ฮูหยินผู้เฒ่าโรคกำเริบทำให้ที่จวนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ต้องตามหาหมอหลวงมาช่วยรักษาอาการของนางให้คงที่ชั่วคราวหมอหลวงพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ข้าเคยมารักษาให้ฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน แต่ทักษะทางการแพทย์ของข้าไม่ดีเอง หมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงในการรักษาโรคหัวใจคือหมอมหัศจรรย์ดัน และยาดันเสวี่ยของเขาเป็นยาที่ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าได้ ยามนี้ข้าทำแต่แค่ช่วยควบคุมอาการของนางได้ เพราะนางทานยาดันเสวี่ยมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว และฤทธิ์ยายังอยู่ แต่หากต่อไปกำเริบอีก ข้าคงหมดหนทางแล้วขอรับ"หลังจากพูดอย่างนั้น หมอหลวงก็บอกลาและจากไปดวงตาของจ้านเป่ยว่างแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาไปเรียนเชิญหมอมหัศจรรย์ดันด้วยตัวเองในคืนนี้ แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่ยอมพบเขาเลยด้วยซ้ำเขารู้ว่าซ่งซีซีใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับให้เขาเลิกแต่งงานกับยี่ฝาง วิธีนี้แย่มากและน่ารังเกียจจริงๆ ที่จะใช้ชีวิตของท่านแม่มาบีบเขาเขาเดินตรงไปที่เรือนเหวินซี แล้วเตะประตูให้เปิดออกซ่งซีซียังไม่ได้นอน และกำลังเขียนหนังสืออยู่ใต้ตะเกียง นางขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขามาด้วยความโกรธทั่วตัวเขา เห็นได้ชัดว่าเขามาเอาเรื่อง"แม่นม เป่าจู พวกเจ้าออกไปก่อน!""พ
แสงไฟในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเปิดอยู่ตลอดทั้งคืนเมื่อจ้านเป่ยว่างเสนอว่าจะหย่ากับภรรยา ท่านพ่อของเขาเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย "ถ้าเจ้าหย่ากับนาง ขุนนางตักเตือนจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้อย่างแน่นอน การทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายอนาคตของเจ้าเองอย่างไม่ต้องสงสัย"พี่ชายคนโต จ้านเป่ยชิงยังกล่าวอีกว่า "น้องชายรอง ท่านพ่อพูดถูก เจ้าลองคิดดูสิว่ามีทหารในกองทัพตั้งเท่าไรที่เป็นลูกน้องเก่าของพ่อนาง? ที่เจ้าสามารถบรรลุความสำเร็จได้ในครั้งนี้เป็นเพราะมีพวกเขาที่ช่วยเหลือเจ้า หากเจ้าสูญเสียการสนับสนุนของพวกเขา เจ้าคงอยู่ไม่มั่นคงในกองทัพนะ""แต่ข้าทนไม่ไหวที่นางใช้ความปลอดภัยของท่านแม่มาคุกคามข้า!" ใบหน้าของจ้านเป่ยว่างเย็นชามากฮูหยินผู้เฒ่ามีสติกลับมาแล้ว แต่ความเจ็บปวดเมื่อกี้นี้ ทำให้นางเกลียดซ่งซีซีมาก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอะไรขึ้นมาจึงเงยหน้าขึ้นทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงหยาบว่า "หย่า หย่ากับนาง หากนางถูกเราไล่ออก สินเดิมก็หย่าคิดจะเอากลับเลย"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ข้าไม่คิดจะเอาสินเดิมของนาง!""ทำไมจะไม่เอาล่ะ ในเมื่อนางถูกไล่ออก สินเดิมย่อมจะตกเป็นของจวนแม่ทัพเรา" ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหน้าอกของนาง เพราะย
จ้านเป่ยว่างรีบหยุดนางไว้ "ท่านแม่ ท่านฟังข้านะ สินเดิมของนางข้าไม่เอา"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "เจ้านี่โง่มากจริงๆ ลูกโง่เอ๊ย นางรังแกเรา เจนเราตกอยู่ในสภาพแบบไหนแล้ว เจ้ายังใจอ่อนกับนาง นางต้องการชีวิตของแม่ของเจ้านะ!"จ้านเป่ยว่างตั้งใจแน่วแน่ว่า "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายใหญ่ การยึดสินเดิมของนางมิใช่การกระทำของลูกผู้ชาย พรุ่งนี้ขอให้ท่านพ่อและพี่ชายใหญ่เชิญหัวหน้าทั้งสองตระกูลมา และแม่สื่อที่จะเป็นผู้จับคู่ในวันนั้นเพื่อเป็นพยานให้ ส่วนเพื่อบ้านต่างๆ ก็เรียกสักสองสามคนเพื่อทำตามขนบธรรมเนียมก็เท่านั้น""คนที่เป็นแม่สื่อของพวกเจ้า เป็นพระชายาอ๋องเยี่ยน" จ้านจี้ขมวดคิ้ว "พระชายาอ๋องเยี่ยนเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางซ่งและเป็นน้าของซ่งซีซี"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเชิญนาง ไปหาแม่สื่อที่มาทำพิธีให้คนนั้น ข้าจำได้ว่าได้รับเชิญจากซีฟาง"พระชายาอ๋องเยี่ยนมีสุขภาพย่ำแย่ ดังนั้นจวนอ๋องเยี่ยนเลยมอบให้พระชายารองจัดการหมด แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เกรงกลัวพระชายาอ๋องเยี่ยนที่ไม่ได้ที่โปรดและไร้บุตรด้วย แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างปัญหากับราชวงศ์จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ให
ยี่ฝางครุ่นคิด โดยชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในใจของตัวเองการหย่าร้างกับภรรยาย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ใช่ว่านางไม่ให้ความสำคัญกับฐานะภรรยาเอก แต่การหย่าในตอนนี้จะเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของพวกเขาอนาคตของนางเองมีความสำคัญมากโดยธรรมชาติเพียงแต่ว่า คนนั้นคือซ่งซีซี เมื่อพบนางในวันนั้น และเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของนาง ก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจมากนี่เป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนนังจิ้งจอกซึ่งสามารถหลอกล่อผู้คนได้ง่ายเสมอ ไม่อน่ว่าจ้านเป่ยว่างจะตกหลุมรักนางอีกครั้งในอนาคตหลังจากที่เขาหย่ากับนาง ตัวเองก็กลายเป็นภรรยาเอกทันทีที่แต่งงาน สิ่งที่ทำให้ท่านพ่อของนางไม่พอใจในตอนแรกคือภรรยาที่เท่าเทียมกันก็เป็นอนุภรรยาด้วย เมื่อนางเป็นภรรยาเอกท่านพ่อของนางไม่มีเหตุผลที่จะไม่พอใจอีกเลยอีกอย่าง มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นภรรยาเอกล่ะ? เหตุผลที่นางตกลงกันก่อนหน้านี้คือนางไม่มีทางเลือก เพราะความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแต่งงานแล้ว โชคดีที่พวกเขายังไม่ได้ร่วมรักกันนอกจากนี้ หญิงสาวที่บอบบางและอ่อนแอจากตระกูลขุนนางคนหนึ่งนางมีความมั่นใจในตัวว่าสามรถควบคุมอีกฝ่ายได้ แล้วเป็นนายหญิงของครอบครัวแล้วทำไม
จ้านเป่ยว่างตกตะลึง "แต่ช้าจะเอาสินเดิมของนางได้อย่างไร ข้าเป็นถึงแม่ทัพชั้นสี่ เป็นลูกผู้ชาย จะใช้สินเดิมของสตรีที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร"ยี่ฝางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองนาง สีสายตาหนักแน่น "ท่านแม่ของเจ้าต้องกินยาประจำ และยาก็ไม่ใช่ถูกด้วย ความสำเร็จในการออกศึกของเราในครั้งนี้ใช้กับพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว และไม่มีค่าตอบแทนอะไรอีก ถึงแม้ว่าเราเป็นแม่ทัพชั้นสี่ เงินเดือนประจำปีของพวกเราก็มีแค่นั้น ต่อให้ใช้กับจวนหมด ก็คงใช้จ่ายไม่ไหว""อีกอย่าง..." นางรู้สึกน่าละอายใจเล็กน้อยที่จะพูดแบบนี้ จากนั้นจึงรีบเสริมขึ้นว่า "แม้ว่าเราจะสะสมผลงานทางทหารต่อไปในอนาคต แต่มันก็ไม่ใช่ใช้เวลาน้อยๆ ข้าราชการฝ่ายทหารมักจะลำบากหน่อย จะปล่อยให้อาการของท่านแม่เจ้าแย่ลงไม่ได้ ดังนั้น คืนให้ทั้งหมด ไม่ก็ยอมรับการถูกหาว่าเป็นลูกอกตัญญู"จ้านเป่ยว่างไม่ได้คิดว่านางจะพูดแบบนั้น เขาไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกในใจของเขาคือความผิดหวังหรือจนใจ แต่ถ้าเขาคิดดูดีๆ แล้ว สิ่งที่ยี่ฝางพูดก็สมเหตุสมผล หวังดีกับเขานางก็กลัวว่าเขาจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูและจะถูกขุนนางจับผิด จนส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาเมื่อคิดถึงเช่นนี
จ้านจี้รู้ดีว่าซ่งไท่กงเป็นคนใจร้อนและรับมือได้ยาก เลยไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง "ท่านผู้เฒ่า อย่ากังวลเลย ที่ข้าเชิญท่านมาที่นี่วันนี้เพื่อจัดการกับเรื่องของเด็กสองคนอย่างชัดเจน โปรดอย่า ใจร้อน"ซ่งซื่ออันก็ปลอบโยนปู่ของเขาและพูดว่า "เดี๋ยวรอซีเอ๋อร์ออกมา เราค่อยถามนาง จะปล่อยให้ครอบครัวของพวกเขาได้ตัดสินใจในทุกสิ่งหมดไม่ได้อยู่แล้ว"ซ่งไท่กงพูดด้วยความโกรธ "ไม่ว่าอย่างอื่นเลย แค่มองจากจ้านเป่ยว่างที่ออกเดินทางทำศึกมาหนึ่งปีนี้ ซีเอ๋อร์ของเรารอเขามาหนึ่งปีเต็มๆ แถมดูแลพ่อแม่สามี ดีต่อญาติพี่น้องในบ้าน จัดการเรื่องในบ้าน เขาก็ไม่ควรรังแกนางเช่นนี้""ท่านผู้เฒ่าใจเย็นๆ ก่อนนะ รอจนกว่าทุกคนมาครบแล้วค่อยว่ากันก็ไม่สายไปนะ" จ้านเป่ยว่างกล่าวอย่างสงบเขาไม่กล้าเชิญเพื่อนบ้านมาเข้าร่วม เพื่อนบ้านของจวนแม่ทัพเป็นขุนนางทั้งนั้น หากเรียนเชิญขุนนางมาเป็นพยานที่เจาจะหย่า มันก็ส่งผลเสียต่ออนาคตของเขาเดิมที จ้านเป่ยว่างอยากเชิญขุนนางที่ดูแลทะเบียนบ้านมาประทับตราหนังสือหย่า แต่เขาก็คิดว่าหลังจากลงนามในหนังสือหย่าแล้ว เขาจะไปส่งไปที่สำนักรัฐด้วยตัวเอง และไม่ต้องการให้คนจำนวนมากไปรู้เรื่องนี้ส่ว
ซ่งซีซีมองดูเขา ใบหน้าที่สวยงามของนางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย "แม่ทัพยี่ฝาง คิดเข้าข้างข้าจริงๆ ยังเหลือสินเดิมได้ครึ่งหนึ่งไว้ให้ข้า""ไม่ นี่ไม่ใช่จดหมายของยี่ฝาง ไม่ใช่นางเขียน" จ้านเป่ยว่างแต่ตัว จดหมายได้ลงนามในตอนท้าย ดังนั้นการแก้ตัวของเขาจึงไร้ประโยชน์ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมอง "งั้นเหรอ? งั้นข้าขอถามแม่ทัพสักคำ การหย่าในวันนี้ จะคืนสินเดิมทั้งหมดให้ข้าเอาไปหรือไม่?"ก่อนที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จ้านเป่ยว่างคงตอบอย่างแน่นชัดว่าคืนให้หมด แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะคัดค้านก็ตามอย่างไรก็ตาม ในเมื่อยี่ฝางเขียนจดหมายและขอให้เก็บสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่ง หากเขาไม่ทำตามที่ยี่ฝางบอก ยี่ฝางคงจะผิดหวังมากซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ลังเลเหรอ? ดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้มีศักดิ์สิทธิ์อะไรมากนี่!"เสียงของนางแผ่วเบา แต่ทุกคำพูดกลับแทงใจดำนางรอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ที่บานในต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็งจ้านเป่ยว่างรู้สึกทั้งละอายใจและรำคาญด้วย แต่พูดไม่ออกสักคำ เขาทำได้เพียงมองดูนางเดินผ่านไปพร้อมกับเยาะเย้ยเมื่อซ่งไท่กงเห็นซ่งซีซี เขาก็ถามทันทีว่า "ซีซี ที่จวนแม่ทัพได้รังแกเจ้าหรือไม่ เจ้าไม
"ห้าส่วน!" จ้านเป่ยว่างที่ยืนอยู่ที่ประตู และชำเลืองมองทุกคนที่อยู่ข้างใน แต่หลับหลบหนีสายตาของซ่งซีซี "สินเดิมของนางจะคืนให้ห้าส่วน หากซ่งไท่กงและท่านลุงซ่งไม่พอใจก็สามารถไปร้องเรียนที่สำนักรัฐ ว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นผิดกฏหรือไม่"ซ่งซื่ออันพูดด้วยความโกรธ "ห้าส่วน เจ้ากล้าพูดมากจริงๆ ตอนที่ซีซีแต่งงานดับเจ้า ขบวนสู่ขอที่ยาวเป็นสิบลี้ นั่นมันเงินเท่าไหร่ บ้านไร่ และร้านค้ามากเท่าไร พวกเจ้าโลภมากจริงๆ"จ้านเป่ยว่างจับจดหมายที่ถูกจับจนไม่เป็นท่าในมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าสามารถไปฟ้องร้องได้ ข้าได้เตรียมจดหมายหย่าแล้ว และจะมอบให้พวกเจ้าอ่านก่อน!"เขาส่งสัญญาณให้พ่อบ้านส่งจดหมายหย่า และซ่งซีซีก็เอื้อมมือไปรับพ่อบ้านถอนหายใจเงียบๆ แล้วก้าวถอยหลังไป ฮูหยิงใจดีขนาดนั้น ทำไมต้องหย่ากับนางด้วยเล่า?ซ่งซีซีอ่านดูจดหมายหย่าสักพัก แล้วพบว่าเป็นเขาที่เขียนเองจริงๆ ปีที่ผ่านมานี้นางได้รับจดหมายจากเขามาบ้าง เลยจำลายมือของเขาได้จดหมายหย่านั้นเรียบง่ายมาก แค่กล่าวถึงความอกตัญญูและความอิจฉาริษยาของนางเพียงสั้นๆ และสุดท้ายก็ขออวยพรให้นางได้พบกับคนที่ใช่อีกครั้ง"หวังว่าต่อไปท
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง