“จับคุณโปรดไว้”
ในทันใดชายอีกสองคนก็เข้ามาล็อกตัวของปรีดิทา ส่วนตรีพยายามแกะมือนุ่มให้พ้นจากเด็กที่กำลังร้องเสียงดัง
แง้งงง
ปรีดิทาปวดหัวใจฉับพลัน เนื้อตัวเริ่มสั่น น้ำตาที่พยายามห้ามไม่ให้อ่อนแอรินไหล เพราะหากเธอยื้อไว้ คนที่จะเจ็บมากที่สุดไม่พ้นลูกสาว ฝ่ายตรงหน้าไม่มีท่าทางจะอ่อนข้อเลยจนสุดท้ายเธอต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือ
“ฮื่อ” ปล่อยทั้งน้ำตา หัวใจนั้นเจียนจะขาด
“ถ้าอยากได้เด็กนี่คืน เอาใบหย่ามา ฉันจะรออยู่ที่บ้าน” หยางจินเหยียดยิ้มเมื่อคนสนิทกลับมายืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับเด็กตัวเล็กที่มีใบหน้าคล้ายลูกชายคนเล็กของเขาอยู่ไม่น้อย
“ในวันหนึ่งคุณจะเป็นคนที่ไม่เหลือใคร” ปรีดิทาพูดออกมาเสียงเย็น เธอไม่ได้สาปแช่ง แต่เชื่อว่าผลกรรมจะทำให้
หยางจินไม่เหลือใครในไม่ช้านี้หรอก
“ฉันจะรอให้วันนั้นมาถึงละกัน” หยางจินนึกตลก คนอย่างเขาไม่มีวันนั้นแน่ แล้วพลิกตัวเดินหายออกจากบ้านไปอย่างเร็วไว เฝ้ารอที่จะได้ตามสิ่งที่ต้องการ แม้รู้ว่าการกระทำของเขาจะมีผลกระทบตามมา เพราะเขากำลังผิดสัญญาชัดเจน
แต่ว่าใครสนกัน ขอแค่ได้ในสิ่งที่หวังก็พอ
ปรีดิทาต้องประคองตัวเองไม่ให้ทรุดลงพื้น เธอไม่มีเวลามาอ่อนแอ เธอต้องไปหาเขาคนนั้น เพื่อทำตามความปรารถนาของหยางจิน
“คุณโปรดเกิดอะไรขึ้นกันคะ แล้วคุณหนูล่ะคะ” นงลักษณ์วิ่งหน้าตื่นเข้ามาภายในบ้าน เธอปั่นจักรยานมาถึงหน้าบ้านตอนที่เห็นรถสองคันขับออกไป รู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น“เขาเอาลูกโปรดไปแล้วค่ะ”
“ใครกันคะ”
“หยางจิน” ปรีดิทาตอบเสียงแข็ง มือยกขึ้นป้ายน้ำตาออกจากดวงหน้า
“พ่อของคุณไท่น่ะหรือคะ แบบนี้มันชุบมือเปิบ ตอนที่คุณโปรดท้องไม่เห็นทางนั้นจะมาเหลียวแล แต่พอหลานคลอดกลับอยากได้ไปเลี้ยงดู” นงลักษณ์ไม่นึกว่าหยางจินจะชุบมือเปิบเช่นนี้ เธอเคยพบหน้าอีกฝ่ายอยู่หนึ่งหน ตอนฝ่ายนั้นโผล่มาในงานศพเจ้านายของเธอ
“เขาไม่ได้เอ็นดูหนูปราณหรอกค่ะ เขาเอาลูกของโปรดไปเป็นข้อต่อรอง” คุณหมอสาวส่ายหน้า ในสายตาของ
หยางจินไม่ได้มีความเอ็นดูแม้แต่เศษเสี้ยว
“ข้อต่อรองอะไรคะ” นงลักษณ์มีความกังวลที่มากขึ้น
“ให้โปรดหย่ากับคุณไท่ค่ะ” ปรีดิทากล่าวชัดเจน หัวใจสั่นและกระตุกอยู่บ้าง แต่เทียบกับเรื่องของลูกไม่ติด และเธอยินดีจะหย่า ยินดีจะตัดขาด แต่เป็นเขาต่างหากที่กักขังเธอไว้
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ เราแจ้งความได้ไหม”
“แม้มันจะยาก แต่โปรดจะทำค่ะ โปรดจะแจ้งความ” คนที่เป็นรองแทบทุกด้านเอ่ยบอก หยางจินนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอำนาจคนหนึ่ง คนที่เป็นเจ้าของท่าเรือขนส่ง เป็นเจ้าของโรงพยาบาล มีหุ้นส่วนธนาคาร และธุรกิจอีกหลายอย่างใน
นามหยางจินกรุ๊ป แต่เธอก็ไม่คิดหวั่นเพื่อลูก
“โปรดจะไปหาคุณไท่ค่ะ”
“ป้าไปเป็นเพื่อนค่ะ”
“ป้านงรออยู่ที่นี่ดีกว่าค่ะ และเก็บกระเป๋ารอโปรด ถ้าโปรดได้ลูกคืนแล้ว เราจะไปจากที่นี่กันค่ะ”
“แต่...ก็ได้ค่ะ ป้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
นงลักษณ์นึกห่วง แต่ก็พร้อมจะทำตามความต้องการ ฝ่ายปรีดิทาสูดอากาศเข้าปอด เธอห้ามอ่อนแอ แม้เส้นทางที่เลือกเดินจะมืดมนก็พร้อมเผชิญ แล้วก้าวไวๆ หยิบกระเป๋าออกจากบ้านไปหาคนที่เธอเคยตกหลุมรัก
ใช้เวลาไปสักพักหนึ่ง รถแท็กซี่มิเตอร์ก็นำพาหญิงสาวไปถึงหน้าบ้านขนาดสองชั้น ที่รั้วสีขาวแบ่งพื้นที่ชัดเจน มือเรียวเล็กกดกริ่งแจ้งบอกถึงการมา
“คุณโปรด” ไม่กี่นาทีเสียงของจารวีหรือว่าเนมก็ดังขึ้นพร้อมก้าวเท้ามาชิดประตูรั้ว อีกฝ่ายเป็นคนที่มีหน้าที่คอยดูแลทุกอย่างภายในบ้าน
“คุณไท่อยู่ไหมเนม” ปรีดิทาตั้งคำถามในสิ่งที่ต้องการ
“อยู่ค่ะ”
จารวีรีบเปิดประตูเชิญคนสำคัญของเจ้านายเข้าด้านใน แล้วเห็นปรีดิทาสืบเท้าไวๆ ตรงไปหาคนที่ต้องการ
“โปรดจะมาหย่าค่ะ” หญิงสาวหยุดเท้าที่ห้องนั่งเล่น พบเขาคนนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ เป็นกิจกรรมที่เขาชอบทำ
เขาหลงใหลในตัวอักษร ครั้งหนึ่งเธอเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาหลงใหล
“เราต้องไปหย่ากันวันนี้เลยค่ะ” เมื่อความเงียบคือสิ่งที่เขาตอบกลับมา เธอจึงย้ำไปอีกครั้ง น้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีแววลังเล
“รอ” เจ้าของบ้านละสายตาจากหนังสือไปเอ่ยคำสั้นๆ คำเดิม
“โปรดไม่อยากรอแล้ว โปรดต้องการหย่าวันนี้ เดี๋ยวนี้”
ดวงหน้าที่มีแต่ความตึงเครียดจดจ้องใบหน้าที่มีความโดดเด่นของคนที่เธอยกใจให้ไปทั้งดวง แต่สุดท้ายแล้วเขากลับวางใจเธอลงบนพื้นแล้วเดินข้ามไปอย่างไม่เหลียวแล และเธอนั้นไม่อยากฟังคำว่ารออีกแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขาจะให้เธอรอไปทำไม เพื่อทรมานเธออย่างนั้นหรือ
แล้วทำไมคนที่เคยดี เคยรักกันถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เพราะปัญหาที่บิดาของเธอทำไว้หรืออย่างไร เพราะหนี้พนันของท่านที่เขาต้องรับผิดชอบใช่ไหม
ทิวัตถ์กดหน้าลงไปอ่านหนังสือต่อราวกับคำพูดนั้นไร้ความหมาย ปรีดิทาจึงขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นวอนขอ
“จะให้โปรดกราบก็ได้ค่ะ” สองมือน้อยๆ พนมขึ้น เธอยอมทุกอย่าง ศักดิ์ศรีแม้สำคัญ แต่น้อยค่าหากเทียบกับสายเลือดในอก นาทีถัดมาก็ได้ยินคำโต้ตอบที่ทำให้เจ็บยิ่งกว่าเดิม
“โง่ฉิบหาย เด็กคนเดียวยังดูแลไม่ได้” ทิวัตถ์ดึงตากลับไปสนใจปรีดิทา ภายในมีแต่ความว่างเปล่า
“โปรดอยากได้ลูกคืน”
ปรีดิทาสะอึกในคำต่อว่า แต่พยายามโฟกัสอยู่ที่เรื่องของลูก แม้ความเจ็บจะกรีดลึกกลางใจ คำพูดของเขาสื่อได้ชัดว่ารู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับยังเฉย
ไร้หัวใจสิ้นดี เธอรักผู้ชายคนนี้ไปได้อย่างไรกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งหาเหตุผล ปากนิ่มเอ่ยออกไปอีก
“โปรดยอมทุกอย่าง ให้โปรดตายก็ได้” อะไรก็ได้ที่เขาต้องการ ช่วยบอกเธอมาสักอย่างเพื่อแลกกับลูกที่ไม่ต้องอยู่ในอำนาจของหยางจิน สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มหยันๆ
“อยู่ทรมานต่อไปเถอะ”
ทิวัตถ์ขยับตัวลุกขึ้น แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิม เย็นชา เยือกเย็น
“รอ”
แต่คำว่ารอครั้งนี้มีความหมายต่างจากทุกครั้ง คล้ายๆ ว่าเขาจะทำตามที่ปรีดิทาขอ แล้วขยับตัวเดินออกจากบ้านไป ปล่อยให้คนช้ำยืนขาตายอย่างนึกกลัว
เธอไม่อยากรอ แต่หากไม่มีใบหย่าไปด้วยก็ไร้ประโยชน์ คนอย่างหยางจินไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้แน่ ปรีดิทาพยายามตั้งสติ
เธอจะรอเขา แต่แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ได้แค่หวังว่าเขาจะไม่ใจชืดใจดำมากจนเกินไป แต่จะให้รออยู่เฉยๆ คงทำไม่ได้ มีหนึ่งสิ่งที่เธอควรทำ แม้รู้ว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์
ปรีดิทาหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นกดเข้าแอปพลิเคชันของกล้องวงจรปิด เธอจะนำภาพที่เกิดขึ้นไปแจ้งความ แล้วก้าวไวๆ ออกจากบ้านอย่างรีบร้อน สายตามองหารถแท็กซี่มิเตอร์เพื่อนำพาเธอไปสถานีตำรวจ
ปิ๊นๆ
ในจังหวะที่มองหาอยู่นั้นเสียงแตรของรถยนต์ก็ทำให้เธอหันไปมอง แล้วเห็นรถแท็กซี่มิเตอร์คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอด
“พี่กันต์”
“มาทำอะไรแถวนี้โปรด”
“โปรดมาทำธุระค่ะ พี่กันต์ช่วยพาโปรดไปสถานีตำรวจหน่อยได้ไหมคะ” ปรีดิทายิ้มคลายกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นรถคันคุ้นตา ผู้อยู่หลังพวงมาลัยคือเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรและก็เป็นคนที่พาเธอไปส่งโรงพยาบาลในวันนั้น
ที่จริงวันนั้นอีกฝ่ายก็จอดรถรออยู่ที่ด้านหลังโรงพยาบาล แต่เธอเดินกลับไปไม่ถึง พลันยิ้มขอบคุณในคำตอบ
“ได้สิ โปรดขึ้นรถมาได้เลย”
ปรีดิทารีบขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจ ความกลัว ความกังวลเกาะกุมเต็มหัวใจ เพราะเธอเหมือนหนูที่ต่อกรกับราชสีห์
แต่หนูตัวนี้จะไม่ยอมแพ้ ไม่นานนักสีหน้าก็มีความกังวลเพิ่มขึ้น
“ทำไมเหมือนรถคันนั้นขับตามเรามา” กันต์ที่มองกระจกหลังมาระยะหนึ่งแล้วเลิกคิ้วสงสัย
ปรีดิทาหันขวับไปมอง เธอว่าไม่พ้นคนของหยางจิน รถคันนั้นยังขับตามมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าสถานีตำรวจ ผู้ชายที่ปรีดิทาเพิ่งได้พบหน้าไปหมาดๆ ก็ก้าวเท้าลงจากรถตรงมาหาโดยทันที
“ผมว่าคุณโปรดควรคิดให้ดีก่อน”
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”