“ผมว่าคุณโปรดควรคิดให้ดีก่อน” ชายที่มาหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้าปรีดิทาเอ่ยเสียงเรียบ เดาได้ว่าฝ่ายหญิงกำลังคิดทำอะไร ไม่พ้นต่อกรกับราชสีห์ โดยที่หมัดเล็กๆ นั้นไร้พิษสง รังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บยิ่งกว่าเดิมมากกว่า
“ถ้าไม่อยากให้โปรดแจ้งความก็คืนยัยหนูมา” น้ำเสียงของหญิงสาวหนักแน่น ไม่มีแววหวั่นเกรง ดวงหน้าเชิดขึ้นกลบความกังวลที่ผุดขึ้นอยู่ตลอด“คุณท่านคงไม่ทำแบบนั้น” ลูกน้องคนสนิทของหยางจินอย่างตรีบอกเสียงเรียบ เจ้านายของเขาไม่ใช่พวกไก่อ่อน คำขู่เพียงเท่านี้ไม่กระทบกระเทือนแน่
“งั้นโปรดจะแจ้งความถ้าไม่ยอม...” เธอก็ขอทำตามสิ่งที่คิดเอาไว้ แล้วพยายามเอาความมั่นใจเข้าข่ม
“มันไม่ดีกับคุณหนูเลยครับ คุณท่านสามารถทำได้ทุกอย่าง และมันจะเป็นการยื้อให้เรื่องจบยากขึ้นนะครับ ผมว่าคุณโปรดรอคุณไท่ดีกว่าครับ” ตรีเอ่ยบอกแต่ไม่ได้มีท่าทีคุกคาม
ปรีดิทาขบปากฉับพลันเมื่อมีคำว่าลูกมาเกี่ยวข้อง หัวใจของเธอกังวลไปหมด อึดใจนั้นก็ได้ฟังสิ่งที่เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
“อีกอย่างคุณท่านเองก็มีพรรคพวกอยู่มากครับ” มันไม่ใช่คำขู่ เป็นคำเตือนให้คิดดีๆ มากกว่า
คนเป็นแม่รู้สึกโลกทั้งใบมืดลง เธอไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามได้ เพราะไม่อาจคาดเดาคนไร้หัวใจอย่างหยางจิน และเป็นเสมือนการบอกว่าหากเธอดื้อ ลูกสาวอาจจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย
หากเป็นเธอคนเดียวคงก้าวเท้าเข้าไปภายในสถานีตำรวจแล้ว แต่นี่มีชีวิตของลูกเป็นประกัน ตาหลับลงอย่างตัดสินใจ เธอแทบไม่เหลือทางให้เดินเลย“อ้าว สวัสดีครับคุณตรี” ไม่นานก็มีเสียงทักทายดังขึ้น
ตรีหันไปยิ้มให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูก็รู้ว่าทำงานอยู่ที่นี่
“ท่านมาที่นี่หรือครับ มีธุระอะไรทำไมไม่บอกผม”
“ท่านไม่ได้มาด้วยครับ ผมแค่เจอคนรู้จักเลยทักทายกันครับ” ตรีบอกแล้วนิ่งมองปรีดิทา
หญิงสาวเข้าใจความหมายได้ทันทีแบบไม่ต้องอธิบาย ทว่าก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนมือนุ่มจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาโทร.หาทิวัตถ์แทน บางทีเขาอาจจะได้ตัวลูกกลับมาแล้วก็ได้
ไม่นานเท่าไรก็มีเสียงตอบกลับมา แต่ไม่ใช่เสียงของเขา
“สวัสดีค่ะ”
เป็นเสียงของผู้หญิง ปรีดิทาชะงักไปเสี้ยวนาทีก่อนจะตั้งคำถาม
“คุณไท่อยู่ไหมคะ”
“คุณหมอติดเคสอยู่ค่ะ”
คำตอบที่ได้ทำให้คนฟังสะอึก อาการจุกเจ็บขนาบข้างมาพร้อมกัน เขาไม่ได้ไปพาลูกกลับมา แต่เลือกจะไปทำงาน
‘ไอ้คนใจร้าย ใจดำ’
ไม่มีคำใดเหมาะกับทิวัตถ์มากไปกว่าสองคำนั้น น้ำตาเม็ดกลมทำท่าจะรินไหล ความเสียใจ เจ็บปวดพลุ่งพล่าน แต่ต้องประคองตัวเองให้อยู่เพื่อลูก
ปรีดิทารู้ว่าหนทางของตัวเองแคบลงทุกที แต่อย่างไรก็ต้องเดินต่อ
หญิงสาวรีบก้าวเท้าขึ้นรถ เมื่อสิ่งที่จะทำอาจเป็นภัยกับลูกจึงต้องหยุดมันไว้ก่อน แต่ต้องมีสักคนที่ไม่ใช่พรรคพวกของหยางจิน เธอจะไม่ล้มเลิกแน่จนกว่าจะได้ลูกกลับคืนมา แต่ก็จำเป็นต้องเลือกทางที่ปลอดภัยกับลูกก่อน แล้วเอ่ยบอกกับพี่กันต์ให้นำพาไปยังสถานที่หนึ่ง
“หมอไท่อยู่ไหนคะ”
ปรีดิทาปรี่เข้าไปถามหาทิวัตถ์กับนางพยาบาลคนหนึ่งในโรงพยาบาลที่เธอไม่คิดว่าจะเจอกับเขาในตอนที่เธอเหยียบเศษแก้ว เพราะก่อนหน้านี้เขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลที่บิดาของเธอเคยเป็นผู้ดูแล และเธอเองก็ทำที่นั่น
“คุณหมอออกไปทำธุระเมื่อกี้นี่เองค่ะ”
ปรีดิทาหน้าซีดลงเมื่อได้คำตอบ เขาไปแล้ว แต่เธอไม่อาจแน่ใจเลยว่าเขาจะไปที่บ้านของหยางจินหรือไม่ เธอจะรู้คำตอบก็เมื่อไปถึงที่นั่น จึงรีบกลับขึ้นรถตรงไปยังบ้านที่เธอไม่เคยไปเลยสักครั้ง
“โปรดมาพบท่านค่ะ” พอเท้าก้าวไปชิดรั้วเธอก็เอ่ยบอก สายตามองลอดเข้าไปด้านในหวังว่าจะเห็นรถของเขา แต่ก็เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีจริง ส่วนพี่กันต์นั้นเธอให้จอดรถรออยู่ห่างออกไป หากได้ลูกมาแล้วเธอจะหนีในทันที
“ได้ใบหย่ามาไหมครับ ถ้าไม่ได้ พวกเราก็ไม่สามารถให้คุณเข้าไปได้”
คนที่เฝ้าประตูด้านหน้าเอ่ยถามเสียงเข้ม เขาได้คำสั่งกำชับมาแล้วว่าหากไม่มีใบหย่ามา ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านใน
ปรีดิทาเนื้อตัวสั่นด้วยความสิ้นหวัง แต่เธอไม่มีวันยอมแพ้
“หลีกไป โปรดจะเข้าไปหาลูก” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง เธอยอมตายดีกว่าปล่อยให้ลูกอยู่กับผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้น คนที่เธอเคยเจอเขาที่งานศพของบิดา คนที่วางท่า วางอำนาจ และแสดงออกชัดว่าไม่ได้เป็นมิตรกับเธอ
“อย่าดื้อรั้นเลยครับ เพราะคุณอาจจะไม่ได้เจ็บคนเดียว”
“ฮื่อ”
ปรีดิทาปล่อยโฮอยู่ข้างประตูเล็ก ปวดใจที่ได้ฟังคำขู่นั้นซ้ำๆ เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ส่วนคนพวกนั้นมองด้วยสายตาว่างเปล่า
ทว่าไม่ถึงนาทีกลับได้ยินเสียงประตูใหญ่เลื่อนเปิด สายตาหันขวับไปมอง
“คุณไท่”
รอยยิ้มมีหวังปรากฏโดยพลัน เพราะเขามาแล้ว เขามาที่นี่จริงๆ แล้วเห็นรถแอสตันมาร์ตินคันคุ้นตาค่อยๆ ขับเคลื่อนผ่านไป
เธอแอบตั้งความหวัง ทั้งที่ไม่ควรจะหวัง แล้วได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างใจจดจ่อ ขอแค่ได้ลูกคืนกลับมา เธอจะไปทันที
ไปจากที่นี่ ไปจากคนใจร้ายทุกคน
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”