ซูลันจีและวิกเตอร์ยังไม่ได้เข้าสู่สนามรบ พวกเขายังเฝ้าดูสงครามจากที่สูงศพนอนอยู่ทั่วเมือง และทุกที่ที่พวกเขามองเห็นได้ก็มีแต่ทหารที่ตายแล้ว เมืองนี้แทบจะย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดและส่วนใหญ่เป็นทหารของเมืองซีจิงและทหารแคว้นซา การต่อสู้ในเมืองนี้ ได้แต่สู้ต่อไปเท่านั้น ไม่มียุทธวิธีใดๆ อีกเลยวิกเตอร์รู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องละทิ้งเขตหนานเจียง และเข้าซีม่อน หลังจากที่เขาเข้าไปซีม่อน เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ที่ชาวซีจิงมาช่วยเพียงเพื่อสังหารทหารของแคว้นซางเพื่อระบายความโกรธของพวกเขาและสังหารแม่ทัพหญิงที่ชื่อว่ายี่ฝางด้วยพวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะแคว้นซางได้ ยิ่งไม่ต้องการแบ่งเขตหนานเจียงกับแคว้นซา พวกเขามาเพื่อระบายความโกรธมากกว่าดังนั้น วิกเตอร์จึงรู้สึกโกรธมาก หากไม่ใช่ชาวซีจิงมา พวกเขาอาจจะพ่ายแพ้จนวิ่งหนีไปนานแล้ว ไม่ต้องมาต่อสู้ตั้งหลายครั้งจนทำให้มีทหารเสียชีวิตตั้งมากมายขึ้นไปเขาพูดกับซูลันจีอย่างเย็นชา "ถ้าเจ้าต้องการระบายความโกรธ ทำไมไม่สังหารหมู่ทั้งเมืองล่ะ?"เขาคงรู้ว่าทำไมซูลันจีจึงเกลียดชาวซางมากขนาดนี้ เขาสืบรู้ว่าในระหว่างการต่อสู้ที่ชายแดนเฉิงหลิง มีห
ทหารของแคว้นซาและทหารของเมืองซีจิงต่างล่าถอยไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้กองทัพเป่ยหมิงที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดนั้นต่างตกตะลึงเมื่อฟังเสียงสัญญาณให้ล่าถอย พวกเขายังคิดว่านี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ของแคว้นซาเพื่อล่อลวงศัตรูให้เข้าไปอย่างไรอย่างนั้นแต่พอคิดดูดีๆ อีกที ได้ล่าถอยจากซีม่อน แล้วพวกเขายังจะไล่ตามไปทำไมอีก? เดิมที่ก็ต้องการขับไล่พวกเขาออกไป แต่ไม่ใช่ฆ่าพวกเขาทั้งหมดดังนั้น กองทัพเป่ยหมิงจึงเฝ้าดูกองทหารศัตรูละทิ้งชุดเกราะและหนีออกไปทั้งอย่างนั้นชัยชนะมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?พวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะตายเพื่อประเทศของตน เพราะถึงยังไง ชาวซีจิงก็มาช่วยอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเขาจะยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?แม้แต่ผู้บังคับบัญชาเองก็เข้าสู่สนามรบไปต่อสู้เอง ย่อมต้องโหดร้ายอย่างยิ่งแน่ๆ และความจริงก็โหดร้ายอย่างยิ่งจริงๆ มีศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเลือด แม้ว่าหิมะตก แต่ก็ไม่สามารถซ่อนกลิ่นอันท่วมท้นของคาวเลือดได้แต่เมืองซีม่อนนั้นใหญ่มาก และยังมีหมู่บ้านมากมายนอกเหนือจากเมืองแม่ทัพฟางรีบกลับไปที่ค่ายบัญชาการและถามว่า "ท่านผู้บังคับบัญชา ต้องการติดตามพวกเราไ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีคนเยอะกว่า ยี่ฝางพยายามต่อต้านอยู่ นางมองไปรอบๆ และพบว่ามีทหารของเมืองซีจิงเพิ่มมากขึ้นพวกเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบหลัก แต่กลับกำลังรอนางอยู่ที่นี่ นางตระหนักว่านางเคยได้โอกาศทองโดยใช้กลยุทธ์นี้ แต่คราวนี้นางยังคงใช้กลยุทธ์เดิมแต่กลับตกหลุมพรางของศัตรูแล้วยี่ฝางและยี่เทียนหมิง ลูกพี่ลูกน้องของนางเก่งการต่อสู้ และสามารถต้านทานได้ระยะหนึ่ง แต่พวกทหารที่อยู่ข้างๆ พวกเขาต่างเสียชีวิตไปในกองเลือดทีละคน ชาวซีจิงไม่ได้เมตตาแม้แต่น้อย พวกเขาฆ่าคนอย่างไม่ลังเล คนพวกนี้อาจเป็นนักรบโดดเด่นของพวกเขายี่ฝางรู้สึกหวาดกลัวมากจนอยากจะวิ่งหนี แต่ข้างหลังนางล้อมรอบไปด้วยทหารเมืองซีจิงทั้งหมด พวกเขาถือมีดยาวและไม่ก้าวไปข้างหน้า ได้ขัดขวางทางหลบหนีของนางนางทำได้เพียงสู้กลับด้วยความตื่นตระหนก แต่นางก็กลัวจนไม่มีแรงที่จะใช้ท่าได้ เมื่อนางเห็นมีดมุ่งมาเพื่อตัดแขนของนาง นางก็คว้าทหารที่อยู่ข้างหน้านางโดยไม่รู้ตัวเพื่อให้เขามาขัดขวางให้ทหารถูกฟาดที่ศีรษะและเลือดก็ไหลกลั้วคอไม่หยุดทหารคนนั้นหันกลับมาอย่างยากลำบากและมองดูแม่ทัพยี่ด้วยความไม่อยากเชื่อ พวกเขาเคยร่วมมือกันสร้างผลงานที่
ใบหน้าของยี่ฝางซีดเผือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน?นางรู้ดีว่าตนเองทำอะไรกับคนคนนั้นในเวลานั้น แม่ทัพตัวน้อยคนนั้นนำคนกว่าร้อยคน และเขาก็ต่อสู้เก่งด้วย พวกเขาเคยต่อสู้ด้วยกันได้ฆ่าคนของนางไปหลายคน จากนั้นก็หนีไป เพื่อตามหาพวกเขา นางสั่งให้สังหารหมู่หลายหมู่บ้านในเมืองลู่เปินเอ่อร์ เพราะนางสงสัยว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านของประชาชนคนใดคนหนึ่งอยู่นางต้องหาเขาเพื่อล้างแค้นให้กับลูกน้องของนางที่เสียชีวิตไปและสร้างอำนาจให้ตัวเอง ยิ่งกว่านั้น การฆ่าทหารสิบนายนั้นสู้กว่าการฆ่าหัวหน้าทหารคนหนึ่งไปไม่ได้นั่นคือความคิดทั้งหมดของนางในเวลานั้น แต่นางไม่คาดคิดว่าหลังจากจับหัวหน้าทหารตัวน้อยคนนั้นแล้ว เขากลับหยิ่งยโสอย่างยิ่ง และกล่าวหาว่านางละเมิดข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศ เพราะได้สังหารหมู่พลเรือนคนๆ นี้สาปแช่งอย่างโหดเหี้ยม โดยบอกว่าการสังหารหมู่นั้นถือว่าสร้างบาปไว้ และสาปแช่งพวกเขาไม่มีลูกหลานอีกเลยเป็นเพราะเขาสาปแช่งอย่างโหดเหี้ยมเกินไปจนทำให้เขาถูกลงโทษ ส่วนการดุด่ว่าจะไม่มีลูกหลานอีก งั้นก็จะให้เขาไม่สามารถมีลูกหลานได้อีก เลยตอนเขาเสียก่อนยิ่งมีลูกน้องของนางถึงกับขี้บนตัวของเขา และยัดขี้ให
พวกสายลับในแคว้นซาง พวกเขาได้ทุ่มเทความพยายามมามากแล้ว ต่อมาสายลับก็อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านพี่รัชทายาทโดยตรงหลังจากที่ท่านพี่รัชทายาทเกิดเรื่อง พวกสายลับกลับได้สังหารพวกผู้หญิงและเด็กทุกคนในครอบครัวซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของท่านพี่รัชทายาทเท่านั้น แต่ยังทำให้สถานที่ที่รวบรวมข่าวกรองถูกทำลายหมดซ่งฮวยอันเป็นแม่ทัพที่น่าชื่นชม ผู้ชายทุกคนในครอบครัวของเขาเสียชีวิตในสนามรบเขตหนานเจียง ภรรยาและเด็กของพวกเขาแม้แต่คนรับใช้ที่บ้านต่างก็ไม่มีใครรอดชีวิต เรื่องน่าสังเวชเช่นนี้ กลับเป็นฝีมือของชาวซีจิงเนื่องจากเหตุการณ์นี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยเรื่องที่ยี่ฝางสังหารหมู่ด้วย เลยถูกซ่อนมันไว้ยี่ฝางเป็นผู้บงการ แต่สายลับจากเมืองซีจิงก็ทำสิ่งที่ทั้งโหดร้ายและเลือดเย็นเช่นกัน มีเพียงตระกูลซ่งเท่านั้นที่เป็นเหยื่อ ได้ยินมาว่าที่ตระกูลซ่งเหลือซ่งซีซีเพียงคนเดียว คงเป็นแม่ทัพหญิงคนนั้นที่นางกำลังพูดถึงยี่ฝางยังเข้ามาแทนที่ซ่งซีซี กลายเป็นภรรยาของจ้านเป่ยว่างสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองซีจิง แต่เมื่อครอบครัวของซ่งฮวยอันถูกฆ่าตายหมด และซ่งซีซีถูกทอดทิ้ง
ในใจของยี่ฝางตื่นตระหนกอย่างมาก เมื่อลูกพี่ลูกน้องถามจี้นาง นางก็รู้สึกร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็รีบแก้ต่างว่า "ข้าคิดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้าเป็นทหารเมืองซีจิง ข้าไม่เห็นว่าเป็นเสี่ยวจูจือเลย"ยี่เทียนหมิงพูดด้วยความโกรธ "เจ้าเล่ห์ ทหารศัตรูจะอยู่เคียงข้างเจ้าได้ยังไง? หาข้อแก้ตัวก็ไม่หายสักข้อที่ให้ดูสมเหตุสมผลหน่อย"ยี่ฝางระเบิดอารมณ์ออกมา "พอได้แล้ว ตอนนี้เราทุกคนต่างก็เป็นนักโทษของศัตรูแล้ว เราได้สังหารหมู่หมู่บ้านในเมืองลู่เปินเอ่อร์แล้ว พวกเขาจะไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ หากมีเวลามาด่าว่าข้าสู้เอาเวลานี้ไปคิดหาทางออกจะดีกว่า"ยี่เทียนหมิงกล่าวว่า"เจ้าเป็นคนออกคำสั่งให้สังหารหมู่หมู่บ้าน เจ้าบอกว่าหัวหน้าทหารคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในบ้านพักพลเรือน เจ้าบอกว่าทหารบางคนปลอมตัวเป็นสามัญชน ดังนั้นเลยสั่งให้ฆ่าให้หมดโดยไม่ต้องปรานี"เมื่อรู้ว่าคนข้างนอกสามารถได้ยินเข้า ยี่ฝางจึงพูดเสียงดัง "ข้าแค่ให้คพวกเจ้าฆ่าคนไม่กี่คนเพื่อบีบบังคับหัวกน้าคนนั้นออกมา ไม่ได้ให้พวกเจ้าฆ่าทั้งหมด"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทหารที่ถูกจับกุมคนอื่นๆ ก็ประณามด้วยความโกรธว่า "เจ้าสั่งให้ฆ่าพวกเขาให้หมด และตัดหูพวกเขาออ
แต่ไม่นานนัก ความหวังของยี่ฝางก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงกองไฟถูกจุดไว้ด้านนอก ประตูไม้ถูกแตะออกด้วยกำลัง และร่างสูงร่างหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกถูกกดขี่อย่างรุนแรงแม้จะหันหลังให้กับกองไฟข้างนอกแล้ว ยี่ฝางยังคงมองเห็นโครงร่างของเขาได้ชัดเจนและรู้ว่าเขาเป็นใครซูลันจี ผู้บังคับบัญชาของเมืองซีจิง ซึ่งนางเคยทำสัญญาสันติภาพกับเขาในเมืองลู่เปินเอ่อร์ยี่ฝางตัวสั่นอย่างรุนแรงพลางพิงกำแพง มองดูซูลันจีด้วยความหวาดกลัวเมื่อทำสัญญาสันติภาพที่ชายแดนเฉิงหลิง ชายผู้นี้ดูแข็งแกร่งและเป็นวีรบุรุษ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงการกดดัน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังมีออร่าที่สง่างาม เรื่องการเจรจาสันติภาพและการทำสัญญากับเขาต่างดำเนินการอย่างราบรื่นและรวดเร็วบางข้อ นางเป็นคนเสนอสเอง เขาตอบตกลงโดยไม่ได้คิดอะไรเลย แต่มีเงื่อนไขเพียงเดียวก็คือหลังจากลงนามแล้ว ให้นางปล่อยคนโดยเร็วที่สุดตอนนั้นเขาช่างพูดง่ายจน ง่ายจนนางคิดว่านี่คือผลงานทางทหารที่พระเจ้ามอบให้นางแต่เวลานี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความกระหายเลือด ความเยือกเย็นในดวงตาของเขา นางไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับความรู้สึกกดขี่ เหมือนก
ด้านนอกประตูไม้ มีเสียงร้องครวญครางดังขึ้นไม่หยุด ซึ่งทำให้ยี่ฝางตกใจจนแทบจะเป็นลมนางรู้ว่าพวกเขาได้รับการลงโทษแบบไหนกัน เพราะนางเคยใช้วิธีลงโทษนี้กับหัวหน้าทหาร... ไม่สิ องค์ชายของเมืองซีจิงการถูกตอน ตัดมันทั้งเป็น และดูมันกลิ้งไปบนพื้นเหมือนกับแมลงที่กำลังบิดตัวหากเขายอมส่งเสียงร้องครวญครางแค่เสียงเดียวก็ได้ คงไม่ถูกทรมานเขาต่อไป แต่เขายังกัดฟัน และปฏิเสธที่จะร้อง ดังนั้นทหารทั้งหมดจึงไปปัสสาวะตามบาดแผลและร่างกายของเขา จากนั้นก็ฟันร่างกายของเขาทีละครั้ง มองดูเลือดผสมกับปัสสาวะเมื่อก่อนตอนที่นางคิดถึงฉากนี้ ยี่ฝางก็รู้สึกสะใจแต่ตอนนี้พอนึกถึงฉากนั้น นางรู้แต่หวาดกลัวไปหมดซูลันจีหยิบกริชออกมา นางกรีดร้อ "อย่า อย่าเข้ามา"ซูลันจีโน้วตัวไปตัดเชือกที่อยู่รอบตัวของนาง เมื่อเห็นนางขดตัวกลมด้วยความกลัว ในใจโกรธถึงที่สุดแล้วรัชทายาทกลับถูกสัตว์ร้ายที่ขี้ขลาดอย่างนางทรมานเชือกถูกตัดออก และมือใหญ่ของเขาก็คว้าผมของนางไว้ ก่อนที่ลากนางออกไปความหนาวเย็นและความเจ็บปวดบนหนังศีรษะล้วนเข้ามาปกคลุมนาง นางน้ำตาคลอเบ้า เมื่อถูกลากออกไปนั้น ซูลันจีจับผมนางโดยทิ้งนางออกไปอย่างแรงมันเป็
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร