ซูลันจีน่านับถือจริงๆแต่หากองค์ชายรองของพวกเขาชนะบัลลังก์ และพบว่ารัชทายาทของเมืองซีจิงสิ้นพระชนม์ยังไง พวกเขาอาจไม่แน่ว่าจะไม่ส่งกองกำลังไปโจมตีชายแดนเฉิงหลิงอีกชายคนนี้ชอบทำสงคราม และซูลันจีก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้หลังจากพูดสิ่งที่ทำให้น่าโมโหเสร็จแล้ว ก็มาพูดถึงซ่งซีซีและเพื่อนๆ ของนางกันต่อฮ่องเต้รู้สึกภูมิใจ และยกย่องซ่งซีซีอย่างมากเขามองไปที่เซี่ยหลูโม่ และพูดว่า "ข้าได้คุยกับฮองเฮาแล้ว จะให้ซ่งซีซีเข้ามาเป็นพระสนม"เซี่ยหลูโม่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ของเมืองซีจิง เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว "ได้... อ่า? อะไรนะ?"เขาลุกขึ้นยืน และสรุาที่เขาดื่มเข้าไปนั้นสร่างเมาทันที เบิกตากว้าง และมองดูฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจ "เสด็จพี่ เสด็จพี่บอกว่าจะให้ซ่งซีซีเข้าวังแต่งตั้งนางเป็นเพราะสนมงั้นเหรอ?""ทำไมคุณถึงตื่นเต้นนัก?" ฮ่องเต้กลอกตาใส่เขา "ยามนี้ นางสร้างผลงานทางทหาร เป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกงด้วย นางเป็นผู้นำของทั้งจวนเสนาบดีกั๋วกง พวกแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อของนางสักวันหนึ่งจะติดตามนางไป
เซี่ยหลูโม่เข้าใจประเด็นหนึ่งจากความคิดซับซ้อนนับพัน นั่นคือไม่ว่ายังไงจะให้เสด็จพี่รับซ่งซีซีเข้าวังเป็นพระสนมไม่ได้เด็ดขาดคนอย่างนาง แม้ว่าจะไม่ได้ต่อสู้อยู่ในสนามรบ แต่ก็ไม่ควรติดอยู่ในกำแพงสูงของวังหลัง"เสด็จพี่ นางเข้าวังไม่ได้ กระหม่อมไม่เห็นด้วยพะยะค่ะ นางเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อม ฝ่าบาทจะเอานางไปด้วยความบังคับไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฝ่าบาทไม่ได้ถามความคิดเห็นจากนางด้วยซ้ำ""นั่นไม่ใช่เหตุผล""นางเพิ่งออกมาจากชีวิตการแต่งงานที่แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ให้เวลานางได้ปรับตัวสักหน่อย ให้สร้างความเชื่อใจกับผู้ชายอีกครั้ง ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของนาง แทนที่จะใช้กำลังบังคับ…"ฮ่องเต้มองไปที่เซี่ยหลูโม่ ด้วยสายตาที่เคร่งครัด "เวลาทำสงครางเจ้าก็ทำเช่นนี้หรือ ปล่อยให้ศัตรูมีเวลาปรับตัว? คอยคำนึงถึงความรู้สึกของศัตรูหรือ?"เซี่ยหลูโม่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว "นางไม่ใช่ศัตรูสักหน่อย"ความดุร้ายของเขาเมื่ออยู่ในสนามรบดูเหมือนกลับมาแล้ว เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพี่ชายของเขา เขาไม่ได้ปิดบังการป้องกันที่เขามีต่อซ่งซีซี "นอกจากนี้ ตระกูลซ่งก็ถูกสังหารหมู่แล้ว และตอนนี้ นางได้สร้างผลงานให้ก
หลังจากกินยาแก้เมา นั่งพักผ่อนได้สักพักใหญ่ เมื่อสร่างเมาแล้ว อู๋ต้าปั้นก็พาเขาไปที่ตำหนักสังเวยมังกร เขาก้มลงเล็กน้อยและถามอย่างระมัดระวังว่า "ฝ่าบาทคงไม่ได้อยากแต่งแม่ทัพซ่งเข้าวังเป็นพระสนมจริงๆ หรือพะยะค่ะ"ฮ่องเต้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า "คิดว่าข้าจะแย่งผู้หญิงกับน้องชายตนเองหรือ แม้ว่าจ้าจะมีแผนนี้จริงๆ ไทเฮาก็ไม่เห็นด้วยแน่ พระองค์กับซ่งฮูหยินเคยสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ จะยอมปล่อยให้ซีซีเข้าวังเป็นพระสนมได้ยังไง"อู๋ต้าปั้นยิ้มและพูดว่า "ข้าน้อยว่าแล้วเชียว ฝ่าบาทต้องการบีบบังคับพวกเขาสักหน่อย แล้วจะยอมให้แม่ทัพซ่งติดอยู่กับวังหลังได้อย่างไร"ขณะที่เขาพูด พลางแอบมองฮ่องเต้อย่างลับๆ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่รอยยิ้มนี้บ่งบอกถึงความกังวลฮ่องเต้ถอนหายใจ "วันที่ซ่งฮวยอันเสียชีวิต เขาออกศึกตามคำสั่ง ก่อนที่จะไปนับจำนวนกองทัพ เขาไปที่ตระกูลซ่ง เพื่อขอร้องให้ซ่งฮูหยินรอเขา หลังจากเขายึดเขตหนานเจียงกลับมา เขาก็มาสู่ขอ แต่สุดท้ายซ่งฮูหยินก็ให้ซ่งซีซีแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง ตอนแรกข้าไม่กล้าเขียนจดหมายถึงเขาไปบอกเรื่องนี้เพราะกลัวว่าเขาจะเสียสมาธิขณะอยู่สนามรบ แต่เสิ่นอันเขียนจด
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงวันรุ่งขึ้นแล้วอันที่จริงซ่งซีซียังคงนอนต่อได้ แต่นางต้องตื่นขึ้นเพราะที่วังได้ส่งพระราชโองการให้ ว่าให้นางเข้าไปในพระราชวังขณะที่แต่งหน้าแต่งตานั้น นางยังหาวอยู่ "เป่าจู ว่านจือและคนอื่นๆ ตื่นหรือยัง?""ยังเลย ยังนอนอยู่" เมื่อคืนเป่าจูนอนบนที่ทั่งนุ่มๆ ในห้องนอนของซ่งซีซี คอยเฝ้าอยู่ข้างกายของคุณหนูตัวเองแล้ว นางรู้สึกสบายใจ"อย่าไปปลุกพวกเขา ปล่อยให้พวกเขานอนอย่างเต็มที่ แม้จะนอนเป็นเวลาสามวันสามคืนก็ไม่ต้องไปสนใจ" ซ่งซีซีรู้ว่าพวกเขาเหนื่อยมากจริงๆ และนางเองก็อยากจะนอนจนถึงวันพรุ่งนี้เสียอีกเป่าจูจัดทรงผมให้นางเรียบร้อย และหยิบปิ่นปักผมที่ประดับอัญมณีออกมาแล้วปักที่ผมของนาง เมื่อเห็นรอยคล้ำหนักของคุณหนู นางก็รู้สึกสงสารในใจ "รับทราบเจ้าคะ ลุงฟู่ก็สั่งไว้เช่นกัน ลุงฟู่บอกว่าเมื่อก่อนที่ท่านผู้บังคับบัญชาและคุณชายน้อยอื่นๆ กลับมาจากสนามรบก็เป็นเช่นนี้ ง่วงนอนมากทีเดียว และหลับได้สองสามวัน""อืม" ซ่งซีซีพยักหน้าและหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ "คนที่มาจากวังนั้นเป็นคนของไทเฮาหรือฮ่องเต้?"เป่าจูส่ายหัว "ไม่ใช่ทั้งนั้น พวกเขามาจากตำหนักของฮองเฮา"ซ่
ซ่งซีซีและเป่าจูรอให้หวงโฮ่วนั่งลง จากนั้นก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพ "ซ่งซีซีพาสาวใช้เป่าจูมาคารวะหวงโฮ่วเพคะ"เสียงอันอ่อนโยนของหวงโฮ่วดังมาจากเหนือศีรษะ "คุณหนูซ่งไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุกขึ้นเถิด""ขอบพระทัยหวงโฮ่วเพคะ" ซ่งซีซีและเป่าจูลุกขึ้นยืนสายตาหวงโฮ่วมองไปที่ซ่งซีซี นางเคยเห็นคุณหนูตระกูลซ่งคนนี้ครั้งหนึ่ง สวยจนน่าตกใจตอนนี้กลับมาจากสนามรบ สีผิวไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่ว่าจะมองแวบเดียวหรือมองอย่างละเอียด ก็สามารถเอาชนะสายตาที่เรื่องมากได้ สมกับที่เป็นงหญิงงามล่มเมืองเมื่อนึกถึงฮ่องเต้ที่ขอให้นางถามซ่งซีซีว่าจะยอมเข้าวังหรือไม่ หวงโฮ่วก็รู้สึกขมขื่นในใจ หญิงสาวอย่างซ่งซีซีซึ่งมีทั้งความสามารถและความสวยเข้ามาในวัง กลัวว่าจะได้รับการโปรดปรานอยู่คนเดียว แม้ว่าตำแหน่งฐานะจะไม่สูงไปกว่าตนเองที่เป็นหวงโฮ่วแต่ได้หัวใจของฮ่องเต้ ตัวเองจะข่มลงได้อย่างไร?แต่นางก็เรียบร้อยและมีมารยาทมาโดยตลอด เมื่ออยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วต้องไม่มีความอิจฉาแม้แต่น้อยดังนั้นเพียงแค่ชื่นชมนางด้วยรอยยิ้มและยอมรับต่อความทุ่มเทของนางที่เขตหนานเจียง จึงกล่าวอย่างมีความหมายว่า "แม่ทัพจ้านไม
หลังจากออกจากตำหนักฉางชุน ขณะออกจากพระราชวังก็ได้พบกับเซี่ยหลูโม่เขาดูเหมือนจะเมาค้างและยังไม่ฟื้น สีหน้าแย่มาก เขายังสวมชุดออกรบที่กลับเมืองหลวงเมื่อวานนี้ เต็มไปด้วยเลือด จากระยะไกลก็ได้กลิ่นเหงื่อที่คุ้นเคยร่างเพรียวของเขาพิงประตูวังสีแดง ผมยุ่ง ๆ ของเขากลับเรียบร้อยขึ้นมาก สวมมงกุฎสีทองและปักหยก แต่ชุดออกรบที่ขึ้นสนิมนี้ไม่สามารถเข้ากันได้จริง ๆ คนนี้แต่งตัวแปลกจริงเขาเหลือบมองอย่างเกียจคร้าน และแสงแดดที่ส่องลงบนดวงตาสีเข้มของเขาก็ไม่ได้เพิ่มพลังให้กับเขาเลยซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้น "ท่านผู้บังคับบัญชาเมื่อวานพักในวัง?""อืม!" เขาพยักหน้าและมองนางขึ้นลง "เจ้าแต่งตัวแบบนี้กลับดูสวยมาก ดูเหมือนผู้หญิงสูงศักดิ์ของเมืองหลวง"ซ่งซีซียิ้ม "เดิมข้าก็เป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ของเมืองหลวงอยู่แล้ว"เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้ามั่วซั่ว "หวงโฮ่วให้เจ้าเข้ามาทำไมกัน?"ซ่งซีซีเงยหน้าหยิบตามอง "ท่านผู้บังคับบัญชารู้ได้อย่างไรว่าเป็นหวงโฮ่วที่ให้ข้าเข้าวัง?"เขารู้?เซี่ยหลูโม่ถูขมับและดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย "โอ้ แค่เดาไปเรื่อยน่ะ เมื่อคืนเจ้าได้พบกับไทเฮาแล
รอยยิ้มเซี่ยหลูโม่ค้างอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผิด เป็นพี่ชายทั้งคู่ แต่ตราบใดที่นางไม่เข้าวัง ตนก็สามารถค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์กับนางได้เขายกมือทูลลาแล้วจากไปฮ่องเต้มองไปทางด้านหลังของเขา และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตะโกนว่า "อู๋ต้าปั้น!""ข้าน้อยอยู่นี่พะยะค่ะ!" อู๋ต้าปั้นเข้ามาอย่างรวดเร็วจากประตูตำหนักแล้วโค้งคำนับฮ่องเต้กล่าวว่า "ไปส่งคำสั่งข้า ถ้าซ่งซีซีไม่สามารถหาคู่ครองแต่งงานที่เหมาะสมได้ภายในสามเดือน ก็แต่งตั้งให้เป็นสนมซีกุ้ยเฟย"อู๋ต้าปั้นลดสายตาลงแล้วตอบว่า "พะยะค่ะ!""ถือโอกาสบอกคำสั่งของค่ากับเป่ยหมิงอ๋องด้วย คำพูดอื่นเจ้าอย่าพูดแม้แต่คําเดียว"ฮ่องเต้กล่าวอู๋ต้าปั้นกล่าวว่า "พะยะค่ะ ข้าน้อยรู้แล้ว ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ""ไปเถอะ" ฮ่องเต้ลดสายตาลงและพูดเบา ๆไม่นานหลังจากที่อู๋ต้าปั้นจากไป ข้างนอกก็มีรายงานว่าหวงโฮ่วเสด็จมาฮ่องเต้คงรู้ว่านางมาทำไม ดังนั้นจึงกล่าวว่า "ให้เข้ามา!"หวงโฮ่วเข้ามาพร้อมกับแม่นมหลานเจี่ยน หลานเจี่ยนถือถาดอยู่ในมือ โดยมีหม้อซุปวางอยู่บนถาดอย่างปลอดภัยหลังจากที่ปัดตัวแสดงความเคารพ หวงโฮ่วก็กล่าวอย่างอ่อนโยน "ได้ยินมาว่าเมื่อวาน
ทันทีที่ซ่งซีซีกลับมาที่จวนเสนาบดีกั๋วกง อู๋ต้าปั้นก็มาส่งคำสั่งวาจาของฮ่องเต้ด้วยตนเองซ่งซีซีตกตะลึง หากหาสามีที่เหมาะสมไม่ได้ภายในสามเดือนก็ต้องเข้าวัง?นางรีบขวางอู๋ต้าปั้นไว้ ไล่ทุกคนออกไป "อู๋กงกง ท่านบอกข้าที ฮ่องเต้หมายความว่ายังไงกันแน่?"หากฮ่องเต้ยืนกรานที่จะให้นางเข้าวัง ก็ไม่จำเป็นต้องให้เวลานางสามเดือนในการหาสามีในเมื่อให้เวลานางสามเดือน ตราบใดที่คำสั่งวาจาแพร่กระจายออกไป จะไม่มีใครกล้าแต่งงานกับนางดังนั้น ยังคงเป็นการใช้กำลังกดขี่และไม่ได้ให้โอกาสนางเลย ดูเหมือนว่าสุดท้ายนางจะต้องเข้าวังเพียงทางเดียวแต่ในเมื่อใช้กำลังกดขี่ แล้วยังให้เวลาสามเดือน...คำสั่งวาจานี้ทำให้นางรู้สึกแปลก ๆอู๋ต้าปั้นพูดอย่างครุ่นคิด "บางที ฮ่องเต้อาจคิดว่าหากมีคนกล้าขอแต่งงานกับคุณหนูภายในสามเดือน กล้าท้าท้ายอำนาจสวรรค์ ฮ่องเต้ก็จะคิดว่าคนนั้นปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างจริงใจได้?""แต่ทำไมฮ่องเต้ต้องยุ่งเรื่องการแต่งงานของข้าด้วย?"อู๋ต้าปั้นกล่าวว่า "ท่านพูดหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? นับถือฮ่องเต้เป็นพี่ชาย พี่ชายก็ต้องวางแผนแต่งงานให้น้องสาวตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"ซ่งซีซีอารมณ์เสียกับค
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง