คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่า จ้าวเล่อซี คือคุณชายใบ้ผู้มีจิตใจวิปริตบิดเบี้ยว เขาปกปิดใบหน้าตนด้วยหน้ากากสีขาว และคลั่งไคล้การอุ่นเตียง ชายหนุ่มครอบครองคฤหาสน์สัตตบงกชอันกว้างใหญ่ราวกับวังหลวง ด้านในมีเรือนไม้หลังงามสิบสองหลัง แต่ละหลังมีสตรีที่โชคชะตาลิขิตให้ต้องตาย ทว่าพวกนางถูกยื้อชีวิตเอาไว้ และได้รับโอกาสเกิดใหม่ อีกครั้งก็เพื่อเป็นสาวใช้ของจ้าวเล่อซี แล้วถูกฝึกปรือเพื่อทำภารกิจลับให้เขา
View Moreวังหลวงแคว้นชิง ณ ตำหนักของสนมกุ้ยเฟยผิงเสียน
ท้องฟ้าคืนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน อีกทั้งมีฝนตกตั้งแต่เช้า กระทั่งกลางดึกฟ้ายังรั่วไม่หยุด แต่เหนืออื่นใดตำหนักกว้างใหญ่แห่งนี้มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าให้วิตก ด้วยครรภ์ของกุ้ยเฟยผิงเสียนกำลังก่อปัญหาใหญ่ เหล่าหมอหลวงนับสิบชีวิตจึงมีสีหน้าเครียดจัด อีกทั้งจักรพรรดิอี้คังทรงอยู่ที่กำแพงเมืองทางทิศใต้ มีข่าวไม่สู้ดีว่าเกิดกบฏจากฝีมือเกากงกง ผู้เป็นอาของเต๋อเฟยอี้ (สนมเอกลำดับที่สามของจักรพรรดิ) มิหนำซ้ำนางยังเล่นชู้กับจ้าวเทียนฉาง น้องชายองค์จักรพรรดิ!
เรื่องนี้ส่งผลให้กุ้ยเฟยผิงเสียนวิตกหนัก จึงกระทบต่อการคลอดทารก แต่จะไม่ให้นางคิดมากได้อย่างไร ด้วยสามีนางผู้นั่งบัลลังก์แคว้นชิง อาจไม่มีชีวิตกลับมาดูหน้าลูกน้อยผู้ที่จะได้เป็นองค์รัชทายาท!
นางกำนัลที่ใกล้ชิดกุ้ยเฟยผิงเสียน นามว่าเหม่ยหลาน พยายามพูดปลอบคนใกล้คลอด ทว่ายามนี้สตรีแสนบอบบางที่เพิ่งตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกเอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุดและหวีดร้องเสียขวัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อสามเดือนที่ผ่านมา นางเกือบสิ้นชีพเพราะลูกในท้องมาหนึ่งหน ด้วยลื่นล้มที่หอพระกลางวังหลวง สาเหตุเป็นเพราะความริษยาของเต๋อเฟยอี้ ฝ่ายนั้นไม่อาจตั้งครรภ์ท่านอ๋อง และนางคลอดองค์หญิงน้อยออกมาถึงสามพระองค์ ซึ่งทั้งหมดถูกส่งตัวออกไปอยู่นอกวังและมีชาตะชีวิตไม่สู้ดี นอกจากนั้นนางยังก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน ซึ่งล้วนเป็นเหตุให้จักรพรรดิอี้คังทรงกริ้ว ส่วนกุ้ยเฟยผิงเสียนก็เป็นที่โปรดปรานของผู้นั่งบัลลังก์มังกรมากกว่าพระสนมองค์อื่นๆ รวมถึงมเหสีที่นอนป่วยเป็นผักรอวันตาย
กุ้ยเฟยผิงเสียนเป็นหญิงงามล่มเมือง บิดาคือถานปิง เขาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมสามเหล่าทัพ นอกจากนั้นพี่ชายทั้งสองคนยังเป็นกำลังของแผ่นดิน อีกทั้งนางมีพี่สาวที่ตบแต่งกับต่างแคว้น ตอนนี้เป็นถึงจักรพรรดินี!
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังสลับเสียงฟ้าผ่าหลายหน กระทั่งหมอหญิงผู้ทำคลอดต่างมีสีหน้าโล่งใจ เมื่อองค์ชายน้อยประสูติ ทว่าหลังจากเช็ดเนื้อตัวและทำความสะอาดเรียบร้อย หมอหญิงคนดังกล่าวก็ขมวดหัวคิ้วของนางเข้าหากัน พลางจ้องมององค์ชายน้อยที่รูปร่างจ้ำม่ำทั้งที่ยามนี้เขาอ้าปากกว้างคล้ายอยากส่งเสียงร้องแผดจ้า ทว่าอนิจจา ทารกน้อยอ้าปากกว้าง ร่างกายก็ดิ้นปัดไปมา แต่เสียง เสียงร้องของเขาที่แผดลั่นนั้น เหตุใดถึงฟังแล้วน่ากลัวจนชวนให้ขนหัวลุก
“โอ้ กุ้ยเฟย...”
สตรีสูงศักดิ์ที่ยังไม่ทันหายใจได้เป็นปกติด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนางกำนัลคนสนิท ก็ให้รู้สึกร้อนอกร้อนใจ
“เกิดสิ่งใดรึ”
“องค์ชายเพคะ องค์ชายน้อย...มีเสียงที่เอ่อ...”
เหม่ยหลานเอ่ยจบจึงอุ้มทารกน้อยมาให้คนเป็นแม่ดู ผิงเสียนมององค์ชายอย่างพินิจ และใจนางก็เต้นแรงขึ้น
“ลูกข้า... เหตุใดเขาถึงร้องเสียงน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้”
“กุ้ยเฟย อย่าเพิ่งกังวล บางทีอาจมีสิ่งใดติดอยู่ในลำคอองค์ชายก็ได้เพคะ” หมอหญิงเอ่ยจบจึงรับองค์ชายไปดู นางตรวจอยู่นาน หากไม่ปรากฏว่าเขาจะมีสิ่งใดผิดปกติ ดังนั้นใจคนเป็นแม่ถึงได้เหมือนตกอยู่ในกองไฟ
เหม่ยหลานมีสีหน้าไม่สู้ดี นางมององค์ชายแล้วนึกสังหรณ์ใจในทางร้าย กระทั่งเห็นใบหน้านางกำนัลผู้หนึ่ง ซึ่งมองอย่างไรก็ไม่คุ้นตา
“นะ นั่นนางผู้นั้น จงลากตัวมันมาตรงนี้” เมื่อได้ยินเสียงตวาด คนที่ถูกชี้ตัวจึงเตรียมเผ่นหนี ทว่ากลับถูกรวบตัวเอาไว้ทัน
“ฮิๆ ๆ สายเสียแล้ว องค์ชายน้อยได้รับผงหอมเจ็ดสุสาน ชาตินี้เขาไม่มีวันพูดได้เหมือนคนทั่วไป นอกเสียจากจะได้ดูดน้ำหวานจากสตรีที่มีธาตุหยินเข้มข้น และมีเลือดของเผ่าเยว่หลางไหลเวียนอยู่ แต่อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะหาสตรีเช่นนั้นได้ เพราะคนสุดท้ายที่สืบเชื้อสายเผ่าเยว่หลาง ถูกจักรพรรดิอี้คังสั่งตัดหัวไปเมื่อสามวันก่อน!”
เมื่อแพทย์และหมอตำแยฝ่ายในได้ยินเช่นนั้นก็ต่างตกตะลึง ‘ผงหอมเจ็ดสุสาน’ เป็นยาช่วยบำรุงครรภ์ แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลทางร้าย
“ใครใช้เจ้ามา” กุ้ยเฟยผิงเสียนถามสตรีที่ลักลอบเข้ามาด้วยความเจ็บแค้นใจ
“ถ้ากุ้ยเฟยอยากรู้ จงตามไปถามข้าที่นรกเถิด!”
หญิงที่ปลอมตัวเป็นนางกำนัลเอ่ยจบพลันมีน้ำลายฟูมปากนาง ก่อนตามด้วยโลหิตสีดำซึ่งมีกลิ่นเหม็นเน่าคล้ายซากศพพุ่งจากปาก
“ลากตัวมันออกไป แล้วสืบหาความจริงมาให้ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เหม่ยหลานส่งเสียงเฉียบขาด ก่อนหันไปมองที่องค์ชายน้อยและกุ้ยเฟยผิงเสียน
“ต้องมีทางรักษาองค์ชายน้อยเพคะ ขอให้กุ้ยเฟยสบายใจเถิด”
กุ้ยเฟยผิงเสียนส่ายหน้า ยามนี้นางตระหนักถึงความไม่ปลอดภัยจึงเอ่ยว่า “ลูกชายข้าจะอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ไม่ได้ จงส่งสาส์นลับของข้าให้องครักษ์เสื้อแพร แล้วนำไปให้ถึงมือแม่ทัพหยางชิวอย่างเร็วที่สุด และเตรียมรถม้าพร้อมคนของข้าเดี๋ยวนี้”
“หมายความว่าอย่างไรเพคะกุ้ยเฟย”
ริมฝีปากที่ซีดเซียวของกุ้ยเฟยผิงเสียนเม้มชิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงที่ชัดแจ้งหากมั่นคง “ข้ากับองค์ชายน้อยเห็นทีจะอยู่ในวังหลวงไม่ได้ จำต้องรักษาชีวิตรอด และในภายหน้า ข้าจะให้เล่อซีกลับมาทวงบัลลังก์คืนจากพวกกบฏ!”
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
Comments