นางกระพริบตา “ศิษย์น้องชาย?”ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่แข็งทื่อ หันหลังกลับ และพูดปากแข็งว่า "ข้าไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าข้าจะไม่เข้าร่วมสถาบันว่านซงเหมิน ข้าเป็นเพียงศิษย์ส่วนตัวของเขา"นางยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย "ศิษย์น้อง จะพูดเช่นนี้ก็คือกำลังพูกหลอกลวงแล้วนะ ขนาดศิษย์อาเป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมิน ท่านเป็นศิษย์ของเขา ท่านจะไม่เป็นสมาชิกของสถาบันว่านซงเหมินได้อย่างไร ศิษย์น้องไหว้ครูตั้งแต่เมื่อใดล่ะ? "ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่ยังคงพยายามยิ้มอย่างหนัก และเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่สนใจอะไร "เมื่อกี้เราบอกว่าจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปหาซ่งไท่กงสินะ เจ้าวางแผนจะไปเมื่อไหร่?"ซ่งซีซียกคางขึ้นแล้วกระพริบตาให้เขา “ศิษย์น้อง พี่และรุ่ยเอ๋อร์จะไปพรุ่งนี้”ไม่รู้ทำไม พอรู้ว่าเขาเป็นสมาชิกของสถาบันเอง ซ่งซีซีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก และอยู่ต่อหน้าเขาก็ได้เป็นตัวของตนเองมากขึ้น"..." เซี่ยหลูโม่กลอกตามองบนใส่นาง "ข้าอายุมากกว่าเจ้า"“อืม ศิษย์น้องอายุมากกว่าพี่จริงๆ” ซ่งซีซีมีความสุขมาก ไม่น่าแปลกใจในตอนแรกเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย แค่บอกว่าไปภูเขาเหม่ยชานทุกปี ที่แท้
เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเป่ยหมิง แม้ว่าจะไม่มีสงครามและเขาพักอยู่ที่เมืองหลวง แต่กองทัพเป่ยหมิงก็อยู่ไม่ไกล งานที่กองทัพก็มีไม่น้อย บางทีต้องฝึกฝนทหารด้วย จะให้ดำรงตำแหน่งต้าหลี่ซื่อชิงได้อย่างไร?อีกอย่าง หอต้าหลี่รับผิดชอบเรือนจำและทบทวนโทษประหารชีวิตในคดีสำคัญๆ พวกนี้เป็นงานเรื่องเอกสารต่างๆ แต่เขาเป็นแม่ทัพนี่น่ะในเมื่อดำรงตำปหน่งต้าหลี่ซื่อชิงแล้ว เหตุใดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชากองทัพซวนเจียอีกด้วย?ด้วยตำแหน่งทั้งขุนนางพลเรือนและแม่ทัพ บวกกับผู้บัญชาการแห่งกองทัพเป่ยหมิง เขาจะทำหน้าที่เยอะขนาดนี้ไหวเหรอ?เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย "ตราพยัคฆ์ที่กุมอำนาจทางทหารถูกส่งมอบไปแล้ว และตอนนี้ กองทัพเป่ยหมิงให้หวังเบียวดูแลชั่วคราว"หวังเบียว?ซ่งซีซีรู้จักเขา หวังเบียวคือท่านป๋อผิงซี คนนี้เคยมีชื่อเสียงในกองทัพ แต่เนื่องจากครั้งหนึ่งที่เขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ จากนั้นก็ออกศึกไม่ได้อีกเลย ได้สืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ของท่านปู้เขาก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนอีกเลยเห็นๆ อยู่ว่าจวนป๋อผิงซีใกล้จะตกอับแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮ่องเต้แต่เหตุใดแม่ทัพพิการคนห
ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก เซี่ยหลูโม่ขอตัวกลับแล้วซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะเข้าใจบางเรื่องได้ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเมื่อเห็นว่านางกำลังงุนงง แม่นมเหลียงก็ลังเลก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเฉินฟูห้ามไว้ เฉินฟูส่ายหัวให้นาง "ไปหาอะไรให้นายน้อยกินเถอะ ฝึกฝนสักนานขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่แล้วนะ"แม่นมเหลียงมองไปที่เฉินฟู แล้วถอนหายใจเบาๆ "ได้เลย!"นางหันกลับมาและไปที่ห้องครัว เฉินฟูเดินกะโผลกกะเผลกและพูดด้วยเสียงต่ำในห้องครัวว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดกับคุณหนู แต่อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ รอให้แต่งงานเสร็จก่อนเลย"แม่นมเหลียงพยักหน้า "เข้าใจแล้ว แค่เห็นคุณหนูกำลังสับสน ข้าเลยหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ควรหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น"นางยังถอนหายใจ "ข้าเพิ่งรู้วันนี้ว่า ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารของเขา เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจว่าที่ท่านอ๋องสละอำนาจทางทหารก็เพื่อคุณหนู นี่ฝ่าบาทใช้คุณหนูเป็นเหยื่อ กำลังล่อจับท่านอ๋องอยู่เลย"เฉินฟูกล่าวว่า "คำบางคำแค่เข้าใจในใจก็พอ อย่าเอาไปพูดมั่วๆ ไปข้างนอก""เข้าใจเจ้าคะ คำเหล่านี้จะเอาไปพูดข้างนอกได้ยังไง เพียงแต
คนของตระกูลซ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจหรือไม่ก็เป็นเจ้าของที่ดินที่ซื้อทุ่งนาไว้ พวกเขาจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้ยังไงจะรุ่งโรจน์พร้อมกัน หรือไม่ก็ตกอับพร้อมกัน แม้ว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงซ่งจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรอย่างแท้จริง แต่การมีจวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นที่พึ่งพา หากคนอื่นอยากมาสร้างปัญหาก็คงต้องสำนึกและพิจารณาผลที่ตามมาดังนั้นทุกคนจึงเชื่อฟังสิ่งที่ซ่งไท่กงพูด อีกอย่างตระกูลซ่งก็ถือว่าสามัคคีกันมาโดยตลอด หลังจากจวนเสนาบดีกั๋วกงประสบกับเหตุการณ์ถูกฆ่าสังหารหมู่ เลยไม่มีใครรู้สึกอิจฉาจริงๆไท่กงพูดอะไรมากมาย และรุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังเข้าใจหมดตามหลัการปกติแล้ว เขาซึ่งเป็นเด็กน้อยจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมตระกูลได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อได้ยินไท่กงพูดคำพูดดังกล่าวเช่นนี้ ความรู้สึกถึงพันธกิจของครอบครัวก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติเขายังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องทำอะไร แต่ก่อนอื่นเขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ และทำให้ครอบครัวซ่งและท่านพ่อของตนเองเสียหน้าไปเดือนตุลาคม อากาศเริ่มเย็นลงตระกูลขงส่งเสื้อผ้าจำนวนมากไปให้รุ่ยเอ๋อร์ และยังเลือกหนังชั้นดีให้เขาด้วย บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะได
หมอมหัศจรรย์ดันพยักหน้า "สิ่งแรกคือการบอกเจ้าเกี่ยวกับการล้างพิษของเขา หลังจากการรักษามาระยะนึง ที่ข้าตรวจชีพจรของเขาและวินิจฉัยในวันนี้ ผลดีกว่าที่คาดไว้ และก้อนในลำคอของเขาก็หายดีไม่น้อย""จริงเหรอ?" แม้ว่าซ่งซีซีจะได้ยินจากหงเชวี่ยบอกว่าความคืบหน้าค่อนข้างดีในเมื่อวานนี้ แต่หลังจากการตรวจชีพจรและวินิจฉัยจากหมอมหัศจรรย์ดัน และเขาก็พูดแบบเดียวกัน ซ่งซีซีก็มีความสุขมากขึ้น "เยี่ยมมาก ขอบคุณหมอหงเชวี่ยจริงๆ นะ"หมอหงเชวี่ยยิ้มเล็กน้อยและไม่ถ่อมตัวอีกต่อไป มาวันเว้นวัน เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆหมอมหัศจรรย์ดันจิบชาแล้วพูดต่อว่า "อย่างที่สอง อย่างที่เจ้าบอกเมื่อกี้ว่าร่างกายเกือบจะหายดีแล้วก็ถึงเวลารักษาขา อย่างที่ข้าเคยบอกไปแล้ว การรักษาขาต้องหักกระดูกแล้วกลับมาต่อใหม่"ซ่งซีซีใจเต้นไม่เป็นจังหวะ "ข้ารู้ มันจะต้องเจ็บปวดมาก""ต้องเจ็บปวดมากอยู่แล้ว เจ้าต้องคุยกับเขา และเตรียมใจให้พร้อม ที่นี่ก็มียาแก้ปวดอยู่บ้าง แต่ปวดกระดูกหัก ยาแก้ปวดไม่ค่อยได้ผล แนะนำให้ฝังจุดฝังเข็ม บรรเทาอาการปวดไปเลย""การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวด? เป็นไปได้ไหม?" ซ่งซีซีมีสงสัยเล็กน้อย "ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยพูดถ
หลังจากที่หมอมหัศจรรย์ดันจากไป ซ่งซีซีได้พูดคุยกับรุ่ยเอ๋อร์ก่อน เป็นเรื่องของเขาเอง เขาสามารถให้ความคิดเห็นได้แน่นอนว่าไม่ใช่เขาที่ตัดสินใจ เพียงว่าเขาสามารถให้ความคิดเห็นได้ พอนางไปจวนตระกูลขงก็พูดง่ายหน่อยหลังจากฟังคำพูดของท่านอาแล้ว รุ่ยเอ๋อร์ก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของนางแล้วยิ้ม จากนั้นเขียนคำทีละคำบนฝ่ามือของนาง ว่า "อันที่จริงหมอหงเชวี่ยได้บอกหลานหมดแล้ว ความเจ็บปวดนั้นทนยากมาก ตอนนั้นขาของข้าถูกหัก ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากความเจ็บปวดอยู่แล้ว"ซ่งซีซีให้เขาเขียนใหม่อีกครั้ง แต่คำบางคำยังอ่านไม่ชัด หลังจากที่เขาเขียนอีกครั้ง นางก็เข้าใจและถามว่า "ดังนั้น หนูอยากจะใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวด ใช่ไหม?"รุ่ยเอ๋อร์กลับส่ายหัวและเขียนต่อ "แต่ หากมีความเสี่ยง อาจยังเป็นง่อยหลังจากได้รับการรักษาในอนาคต แล้วมันจะได้ที่ไหน เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะต้องเป็นผู้นำตระกูล เป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกงจะเป็นคนง่อยได้อย่างไร?"เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเล็กๆ ที่แหลมของเขาตอนนี้ดูอ้วนขึ้นเล็กน้อย และนิ้วของเขายังคงเขียนบนฝ่ามือของท่านอาของเขาว่า "ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บเสมอเมื่อเขาไปสนามรบ บาดเ
เมื่อมาถึงเรือนของรุ่ยเอ๋อร์ หมิงจูก็ออกมาต้อนรับรุ่ยเอ๋อร์กำลังนอนอยู่บนเตียง รอกินยา เขาตัดสินใจว่าจะไม่เสี่ยงใดๆ เขาต้องการให้ตนเองดีขึ้นเขาเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมในดวงตาของพวกเขาแสดงความกังวล ทุกคนต้องการปลอบใจเขา แต่รุ่ยเอ๋อร์กลับแสดงท่าทีให้กำลังใจและเข้มแข็งแก่พวกเขาแทนทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น เขาอายุเพียงเจ็ดขวบนี่เอง ซึ่งเป็นวัยที่มีผู้คนมากมายมารักเขาตามใจเขาในขณะที่หมอมหัศจรรย์ดันกำลังจะเริ่มการรักษา เซี่ยหลูโม่ก็มาสมาชิกของตระกูลขงต่างรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตของรุ่ยเอ๋อร์ ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาก็ต้องการไปเยี่ยมและแสดงความขอบคุณต่อเขาอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คาดคิดว่าที่จะเห็นเขาที่นี่ เลยรีบไปแสดงความเคารพและแสดงความขอบคุณทันทีเซี่ยหลูโม่กดมือของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "มันก็แค่เรื่องบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรมาก ที่ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับเขาเวลาเขาได้รับการรักษา เราอย่าพูดอะไรมากนัก ทุกอย่างให้การรักษามาก่อน"ตอนแรกคนของตระกูลขงยังกังวลว่า หากรุ่ยเอ๋อร์ติดตามซ่งซีซี ไปที่จวนอ๋องในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ท่านอ๋องจะร
หมอมหัศจรรย์ดันกำลังนึกถึงเสียงกรีดร้องของรุ่ยเอ๋อร์เมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเส้นเสียงของเขาด้วยเสียงนี้ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกปลาบปลื้มใจสำหรับเรื่องการต่อกระดูกให้หงเชวี่ยทำเองก็ได้ แต่หมอมหัศจรรย์ดันให้ความสำคัญกับรุ่ยเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะทำเองสำหรับเขาแล้ว มันคล่องแคล่วมาก ดูเหมือนจะเป็นทักษะที่ฝังอยู่ในใจของเขา เขาเดินตามกระดูกขาทีละนิ้ว และเมื่อเขาไปถึงตำแหน่ง เขาก็ยืดมันให้ตรงอย่างระมัดระวังรุ่ยเอ๋อร์เจ็บปวดทั้งตัว และร่างกายของเขาก็สั่นเทาไม่หยุด เขาคว้าข้อมือของเซี่ยหลูโม่เอาไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง และเล็บของนางก็แทงเข้าเนื้อจนมีเลือดออกความเจ็บปวดของกระดูกหักนี้เจ็บปวดจริงๆยาแก้ปวดมีผลเพียงเล็กน้อย เขายังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส แผลอยู่ที่ขา แต่เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายหลังจากยืดขาให้ตรงแล้วก็เริ่มทายาและใช้แผ่นไม้สองแผ่นช่วยประกอบไว้ เขาทำได้เพียงอยู่บนเตียงจนกว่ากระดูกจะงอกขึ้นมาใหม่ยาทาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้นั้นล้วนได้ผลมาก เขาพัฒนาเองจนไม่สามารถหาซื้อตามร้านขายยาอื่นๆ ได้ จึงจะได้ผลดีม
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง