“ขึ้นรถ”
ปรีดิทายังไม่ได้ก้าวเท้าขึ้นไป เธอนิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจ แน่นอนว่าเธออยากหนี อยากไปตอนนี้เลย แต่การหนีต้องจบลงในครั้งเดียว ไม่ใช่หนีแบบไม่จบไม่สิ้น หนีไปแล้วยังถูกตามเจอแล้วถูกจับกลับมา หรือต้องอยู่แบบหวาดระแวง สมองจึงขบคิดและทบทวน
ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดว่าต้องรับมือกับหยางจินจึงไม่ได้หาหนทางใดๆ ไว้เลย เธอก็อยู่ส่วนเธอ ส่วนหยางจินก็ไม่ได้เข้ามายุ่มย่าม และตัวของชายหนุ่มเองนั้นก็พูดถึงบิดาให้ฟังน้อยมาก จนแทบจะไม่พูดด้วยซ้ำ แต่เธอก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ทิวัตถ์ชัง
ชั่วครู่หนึ่งหญิงสาวก็หยิบสมาร์ตโฟนโทร.บอกเพื่อนบ้านที่รออยู่ว่าไม่ต้องรออีกแล้ว จากนั้นก้าวเท้าขึ้นรถ แล้วความเงียบก็กลืนกินไปทั่ว
ปรีดิทานั่งขบปากอย่างกังวล หนทางเดียวที่มองเห็นตอนนี้มีแต่เขา มีแต่ยอมไปก่อน แต่การยอมนี้ต้องนำพาเธอกับลูกไปสู่อิสระอย่างเร็วไว
หญิงสาวก้มหน้ามองแก้วตาอยู่ตลอด เข้าใจความรู้สึกที่ว่าใจจะขาดนั้นเป็นอย่างไร และนอกจากหนีแล้วเธอยังอาจจะต้องหาคนมางัดข้อกับหยางจิน ในจังหวะหนึ่งเหลือบตาไปมองคนที่เงียบตั้งแต่เธอขึ้นรถมา แล้วเห็นรอยแดงก่ำที่หลังมือของเขา แดงมากและมีเลือดซิบๆ คล้ายชายหนุ่มไปมีเรื่องมีราวกับใครมา
ไม่รู้เขาไปได้แผลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น แต่ปรีดิทาก็ทำแค่มอง เพราะคนที่เธอควรโฟกัสมากที่สุดคือลูกสาว
เมื่อรถเคลื่อนตัวไปใกล้ถึงบ้าน ปรีดิทาก็ดึงสายตากลับไปมองเขาอีกครั้ง คล้ายๆ ว่าเธออยากรู้หนึ่งคำตอบ ทิวัตถ์ที่รู้ว่าโดนจับจ้องหันไปมองคนข้างกาย ก่อนจะบอกเหตุผลที่เขาเก็บงำไว้นาน
“การมีเธออยู่ดีกว่าเยอะ อย่างน้อยๆ ฉันก็ช่วยลดความวุ่นวายในการหาลูกสะใภ้คนใหม่ของหยางจิน”
คนฟังสะอึกจุกนิดๆ นี่สินะคำตอบที่เธออยากรู้ เขาจะให้เธอเป็นไม้กันหมา จังหวะหนึ่งแค่นยิ้ม เพราะเธอก็กำลังให้เขาเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แล้วภายในรถก็มีแต่ความเงียบอีกจนไปถึงหน้าบ้าน
ฝ่ายนงลักษณ์นั้นยืนรออยู่ด้วยใจกระวนกระวาย
“คุณโปรด”
นงลักษณ์ปรี่เข้าไปหาและสวมกอดคุณหนูทั้งสอง ปากร้องบอกในสิ่งที่เตรียมการไว้
“ป้าเก็บของแล้วค่ะ” เธอเก็บของใช้ที่คิดว่าจำเป็นใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมย้ายแล้ว จังหวะหนึ่งไม่วายเหลือบตาไปมองคนที่ก้าวเท้าไวๆ ผ่านหน้าไป ไม่ถึงสามนาทีคำถามก็ดังขึ้น
“นั่นคุณจะเอากระเป๋าพวกเราไปไหนคะ” นงลักษณ์มองทิวัตถ์ที่หิ้วกระเป๋าสามใบไว้ในมือแล้วเดินตรงไปยังรถ
แอสตันมาร์ติน
“รีบขึ้นรถมา” ทิวัตถ์ไม่ได้ตอบ แต่สั่งการ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดขยับเท้าจึงบอกอีก
“ถ้าอยากถูกพรากลูกอีกก็ตามใจ”
ปรีดิทารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอไม่มีทางเลือก การจะต่อกรกับหยางจินไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นเธอในตอนที่สูญเสียทุกอย่างยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หนทางเดียวที่ทำได้ไม่พ้นพึ่งเขาไปก่อน แล้วค่อยหาทางไปอย่างรอบคอบ แบบม้วนเดียวจบ
“โปรดต้องตอบแทนคุณยังไงบ้างคะ” ปรีดิทาถามพร้อมจ้องมองกรอบหน้าคมเข้ม คนตรงหน้าจะทิ้งขว้างเธอแล้วยืนขาตายไม่ยอมหย่าต่อไปก็ได้ เขาก็ไม่ได้เสียอะไร แต่การที่เขายอมปกป้องเธอ ย่อมแสดงว่าอาจจะอยากได้อะไรบางอย่าง
“เธอต้องเป็นตัวแทนของลลิษ” ทิวัตถ์บอกด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าปกติ แต่สายตายังว่างเปล่าเหมือนเคย
“โปรดตัวเล็กกว่าเธอ” ปรีดิทารู้สึกขมปร่าไปทั้งลำคอ แต่ก็พยายามแจกแจงให้คนตรงหน้าได้หวนคิดสักนิดว่า เธอกับผู้หญิงคนนั้นต่างกัน
“ไม่ติด” ทิวัตถ์ยกไหล่สูง
“เธอขาวกว่าโปรด” หญิงสาวยังพยายามอธิบาย
“แต่ก่อนยังกระเดือกได้” คนใจร้ายเบ้ปากนิดๆ ตาจ้องปรีดิทาก่อนตอบ
“โปรดไม่เหมือนเธอ” เธอยังย้ำพร้อมมองไปทั่วร่างกายของตัวเอง แล้วได้ยินคำย้ำกลับมาให้เจ็บสะท้าน
“ก็ไม่เคยบอกว่าเหมือน ก็แค่ตัวแทนปะวะ” ประโยคท้ายถูกกล่าวออกไปด้วยเสียงหนัก เป็นการยืนยันสถานะอย่างชัดเจน
แค่ตัวแทน
“โปรดทำอะไรผิด คุณถึงใจร้ายกับโปรดได้ถึงขนาดนี้” ปรีดิทาอยากรู้เหตุผล สิ่งที่ได้คือความเงียบเหมือนเดิม
เขาไม่ยอมบอกว่าเธอผิดเรื่องใดกันแน่ เพราะอะไรเขาถึงเปลี่ยนไป เธอรู้แค่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากเกิดเรื่องของบิดา
“ที่ผ่านมาเคยรักโปรดบ้างไหม หรือโปรดก็เป็นแค่คนคั่นเวลา”
ปรีดิทายังคงไม่ได้คำตอบ คำพูดจึงดังตามไป
“เท่านี้โปรดก็ทรมานมากพอแล้ว”
“โปรดเสียพ่อ โปรดเสียงานที่รัก”
“โปรดเสีย...”
คำว่าคุณไม่ได้ถูกส่งออกไป เพราะคำของเขาพุ่งมากระทบอกเสียก่อน
“มันยังไม่พอ และขึ้นรถได้แล้ว” ทิวัตถ์ตัดบท เขาไม่อยากพูดอะไรให้มากเรื่องมากความ ในตอนนี้สายตาไม่ได้มองปรีดิทา กลับมองเลยไปบนถนน
“โปรดก็คือโปรด...หมอโปรดที่ไม่อยากเป็นแค่คนคั่นเวลา” เธอยังอยากให้เขาเข้าใจ
“จะไม่ไป? งั้นก็ตามใจ แต่ขอให้ไปให้พ้นจากเขาได้ละกัน”
ทิวัตถ์จะไม่พูดซ้ำ แล้วขยับตัว แต่ไม่ได้ก้าวเท้าขึ้นรถ เดินตรงไปยังบนถนน ปรีดิทามองตาม ไม่นานก็เห็นว่าชายหนุ่มก้าวไปหยุดตรงรถคันหนึ่งพร้อมเคาะกระจกให้คนด้านในเลื่อนกระจกลงมาเจรจากัน
เธอรู้ได้ทันทีว่ารถคันนั้นไม่พ้นคนของหยางจิน อีกฝ่ายไม่รามือเหมือนที่คิด แล้วเห็นทิวัตถ์มองไปด้านหลังด้วย หรือว่าหยางจินจะส่งคนติดตามมาอีก
“คุณโปรด” นงลักษณ์กุมมือของปรีดิทาไว้ ทั้งให้กำลังใจและกังวล
“ป้านงไปปิดบ้านแล้วตามโปรดขึ้นรถไปนะคะ” หญิงสาวฝืนยิ้ม เธอเจ็บ แต่อีกหน่อยคงไม่ เมื่อเธอจะสั่งหัวใจให้เลิกรักเขา ให้ในวันหนึ่งเขาคืออากาศที่เธอมองไม่เห็น พลางดึงตากลับไปมองทิวัตถ์อีกเล็กน้อย ปากแค่นยิ้มหยันๆ ออกมา
เพราะเขาคือคนที่น่าสงสาร เขาคงอยู่ได้เพราะการหลอกตัวเอง หลอกว่าเธอคนนี้คือลลิษา ทั้งที่ความจริงไม่ใช่
“ป้าจะอยู่ข้างๆ คุณโปรดเสมอค่ะ” นงลักษณ์ให้กำลังใจและปลอบประโลม เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ปรีดิทารับจำใจเดินพาตัวเองและลูกสาวไปขึ้นรถในเบาะด้านหลัง ส่วนนงลักษณ์หลังไปจัดการปิดบ้านเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นมานั่งเบาะด้านหน้า ไม่นานทิวัตถ์ก็กลับมาประจำตำแหน่ง
เขาไม่พูดอะไร ทำแค่ขับเคลื่อนรถออก แต่ก็มองกระจกมองหลังอยู่หลายหน จนปรีดิทาต้องหันไปมองบ้าง เห็นชัดว่าคนของหยางจินยังขับรถตามมาอยู่ ก่อนจะดึงตัวกลับมานั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง
ความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นภายในอก ทั้งอึดอัด ทั้งโล่งใจ แต่ก็เหมือนเธอเดินวนอยู่ในเขาวงกต วนเวียนอยู่กับการหาทางออก
สายตาคู่หม่นหันมองไปยังสองข้างทางที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากซอยบ้าน ผ่านร้านค้า ร้านอาหารที่เธอกับนงลักษณ์เป็นลูกค้าประจำ
แล้วเห็นเด็กที่ใส่ชุดนักเรียนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยสอนหนังสือให้ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ หรือแม้กระทั่งรถไอศกรีมที่กำลังวิ่งสวนไปทั้งเจ้าเก่าเจ้าใหม่ ในช่วงที่เธอแพ้ท้อง ไอศกรีมเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบ แล้วภาพที่คุ้นตาก็ค่อยๆ ถูกกลบด้วยรถราบนถนนใหญ่
กระทั่งรถเลี้ยวเข้าไปในเขตรั้วบ้านขนาดสองชั้น รถที่ขับตามมาจึงล่าถอยไป
ยามรถจอดสนิท คำสั่งของทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“เอากระเป๋าเข้าไปไว้ในบ้าน ห้องด้านล่าง”
ทิวัตถ์เอียงหน้ามองสรพัศ คนของเขาที่มีหน้าที่คอยดูแลบ้านและขับรถให้บ้างในบางครั้ง ส่วนผู้อาศัยรายใหม่ที่คุ้นเคยหยุดเท้าอยู่ด้านหลัง
“ใบนั้นไม่ต้อง” ไม่ถึงนาทีต่อมาเสียงของคุณหมอหนุ่มดังขึ้นอีก หลังเห็นคนของตัวเองหิ้วกระเป๋าที่ดูเก่ากว่าใบอื่นๆ ติดมือไปด้วย นั่นทำให้เสียงของปรีดิทาดังขึ้นโดยพลัน
“ป้านงจะอยู่กับโปรด”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่โปรดสัตว์”
ทิวัตถ์พลิกตัวไปมอง ปากได้รูปบอกเสียงหนักชัดเจน แล้วเอ่ยออกไปอีกหนึ่งประโยคที่เป็นเสมือนการโยนมีดแหลมคมไปให้ปรีดิทาถือ
“ถ้าจะอยู่ก็อยู่ได้แค่สองคน เธอ เด็กนั่น หรือว่า...”
ประโยคท้ายไม่ได้ถูกเอ่ยไป ทว่าสายตามองไปยังนงลักษณ์ สิ้นเสียงก็เดินไวๆ หายเข้าไปด้านในบ้าน ไม่ได้สนใจว่ามีดเล่มนั้นหญิงสาวจะใช้กรีดแขนของตัวเองหรือว่าจ้วงแทงนงลักษณ์
ในตอนที่ได้ยินว่าอดีตน้องชายหวนกลับไปหาคนที่ชัง เขาคิดได้ทันทีว่าเป็นเพราะมันอยากกลับไปยืนข้างๆ ลลิษา หลังจากที่ครอบครัวของปรีดิทาสร้างหนี้พนันไว้ให้ แต่ติดที่สถานะของลลิษานั้นเป็นคู่หมั้นของเขา มันจึงต้องตะเกียกตะกายไปในเส้นทางที่เกลียด แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว ส่วนปรีดิทาก้มมองการ์ดแต่งงานในมือ สีหน้ามีความหนักใจ ไม่รู้ทิวัตถ์จะรู้เรื่องนี้หรือยัง ขณะนั้นเองเสียงเล็กๆ ก็แผดร้องขึ้น “แง้ง” ปรีดิทาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังลูก แล้วรีบพาแกกลับห้องนอน ในวันนี้เธอไม่มีคาบสอนแล้ว มีจารวีช่วยจัดการเรื่องอาหารให้อย่างเคย แต่ผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วปราณปรียากลับยังร้องไห้เป็นระยะ “วันนี้งอแงหรือจ๊ะ ตัวก็ไม่ร้อน”
บทที่ 7 อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกัน “ที่พี่สอนไป เรากลับไปทบทวนด้วยนะ” เสียงใสๆ ของปรีดิทาเอ่ยกับเด็กวัยมัธยมศึกษาผ่านโปรแกรมหนึ่งในโน้ตบุ๊ก เธอเริ่มกลับมาสอนพิเศษได้ราวๆ ห้าวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปเหมือนแต่ก่อน มีแต่หัวใจที่เกิดอาการพะว้าพะวง แต่ก็พยายามมีสมาธิอยู่กับการสอน “อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่จ้ะ” ก่อนจะบอกคำปิดท้ายพร้อมยกยิ้มร่ำลา ปรีดิทาพับหน้าจอลงพร้อมขยับตัวลุกทันที สองเท้ามุ่งหน้าออกจากห้องตรงไปหาจารวีและรำนำ “ยัยหนูเป็นยังไงบ้าง งอแงไหม” เมื่อไปถึงเธอก็รับลูกมาไว้ในอ้อมกอด โชคดีที่การสอนของเธอมีช่วงเวลาพักอยู่หลายครั้งจึงเดินออกมาดูแก้วตาดวงใจได้บ้าง&nbs
“แปลกเนอะ แย่งของเขาไปแท้ๆ แต่กลับจิกกัดเขาไม่ยอมปล่อย” ดนุภาไม่เข้าใจความคิดของออมสินสักนิด อีกฝ่ายแสดงออกว่าชังเพื่อนของเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน เธอเองก็มักถูกยัยนั่นหาเรื่อง จนปรีดิทาต้องห้ามทัพอยู่หลายยก เธอมองว่าคนบางประเภทต้องสาดน้ำร้อนเข้าใส่ น้ำเย็นไม่ได้ผลหรอก ไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าแล้วเอ่ยบอกกับเพื่อน “แต่อย่างน้อยๆ แกก็ชนะแม่นั่นครั้งหนึ่ง” เพื่อนของเธอมักแพ้ออมสินเรื่องความรักเสมอ แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ชนะ อีกฝ่ายแพ้ราบคาบเลย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ให้หน้าเสีย “ฉันขอโทษ” ผลพวงของความสำเร็จทำให้เพื่อนของเธอเจ็บปวด มือยกขึ้นตีปากของตัวเอง ปรีดิทาสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร พลางหันไปมองรำนำที่นั่งอยู่ถัดไป หลังเสียงสัญญาณของเครื่อง
เขาไม่ได้ดูสดชื่นขึ้น เหมือนคนนอนไม่ค่อยพอเสียมากกว่า ทว่าในจังหวะนั้นกลับต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกว่ามีคนจ้องมอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ จังหวะนั้นหัวคิ้วเลิกคิ้ว เพราะเหมือนเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เอาแต่จ้องเธอในงานที่ทิวัตถ์พาไป ก่อนจะมีอีกหนึ่งเรื่องสงสัยให้รีบดึงตาไปมองคู่สนทนา “นับวันมันยิ่งทำตัวน่าสงสัย พี่เห็นมันไปเรียนต่อยมวย เรียนต่อสู้ ยิงปืนด้วย ทำอย่างกับจะไปรบกับใคร” หลายเดือนที่ผ่านมาบนร่างกายของทิวัตถ์มักมีรอยช้ำ จนเขาต้องเค้นถามจากมันจึงได้รู้ว่ามันกำลังเรียนการต่อสู้หลายแขนง “คงเพราะเขากำลังจะเข้ารับตำแหน่งแทนหยางจินละมั้งคะ” หญิงสาวคิดว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้สูง เพราะเขาคงรู้ว่าขาข้างหนึ่งเหยียบความเสี่ยงความตายไว้ จึงจะเตรียมพร้อม ถึงอย่างนั้นก็นึกห่วงขึ้นมา แล้วหันกลับไปมองในจุดโฟกัสก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบชายคนนั้นเสียแล้ว จึงคิดว่าตัวเองอาจจะจำผิด หรือไม่ก็แค่เรื่องบังเอิญ “ไอ้ไท่เนี่ยนะครับ” คนอย่างทิวัตถ์เนี่ยนะจะถึงขั้นขึ้นกุมบังเหียนต่อจากคนที่มันพูดถึงน้อย จนแทบจะไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่นานมานี้เขาพอรู้มาบ้
สามนาทีต่อมาก็วางถ้วยลงบนเคาน์เตอร์หน้าทิวัตถ์ จากนั้นพลิกตัวเดินกลับไปหาลูกที่ตาแป๋วรอเธออยู่ อาการโยเยหายไปจนคนเป็นแม่คลายความกังวลไปได้ ส่วนทิวัตถ์เดินขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ขลุกอยู่กับเอกสาร โน้ตบุ๊ก โดยมีเสียงหนึ่งดังอยู่เป็นระยะ เสียงของเครื่องทำลายเอกสาร สีหน้าของคนบนเตียงมีแววครุ่นคิด เคร่งเครียด ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู สลับกันไปมา เขาต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน และเมื่อเอกสารไฟล์ใดที่ดูเสร็จแล้วก็จะถูกลบหรือไม่ก็กำจัดทิ้ง โดยชายหนุ่มเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะจบเรื่องหนึ่งได้หลังทำมายาวนาน ขอแค่พบตัวคนที่หลุดรอดไปได้ ร่วมสองชั่วโมงกว่าก็พับเก็บทุกอย่างแล้วยัดใส่กระเป๋า ร่างกายของเขาอ่อนล้าไม่น้อย เพราะขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ทว่าก็หลับๆ ตื่นๆ ราวกับคนที่มีเรื่องให้คิดหรือมีเรื่องให้ระแวง เฮ้อ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มก็เลือกจะกระเด้งตัวมาผ่อนลมหายใจออกจากจมูก ก่อนตัดสินใจลงไปยังชั้นล่างของบ้าน เดินตรงดิ่งไปห้องรับแขก มือเปิดเลื่อนผ้าม่านมองไปรอบๆ คล้ายอยากจะเช็กความเรียบร้อย แ
บทที่ 6 ข้อต่อรอง “ลลิษส่งยามาให้แล้วกินหรือยัง” ทิวัตถ์เลิกคิ้วถาม สายตาจดจ้องอยู่เบื้องหน้า ปรีดิทาเข้าใจสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่แล้วเพราะเธอคนนั้น แล้วมองหน้าคนที่มีท่าทางเหนื่อยล้า อ่อนเพลียคล้ายคนที่นอนไม่พอ ฝ่ายทิวัตถ์เมื่อไม่ได้คำตอบก็เอ่ยประโยคถัดมา “อย่าให้เสียของ เสียน้ำใจ” ทิวัตถ์พูดดักทาง ปรีดิทาสมควรรับน้ำใจไว้แต่โดยดี ไม่ควรทิ้งขว้างหรือปามันทิ้ง “ถ้ามันเป็นยาพิษ โปรดก็ต้องรักษาน้ำใจหรือคะ” เธออดจะประชดประชันไม่ได้ “ยอกย้อนเก่ง”