จวนเนี่ยเจิ้งอ๋อง สายฝนโปรยปรายไม่ขาดสายในฤดูเช็งเม้งของเดือนสาม ทุกหนแห่งล้วนชุ่มชื้นเปียกแฉะซ่งรุ่ยพยุงผู้หนึ่งเดินออกมา ถามด้วยความร้อนรนว่า “ซิวเช่อ อาการของท่านอาสะใภ้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”ซิวเช่อสวมชุดสีคราม เส้นผมขาวโพลนไปแล้ว เขาถอนใจพลางกล่าวว่า “ท่านอาสะใภ้ก็อายุแปดสิบแปดแล้ว ไม่น่าปล่อยให้ออกไปเซ่นไหว้ในวันเช็งเม้งเลย ครั้นเปียกฝนจนหนาว ย่อมกระทบถึงปอดและหัวใจ”เจิ้นกั๋วกงซ่งรุ่ยถอนหายใจ “ข้าก็ห้ามแล้ว แต่ห้ามไม่อยู่ ท่านอายืนยันจะไปให้ได้ ช่วงสองปีนี้ท่านเริ่มหลงลืม เรื่องในปัจจุบันจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่กลับจำเรื่องในอดีตได้แม่นยำ หากไม่ให้ไปไหว้ ท่านก็จะวุ่นวายใหญ่โต”“โรคในใจของท่านไม่เคยหาย ภัยพิบัติที่ทำให้ทั้งตระกูลถูกสังหาร เป็นฝันร้ายที่ท่านมิอาจลืมได้ไปชั่วชีวิต” ซิวเช่อเดินออกจากเรือนเหมยฮวา มุ่งหน้าไปยังห้องข้างเพื่อเขียนใบสั่งยา “เสด็จอาเฝ้าอยู่กับท่านตลอดเวลา เพียงแต่ท่านอาสะใภ้เองก็สุขภาพไม่ดีนัก ไม่ควรเหน็ดเหนื่อยเกินไป”“น้องเซี่ยเจิงกับพวกเด็ก ๆ ก็อยู่ด้วยกัน แต่ท่านอาเขยก็ยังยืนกรานจะดูแลด้วยตนเอง” ซ่งรุ่ยช่วยเขากางกระดาษตำรายาแล้วบดหมึก “สองสามีภรรยานี้
ข้าไม่คิดเลยว่า หยุนฮั่นหลินจะขอให้ฮูหยินเสนาบดีมาเป็นแม่สื่ออีกครั้ง และครานี้เขาก็มาด้วยตนเองของกำนัลที่เขานำมาวางเรียงเต็มโต๊ะ แม้มิใช่สิ่งของล้ำค่าใด แต่ก็ดูออกว่าตั้งใจเลือกมาอย่างถี่ถ้วนเขารับเงินเดือนไม่มากนัก ได้ยินว่าต้องขายเรือนและร้านค้าที่บ้านเสียก่อน จึงจะสามารถซื้อบ้านเล็กๆ ในเมืองหลวงได้ฮูหยินเสนาบดีพูดว่า “ท่านหญิง ข้าเองก็เกลี้ยกล่อมเขาหลายครั้งแล้ว ให้เขาล้มเลิกความคิดนี้เสีย แต่เขาดื้อรั้นนัก จึงได้ยอมมาด้วยเป็นครั้งสุดท้าย เช่นนี้เถิด พวกเจ้าคุยกันเอง หากเจ้าไร้ใจจริงๆ ก็บอกปฏิเสธเขาให้เด็ดขาด อย่าให้เขายังฝังใจไม่เลิกราอีก”ข้าคิดว่าพูดให้ชัดเจนเสียย่อมดี จะได้ไม่ต้องให้ภาพของเขาแวบมาในใจข้าอีกเป็นครั้งคราวฮูหยินเสนาบดีอ้างว่าจะไปเดินชมสวน ทิ้งข้าไว้กับเขาในห้องโถง ข้ารับรู้ได้ว่าบรรดาสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอก ต่างก็มีแววตาคาดหวังและยินดีคนอื่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ แต่ซวงซวงผู้รับใช้ข้ามานาน นางติดตามข้าไปอยู่ที่จวนเฉิงเอินป๋อ และย้ายออกมากับข้าด้วย นางย่อมไม่อยากให้ข้าอยู่โดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตนางมักพูดว่า บุรุษในใต้หล้านั้น มิใช่ทุกคนจะเป็นคนใจดำไม่รู้คุณ
คลื่นแผ่วบางในใจข้าที่เคยพัดผ่าน ก็หาได้แผ่ขยายในทะเลสาบใจข้าไม่ ข้ายังคงใช้ชีวิตไปตามครรลองเช่นเดิมบางคนก็เปรียบได้กับแสงตะวันอุ่นในชีวิต นำพาความอบอุ่นมาเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นตะวันก็ตกดิน แล้วก็หายไปจนกระทั่งผ่านไปหลายเดือน พี่สาวมาหาข้า บอกว่าเหลียงเส้าไปแจ้งความที่จวนผู้ตรวจการประจำเมืองหลวง บอกว่ามีคนติดตามเขาตลอด จวนผู้ตรวจการตรวจสอบแล้วจึงทราบว่าเป็นคนของหยุนฮั่นหลินที่ส่งไปติดตามนางจึงไปพบหยุนฮั่นหลิน และเขาก็บอกว่า เป็นห่วงว่าเหลียงเส้าจะมาก่อกวนข้าอีก จึงส่งคนไปเฝ้าดูไว้แน่นอนว่า ยังได้รู้เรื่องอื่นอีกด้วยเดิมที ก่อนที่หยุนฮั่นหลินจะได้เป็นจอหงวน ปีหนึ่ง เขาเคยพามารดาเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบ ตอนนั้นมารดาของเขามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนสิ้นใจอยากเห็นเขาสอบได้จึงฝืนมาแต่พอมาถึงเมืองหลวง เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง โรคจึงกำเริบหนัก ถึงขั้นเป็นลมหมดสติในโรงเตี๊ยมตอนนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมกลัวว่านางจะสิ้นใจในโรงเตี๊ยม จึงขับไล่แม่ลูกคู่นี้ออกมาเขาแบกมารดาไปขอพักที่อื่น แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับ ต้องนอนข้างถนนอยู่สองคืนติดอากาศในฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มเย็น ทำให
เหลียงเส้าไม่กล้ามาอีกแล้ว แต่กลับเป็นหยุนฮั่นหลินที่มักจะปรากฏตัวตรงหน้าข้าเสมอหลายครั้งที่เขาพาคนมาที่ร้านของโรงงานที่ข้าจัดตั้งไว้ ร้านนี้ขายงานปักที่พวกสาวช่างปักทำขึ้น ตลอดหลายปีมานี้ก็สะสมลูกค้าสตรีจากตระกูลใหญ่และภรรยาเหล่าขุนนางไว้มากมาย ข้าบางคราก็มาเยี่ยมเยือนสังสรรค์บ้างแท้จริงแล้ว งานปักมิได้ขายยากนัก ทั่วทั้งเมืองหลวงแทบไม่มีใครเทียบฝีมือของแม่นางม่อได้ เพียงแต่หากจะขายให้แขกชั้นสูง ก็จะตั้งราคาสูงขึ้นบ้างบัดนี้ราชสำนักอนุญาตให้หญิงตั้งบ้านเป็นของตนเองได้ พวกนางต่างหวังว่าจะหาเงินได้มากพอเพื่อซื้อเรือนเล็กๆ สักหลัง แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขข้าเป็นถึงฮูหยินเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นญาติฝ่ายแม่ของพระชายาเนี่ยเจิ้งอ๋อง สตรีเหล่านั้นย่อมยินดีจะสนิทสนมกับข้าทีแรกหยุนฮั่นหลินเพียงพาคนผ่านหน้าร้าน บังเอิญหันตามองเข้ามาคราหนึ่งแล้วก็จากไปครั้นทำเช่นนั้นหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มเข้ามาซื้อของในร้านเสียเลยในร้านนอกจากเสื้อผ้าชุดคลุมแล้ว ยังมีงานปักเล็กๆ เช่น พัด ผ้าเช็ดหน้า ฉากกั้นเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นของใช้สำหรับสตรีเขามิได้ซื้อเสื้อผ้าเลย ซื้อแต่พัดพับเท่านั้นแท้จริงพัดพับม
ข้าเงยหน้ามอง บุรุษผู้นั้นกลับเป็นหยุนอิ่งหยางเขารีบยืนขวางระหว่างข้ากับเหลียงเส้า ข้าหันหลังให้เขา จึงไม่เห็นสีหน้า ได้ยินเพียงเสียงเคร่งขรึมของเขาว่า “ถอยไป”ชัดเจนว่าเหลียงเส้าตกใจ ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แล้วมองสำรวจหยุนฮั่นหลิน “เจ้าคือผู้ใด? ข้ามาหาฮูหยินของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า”เมื่อได้ยินคำว่าฮูหยิน ข้าก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างยากจะทานทน เรื่องราวในอดีตถาโถมเข้ามา ทำให้ข้าโมโหยิ่งนัก จึงกล่าวเย็นชา “ข้าไม่มีสามี มิใช่ฮูหยินของผู้ใด โปรดอย่าร้องเรียกมั่วซั่วให้เสียชื่อข้า”เหลียงเส้ารีบร้อนเอ่ยว่า “หลานเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าข้าผิดแล้ว เจ้าจะลงโทษหรือด่าทออย่างไรข้าก็ยอม แต่พวกเรา…”“พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยากัน” หยุนฮั่นหลินเห็นท่าทีของข้าก็ขัดจังหวะเขาทันที แล้วหันไปโบกมือเรียกคน “ใครก็ได้ มานี่ นำตัวคุณชายจวนเฉิงเอินป๋อกลับไปเสีย”ทันใดนั้นก็มีชายสองคนเข้ามา จับตัวเหลียงเส้าไว้ข้างละข้างเหลียงเส้าตกใจร้องลั่นใส่หยุนฮั่นหลิน “เจ้าคือใคร? ข้ามาหาเมียข้า มันเกี่ยวอันใดกับเจ้า!”“ข้าเป็นใครก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า นำตัวไป!” หยุนฮั่นหลินออกคำสั่ง หนึ่งคำ สองคนนั้นก็ลากตัวเหลียงเส้าออ
พวกเขามีเรื่องขึ้นมาจริงๆข้ามิเคยแม้แต่จะฝัน ว่าเสด็จพ่อผู้ขี้ขลาดหวาดกลัวของข้า จะกล้าร่วมมือก่อกบฏเสด็จพ่อกับพี่ชายถูกตัดศีรษะ เสด็จแม่ถูกคุมขัง เรื่องราวครั้งนี้หาได้พัวพันถึงข้าไม่ เพราะพวกเขาตัดขาดกับข้ามาแต่เนิ่นๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนรู้กันทั้งนั้นเมื่อก่อนข้าเคยสาบานไว้ว่า ต่อให้พวกเขาเป็นอะไรไป ข้าก็จะไม่ข้องเกี่ยวอีกทว่า สายใยเลือดเนื้อกลับตัดไม่ขาด แม้ในใจจะโกรธเกลียดเพียงใด แต่ก็ยังปวดร้าว ยากจะกินได้นอนหลับข้าจึงไปขอร้องลูกพี่ลูกน้อง ให้ข้าได้นำเสื้อผ้าอาหารเข้าไปส่งให้ในเวลาที่เหมาะสมเมื่อเสด็จแม่เห็นข้า ก็ร่ำไห้คร่ำครวญ ขอร้องให้ข้าช่วยนางออกมาข้ายังแก้นิสัยร้องไห้ง่ายไม่หาย เพียงแต่ใจแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้าจึงพูดว่า “เมื่อข้าติดอยู่ในโคลนตมของตระกูลเหลียง ขอร้องพวกท่านช่วยเหลือ พวกท่านกลับบอกว่าต่อให้ติดหล่มก็ยังมีลมหายใจ ให้ข้าอยู่เฉยๆ อย่างว่าง่าย คำพูดนี้วันนี้ก็ขอคืนให้ท่าน แม้ตอนนี้ท่านจะถูกจองจำ แต่ตราบใดที่ยังหายใจได้ ก็ถือว่ารอดแล้ว”ข้าพูดจบก็หันหลังจากไป ปล่อยให้นางร้องไห้โวยวายสารภาพผิดอยู่เบื้องหลัง ข้าก็ไม่ได้หันกลับไปเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ