุกคน ภายในนั้นกว้างใหญ่และมืดมิด ชั้นเก็บม้วนคัมภีร์สูงเสียดฟ้าเรียงรายกันเป็นทิวแถวราวกับป่าหินที่ไร้ที่สิ้นสุด ที่นี่เป็นทะเลอักษรที่เก็บซ่อนความลับของราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน“คดีที่เราต้องการ อยู่ในห้องต้องห้ามที่ลึกที่สุด” จางอู๋จีผู้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีกระซิบนำทางทั้งสี่เคลื่อนที่ไปตามเงามืดอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูเหล็กกล้าบานใหญ่ที่ถูกปิดผนึกไว้ด้วยยันต์อาคม“ยันต์นี้มีไว้เพื่อตรวจจับพลังลมปราณของผู้บุกรุก” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว นางสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในยันต์ “แต่ข้าพอจะรู้วิธีผ่านมันไปได้”นางใช้ความรู้ทางการแพทย์ สร้างจุดบอดของพลังลมปราณขึ้นรอบตัวของทุกคนชั่วขณะ ทำให้พวกเขาสามารถ
ภายหลังจากได้ฟังเรื่องราวของเยว่ฉาน ตู้เยี่ยนอวี่ก็ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง นางตระหนักแล้วว่าศัตรูที่แท้จริงหาใช่บุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งไม่ แต่เป็นดั่งโรคเรื้อรังแห่งความอยุติธรรมที่กัดกินแผ่นดินต้าเฉินมาอย่างยาวนาน องค์ชายจ้าวเฟิงและพรรคเมฆาโลหิตเป็นเพียงเชื้อโรคฉวยโอกาสที่เข้ามาซ้ำเติมในยามที่แผ่นดินอ่อนแอ“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราเพียงแค่ต่อสู้กับอาการของโรค มิได้รักษาที่ต้นตอ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้นในที่ประชุมของเหล่าพันธมิตรในเงามืด แววตาของนางแน่วแน่และเปี่ยมด้วยปัญญา “หากเราต้องการชัยชนะที่แท้จริง เราต้องเปลี่ยนจากการเป็นนักรบมาเป็นแพทย์ผู้รักษาแผ่นดิน”“หมายความว่าอย่างไร?” กู้เหยียนหลงถาม“เราต้องเยียวยาบาดแผลเก่าแก่ที่สุดของแผ่นดิน นั่นคือคดีความที่ไม่เป็นธรรมในอดีต” นางกล่าว “หากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าราชสำนักเคยตัดสินคดีผิดพลาดอย่างร้ายแรง ก็เท่ากับเป็นการสั่นคลอนความชอบธรรมของเหล่าขุนนางกังฉินที่ยังอยู่ในอำนาจ และเปิดทางให้เราสามารถนำเสนอความจริงเกี่ยวกับคดีของพวกเราเองได้”แผนการของนางช่างอาจหาญและลึกซึ้ง มันคือการใช้ความยุติธรรมในอดีต มาเป็นอาวุธในปัจจุบันนายห
คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนั้นทั้งเย็นเยียบและอับชื้น เสียงหยดน้ำที่หยดลงบนพื้นหินเป็นจังหวะเชื่องช้า ช่างเป็นเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ตู้เยี่ยนอวี่ในสภาพที่ร่างกายยังคงอ่อนแอ ต้องมีกู้เหยียนหลงคอยประคอง ค่อย ๆ ก้าวลงมาตามบันไดหินที่สูงชัน นางปฏิเสธคำทัดทานของทุกคนที่ห่วงใยในอาการของนาง เพราะนางรู้ดีว่ากุญแจที่จะไขปริศนาทั้งหมด ถูกขังอยู่ในห้องที่ลึกที่สุดเบื้องหน้า“นางเปรียบดั่งภูเขาน้ำแข็ง” จางอู๋จีกล่าวเตือน “ข้าลองมาแล้วทุกวิธี แต่มิอาจทำให้เปลือกน้ำแข็งนั้นละลายได้แม้แต่น้อย”ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มบาง ๆ “น้ำแข็งที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ย่อมต้องละลายด้วยความอบอุ่นที่เหมาะสมเจ้าค่ะ”เมื่อประตูห้องขังเปิดออก ตู้เยี่ยนอวี่ได้เผชิญหน้ากับเยว่ฉาน นักดนตรีขลุ่ยมายาเป็นครั้งแรกโดยไม่มีม่านลูกปัดขวางกั้น เยว่ฉานนั่งนิ่งอยู่บนเตียงฟาง ดวงตาที่งดงามคู่นั้นจ้องมองมายังนางด้วยความว่างเปล่าและเย็นชา ไม่มีความกลัว ไม่มีความโกรธ มีเพียงความเฉยเมยราวกับว่านางได้ตายไปจากโลกนี้แล้วตู้เยี่ยนอวี่ให้นางกำนัลนำเก
รุ่งอรุณได้ขับไล่ความมืดมิดของรัตติกาลไปจนสิ้น ทว่าไอสังหารและความโกลาหลของค่ำคืนที่ผ่านมายังคงทิ้งร่องรอยไว้ในใจกลางเมืองหลวง ภาพของตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวที่ถูกหามลงมาจากหอชมดาวในสภาพหมดสติ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกคนในวังหลวงหมอหลวงชางและเหล่าแพทย์หลวงต่างวิ่งวุ่นกันราวกับมดแตกรัง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลอย่างสุดซึ้ง“นี่มิใช่บาดแผลทางกาย แต่เป็นภาวะที่พลังลมปราณและแก่นแท้แห่งชีวิตถูกสูบไปจนหมดสิ้น” หมอหลวงชางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาหลังจากตรวจพระอาการขององค์หญิงและชีพจรของตู้เยี่ยนอวี่ “เปรียบดั่งตะเกียงที่ถูกเผาไหม้จนน้ำมันเหือดแห้ง การฟื้นฟูจะต้องใช้เวลายาวนานและต้องอาศัยโอสถทิพย์ล้ำค่าที่สุด”กู้เหยียนหลงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของตู้เยี่ยนอวี่ เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด บัดนี้เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจล้นฟ้า สามารถบัญชาทหารได้นับแสน แต่กลับมิอาจทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือสตรีที่เขารักสุดหัวใจได้เลย ความรู้สึกไร้พลังนี้ช่างกัดกินใจเขายิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับคมดาบนับพันเล่มเขาจ้องมองใบหน้าอันซีดเซียวของนาง
บนหลังคาหอเหมยแดง กู้เหยียนหลงและนักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดยืนประจันหน้ากัน ไอสังหารของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเป็นวังวนที่มองไม่เห็น“ฝีมือไม่เลว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “แต่เจ้าเพียงคนเดียว ย่อมมิอาจหยุดยั้งบทเพลงแห่งหายนะนี้ได้”เพลงกระบี่ของกู้เหยียนหลงรวดเร็วและดุดันดั่งมังกรทะยาน แต่สตรีผู้นี้กลับร้ายกาจกว่าที่คิด นางใช้เสียงขลุ่ยเป็นอาวุธ สร้างคลื่นเสียงที่รบกวนสมาธิและทำให้พลังลมปราณของเขาปั่นป่วน ท่วงท่าของนางพลิ้วไหวไปพร้อมกับเสียงดนตรี ยากที่จะคาดเดาและเข้าจู่โจมได้ในขณะเดียวกัน ณ ยอดหอชมดาว สถานการณ์ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤต!องค์หญิงลี่หัวกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด พลังภายในของนางใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว เสียงพิณสลายมายาเริ่มขาดห้วงและอ่อนพลังลงทุกขณะ ความโกลาหลเบื้องล่างเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง“องค์หญิง! เชื่อใจหม่อมฉัน!” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจในเสี้ยววินาที นางทาบฝ่ามือทั้งสองลงบนแผ่นหลังขององค์หญิง หลับตาลงและโคจรพลังลมปราณทั้งหมดของนาง แต่มิใช่เพื่อค้ำจุน แต่เพื่อหลอมรวมนางใช้สติปัญญาทางการ
หง่าง...ง...ง...เมื่อเสียงระฆังหลวงดังกังวานเป็นครั้งสุดท้าย สัญญาณของการเฉลิมฉลองก็ได้กลายเป็นสัญญาณการเปิดศึกโดยสมบูรณ์จากทุกมุมมืดของเมืองหลวง บนยอดเจดีย์สูง บนหลังคาของจวนขุนนาง และในเงามืดของหอระฆัง เสียงขลุ่ยมายาอันโหยหวนได้ดังประสานขึ้นพร้อมกัน มันมิใช่บทเพลง แต่เป็นคลื่นเสียงที่บิดเบี้ยวและกรีดแทงโสตประสาท มันแทรกซึมเข้าไปในใจกลางของฝูงชนที่กำลังรื่นเริงเบื้องล่าง ปลุกเร้าความก้าวร้าวและความบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเสียงหัวเราะพลันเปลี่ยนเป็นเสียงทะเลาะวิวาท รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกร้าว เมืองหลวงที่เคยสว่างไสวด้วยแสงโคม บัดนี้กำลังจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งความโกลาหล!ทว่า ในขณะที่ตาข่ายเสียงแห่งความคลุ้มคลั่งกำลังจะครอบงำทุกสิ่งณ ยอดหอชมดาวที่สูงที่สุด เสียงพิณกู่ฉินอันใสกระจ่างก็พลันดังขึ้น!ปลายนิ้วขององค์หญิงลี่หัวร่ายรำอยู่บนสายพิณราวกับเซียนธิดาที่กำลังโปรยปรายบุปผาจากสวรรค์ เสียงพิณของนางบริสุทธิ์และสงบนิ่งดุจน้ำพุกลางป่าลึก มันแผ่ขยายออกไปเป็นระลอกคลื่นสีทอง เข้าปะทะและสลายคลื่นเสียงสีดำอันชั่วร้ายของเหล่าขลุ่ยมายาตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่เบื้องหลังอง