บทที่ 2 จนตรอก
“ถ้าจะมารับเด็กกลับไป แกต้องเอาใบหย่ามาก่อน”
แค่ปลายเท้าเดินเข้าไปหยุดยังโซนห้องรับรองแขก เสียงทรงอำนาจจากปากผู้ชายที่ทิวัตถ์ชิงชังเป็นอันดับหนึ่งก็ดังขึ้น หยางจินนั้นแสดงความต้องการ กรอบหน้าเงยมองลูกชายที่เพิ่งได้คืนกลับมา แล้วเห็นเจ้าตัวมองไปรอบๆ ราวกับมองหาอะไรสักอย่าง
“ไม่ต้องห่วง หนูลลิษดูแลอยู่”
หยางจินเอ่ยบอก เขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงกับจะทิ้งขว้างยัยเด็กตัวเล็กนั่นหรอก ฝ่ายแขกผู้มาใหม่ยังมีสีหน้าราบเรียบวางเฉย ขณะขยับตัวไปพิงกับกรอบประตู มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ
“หนูลลิษพาเด็กนั่นมา ให้พ่อมันเห็นหน้าหน่อย” หยางจินพลิกตัวไปส่งเสียงเรียกอีกหนึ่งคนสำคัญ หลังลูกชายคนเล็กสาดความเงียบเข้าใส่
ดวงตาของทิวัตถ์นั้นเป็นประกายด้วยความคิดถึง ฝ่ายคนมากประสบการณ์ที่มองตามแค่อึดใจก็เริ่มรู้ว่าตัวเองเดินเกมพลาดอย่างแรง เพราะสายตาของบุตรชายไม่ได้อยู่ที่ยัยเด็กตัวเล็กในอ้อมกอด แต่อยู่ที่ลลิษาว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของเขา
“แกไม่ได้อยากได้เด็กนี่คืน แกแค่อยากมาเห็นหน้าลลิษ”
“อื้อ...”
ทิวัตถ์ครางรับ เพราะดูเหมือนว่าผู้ชายที่เขาชังจะเริ่มตีโจทย์ออกแล้ว
“แกมันเลือดเย็นเหมือนใครกัน” หยางจินถามเสียงต่ำ ลูกชายคนนี้ของเขามันเกินความคาดหมาย เป็นเช่นนี้มาตลอด ตั้งแต่ที่มันกับแม่ของมันก้าวเท้าออกไปจากบ้านหลังนี้แล้วไม่หวนกลับมาอีก จนวันนั้น วันที่เขาต้องการมากที่สุด วันที่มันคลานเข่ากลับมาเอง
“ตัวผมคัดลอกดีเอ็นเอมาจากท่าน” ทิวัตถ์ตอบได้โดยไม่คิด เขาจะเหมือนใครไปได้ นอกจากคนที่ทำให้เกิดมาโดยไม่ได้ส่งต่อความรักมาให้ด้วย แม้พูดกับหยางจิน สายตากลับมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขามาตลอด คนที่ไม่รังเกียจ ไม่ทิ้งเขาไปไหน กระทั่งวันที่อีกฝ่ายต้องเลือก
“แต่ฉันไม่ได้เลือดเย็นเหมือนแก” หยางจินเถียง แม้รู้ดีว่าตัวเองไม่ต่างจากคนไร้หัวใจ
“พรากลูกเขามายังกล้าพูด”
คนฟังกลั้วหัวเราะ ตาเลื่อนไปมองหยางจินเพราะอยากให้อีกฝ่ายทบทวนสิ่งที่กล่าวออกมาด้วยว่ามันสวนทางกันแค่ไหน ก่อนจะดึงความสนใจไปอยู่ที่ลลิษาอีกครั้ง มองอยู่ราวสองนาที แล้วเอ่ยออกมาเสียงทุ้มน่าฟัง
“พี่กลับก่อนนะลลิษ”
ทิวัตถ์ทำตามที่พูด ขยับพลิกตัวเดินมุ่งหน้าออกจากบ้าน แม้ได้ยินเสียงเรียกไล่หลังก็ไม่ลดฝีเท้าที่ออกแรง
“หยุด...หยุด”
“ไอ้ไท่”
“เอาเด็กนี่กลับไปด้วย ฉันไม่เลี้ยงให้เปลืองนมเปลืองผ้าอ้อมหรอก”
หยางจินหน้าเสียและเจ็บใจไม่น้อย นึกว่าแผนการจะสำเร็จ ที่ไหนได้เขาอาจจะทำให้ตัวเองมีภาระ แล้วหันไปเอ่ยถามกับคนสนิทอย่างตรีและทศเสียงเข้ม
“เด็กนั่นอยู่ไหน”
“รออยู่นอกรั้วครับท่าน”
“เอาเด็กไปคืน”
“เดี๋ยวลลิษพาไปเองค่ะ”
หญิงสาวที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น สองเท้าก้าวไวๆ ตรงไปหาคนที่เธอมีความห่วงใยให้เสมอมา ปากนั้นออกเสียงเรียกเพื่อหยุดเขาไว้
“พี่ไท่คะ”
แค่เธอเรียก เขาก็หยุดรอ
“พาลลิษไปข้างนอกบ้านหน่อยได้ไหมคะ” ลลิษาไม่ได้ส่งสายตาอ้อน ดวงหน้าเรียบเฉย รู้อยู่ว่าทิวัตถ์ต้องทำให้อย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เคยปฏิเสธเธอเลย
ทิวัตถ์มองลลิษากลับด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่ความอ่อนโยนปรากฏให้เห็น แล้วเดินวนไปเปิดประตูให้ ขณะนั้นเองเสียงของเด็กที่เงียบมานานก็แผดดังขึ้น
แง้งงง
“ไม่ต้องร้องนะคะ เดี๋ยวก็ได้เจอแม่แล้วค่ะ” ลลิษาปลุกปลอบ ตั้งแต่เธอถูกตามให้มาช่วยดูแลแก ก็เพิ่งได้ยินเสียงแกร้อง หรือคงเพราะได้เจอคนสำคัญอีกคนหนึ่งกระมัง
เพียงอึดใจรถแอสตันมาร์ตินก็เคลื่อนตัวออกมุ่งหน้าไปยังรั้วบ้าน แล้วจอดสนิทลงอีกครั้ง สายตาสองคู่เห็นดีว่าร่างหนึ่งรีบถลาเข้ามาหาอย่างเร็วไว
“คุณไท่”
ปรีดิทาปากสั่น สายตาตั้งความหวัง ก่อนจะเห็นคนเปิดประตูลงมา แม้จะเป็นเธอคนนั้น คนที่เธอรู้ว่ามีความสำคัญกับทิวัตถ์ก็ไม่มีเวลาสนใจ เพราะลูกสำคัญกว่า ลำตัวถลาเข้าไปโอบอุ้มลูกที่ถูกส่งต่อมา
“ลูก...หนูปราณ”
แค่ได้กอด ปรีดิทาก็ร้องไห้โฮ รู้สึกคล้ายๆ ได้ยกภูเขาออกจากอก ใบหน้าโน้มลงไปจูบหน้าผากอย่างแสนจะคิดถึงและห่วงหา ส่วนปราณปรียาเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดาเสียงร้องไห้ก็หายไปทันใด
“ขอบคุณนะคะ” ปรีดิทาไม่ลืมขอบคุณลลิษา แม้จะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ด้านในเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเธอก็ได้ลูกคืนกลับสู่อ้อมกอด
ลลิษายิ้มรับ ก่อนโน้มตัวลงไปพูดกับคนในรถ
“พี่ไท่คะ ลลิษฝากพาคุณโปรดไปส่งด้วยนะคะ” เธอไม่ได้รอคำตอบ พลันดึงตัวขึ้นกลับมาพูดกับคนที่เธอไม่ได้สนิทด้วย
“คุณพ่อจะไม่รามือแน่นอนค่ะ คนคนเดียวที่จะปกป้องคุณได้ก็เป็นคนที่คุณคิดว่าจะหนีเขาไป และคุณโปรดคะฝากทำแผลให้พี่ไท่ด้วยนะคะ” ลลิษาเอ่ยบอกราวกับเดาใจปรีดิทาได้ สายตามองไปด้านในรถ มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าวิธีไหนจะทำให้หยางจินพ่าย
หนึ่งในนั้นคือคนที่มีใบหน้านิ่งเรียบราวกับไร้หัวใจ
“ตอนนี้คุณพ่อต้องพึ่งพี่ไท่ค่ะ เขาจะเป็นเกราะกำบังให้คุณโปรดได้” ลลิษายังกล่าวต่อไป
ปรีดิทาเม้มปากแน่น สมองขบคิด หยางจินคงจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ และเขาจะทำทุกทางแน่นอน ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน จนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
ใบหย่า...
เธอหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงยังอยากยื้อไว้ ทั้งที่เธอและเขาถอยห่างออกจากกันราวกับจะอยู่โลกคนละใบอยู่แล้ว ไม่ทันให้คิดอะไรต่อ คำถามห้วนๆ ก็ดังขึ้นให้เธอจับข้อมือของตัวเอง
“ข้อมือไปโดนอะไรมา”
ปรีดิทาก้มหน้าลงมองข้อมือที่มีรอยแผล ในตอนที่เธอรีบร้อนออกจากบ้านของทิวัตถ์ จังหวะหนึ่งเธอได้ล้มลง โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร นอกจากมีรอยถลอกเล็กน้อย ก่อนจะต้องรีบยัดเก็บหัวใจไว้ที่เดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ลลิษ พี่ถาม” ทิวัตถ์เค้นเสียงถามหลังก้าวเท้าลงจากรถเมื่อคำตอบที่ได้เป็นความเงียบ
“ลลิษถูกลอบทำร้ายค่ะ”
“เพราะอะไร”
“พวกมันน่าจะอยากได้ตัวของลลิษ”
ลลิษาจ้องมองไปยังคนที่ห่วงใยเธอ แล้วเห็นความกังวลของทิวัตถ์ชัดเจนจึงต้องเอ่ยออกไป แต่น้ำเสียงค่อนข้างเบา
“ลลิษไม่ได้พลาดหรอกค่ะ พี่ไม่ต้องห่วง แล้วไว้เจอกันใหม่ค่ะ” ลลิษารีบตัดบท ยกยิ้มบอกให้ทิวัตถ์เชื่อมั่นแล้วเดินไวๆ เข้ารั้วบ้านไป
ทิวัตถ์ไม่วายมองตามอย่างกังวลและเป็นห่วงอยู่ราวหนึ่งนาที จากนั้นดึงตาไปสั่งการกับคนที่ยืนนิ่งอยู่
“ขึ้นรถ”
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”