หลังจากสมัครเป็นทหารแล้ว จะเริ่มฝึกฝนในวันนั้นเลยพวกเขาทั้งห้าคนและกลุ่มทหารเกณฑ์ใหม่ถูกส่งไปยังสนามฝึก การฝึกขั้นพื้นฐาน เช่น การฝึกจับมีดและการฝึกตัดเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาทั้งห้าคนการฝึกสิบรายการ พวกเขาใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งทำให้ผู้มาใหม่ทุกคนต้องตกตะลึงอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาฟังทฤษฎีสนามรบ พวกเขาก็นั่งฟังอย่างเงียบๆยกเว้นซ่งซีซีที่คุ้นเคยกับการออกศึกแล้ว อีกสี่คนนั้นไม่มีความรู้เดี่ยวกับเรื่องสงครามเลยเนื่องจากซ่งซีซีมีค่ายส่วนตัว แม้ว่ามันมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะให้ทุกคนได้พักผ่อนด้วยกันเมื่อกลับมาที่ค่ายในตอนเย็น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถามซ่งซีซีเกี่ยวกับการแต่งงานของนางซ่งซีซีกอดเข่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ใช่ ข้าแต่งงานแล้ว แต่ก็หย่าโดยสันติแล้ว ยามนี้ข้าโสดอยู่""เยี่ยมมาก!" เฉินเฉินปรบมืออย่างตื่นเต้น "เมื่อศิษย์พี่หลิวรู้เรื่องการแต่งงานของเจ้าณ เขาเสียใจมานานเลย ตอนนี้เจ้าหย่าโดยสันติแล้ว เจ้าสามารถแต่งงานกับศิษย์พี่หลิวนี่น่ะ"ซ่งซีซีใช้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง "ข้าไม่เอา ศิษย์พี่หลิวดุขนาดนั้น""จะดุกว่าอาจารย์ของเจ้าได้หรือ? เมื่ออ
ใต้เท้าซุน เสนาบดีช่วยขวากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าเกรงว่ามันสายเกินไปที่จะส่งกำลังเสริมในเวลานี้ ข่าวนี้สายลับของเรากลับไม่ได้สืบมาให้รู้ล่วงหน้า จะเห็นได้ว่าสายลับของเราทั้งหมดในแคว้นซาและเมืองซีจิงถูกฆ่าตายหมดแล้ว"จักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่า ซ่งซีซีได้เข้าเฝ้าเพื่อรายงานเรื่องนี้เมื่อสิบวันก่อน ในเวลานั้น นางได้ทำจดหมายปลอมโดยบอกว่าเป็นข่าวที่เสิ่นชิงเหอ ศิษย์พี่ของนางสืบมาแต่ในเวลานั้น เขาคิดว่านางยังติดใจกับเรื่องความรัก ทนเห็นจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางแต่งงานกันไม่ได้ เขาจึงดุนางยกใหญ่ และสั่งกัหขังนางไว้ที่จวนไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นจะเป็นความจริงหากเขาเชื่อใจนางเมื่อสิบวันก่อน ส่งกำลังเสริมไปช่วยทันที และสั่งให้ผู้คนรวบรวมอาหารและหญ้าด้วย ด้วยความสามารถของเสด็จน้องในการเป็นผู้นำกองทัพ ก็หาใช่ว่าไม่สามารถสู้กับกองกำลังพันธมิตรระหว่างเมืองซีจิงกับแคว้นซาได้ยี่ฝางและจ้านเป่ยว่างมองหน้ากัน ในที่สุดโอกาสที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้วชัยชนะที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาใช้ผลงานนั้นมาสู่ขอพระราชทานอภิเษกสมรส ตราบใดที่พวกเขาเอาชนะศึกที่เขตหนานเจียง งั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นคนโปรดที่ทุกคนชื่นชมแ
หลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกไป จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีได้หารือเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้ตรวจงาน และจำเป็นต้องร่วมรวมเสบียงอาหารเพื่อส่งไปยังสนามรบเขตหนานเจียงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับสงครามครั้งนี้แล้ว ได้ยึดเมืองมาแล้ว 23 แห่งติดต่อกัน หากพ่ายแพ้ในเวลานี้ จักรพรรดิ์ซูชิงจะไม่ยอมหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางออกจากวังแล้ว จ้านเป่ยว่างก็ขมวดคิ้วพูดว่า "เจ้าจะไปรับประกันได้อย่างไรว่ากองทหารของเราจะมาถึงสนามรบก่อนกองทัพเมืองซีจิงเล่า ชาวเมืองซีจิงออกเดินทางมานานกว่าสิบวันแล้ว และเราก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง เลย แม้ว่าจะเดินทางเร่งด่วนยังไง ก็ไม่สามารถถึงก่อนชาวเมืองซีจิงอยู่ดี"ยี่ฝางมีความมั่นใจในตัว "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่เราทุ่มเทอย่างเต็มที่ ต้องทำได้อย่างแน่นอน"จ้านเป่ยว่างโกรธจัด "เจ้าว่าอย่างสบายมากเลย ก่อนหน้านี้ที่เรานำกองทัพหลวงไปที่ชายแดนเฉิงหลิงเพื่อสนับสนุนที่นั่น และเราใช้เวลาสองเดือนเต็มๆ กว่าจะไปถึงนั่น ยามนี้เรากำลังจะไปเขตหนานเจียง เรามีเวลาเพียงยี่สิบวันเท่านั้น เจ้าจะไปทันได้ยังไง?"ยี่ฝางพูดอย่างไม่พอใจ "มีเวลามาพูดไร้สาระ สู้กลับจวนจั
จ้านเป่ยว่างกลับไม่คิดเช่นนั้นเมื่อก่อนเขาอยากไปสนามรบเขตหนานเจียงก็จริง แต่เฉพาะตอนที่มีทหารแคว้นซาเท่านั้น บัดนี้ มีกแงทัพตั้งสามแสนนายจากเมืองซีจิงเข้าสู่เขตซีม่อนและเขตอีลี่ และแคว้นซาจะเพิ่มกองกำลังอีกหรือไม่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำบัดนี้กองกำลังของศัตรูมีจำนวนห้าแสนนาย เขานำกองทัพหลวงรวบรวมได้ไม่ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นนาย บวกกับกองกำลังในมือของเป่ยหมิงอ๋องที่ไม่ถึงสองแสนนาย พอรวมๆ กันแล้วก็แค่สามแสนเองยิ่งไปกว่านั้นกองทหารปัจจุบันของเป่ยหมิงอ๋องต่างก็เหนื่อยล้ามาก มีทหารบาดเจ็บมากมาย อาหารและหญ้าขาดแคลน กำลังอดกินรอเสบียงอยู่ ยามนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางไปเอาชนะเขตอีลี่ได้ ทำได้แค่รอกองทัพเสริมมาที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เป็นฤดูหนาว ทางเขตหนานเจียงมัน หนาวมากทีเดียว ไม่เอื้ออำนวยต่อการสู้รบ แต่ชาวแคว้นซามักจะเป็นคนหยาบคาย ขึ้นชื่อว่าทหารหมีดำ พวกเขาไม่กลัวความหนาว ในฤดูหนาวพวกเขายังสามารถเล่นเปลือยกายบนน้ำแข็งด้วยซ้ำดังนั้นความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศจึงแตกต่างกันมาก การรบครั้งนี้จะรับมือยากมาก โดยเฉพาะหากแคว้นซายังคงส่งทหารเพิ่มเพื่อยึดเมืองที่สูญหายไปกลับคืนมาในรวดเดียว และควบคุมเขตหน
ข่าวที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกำลังจะออกศึกที่เขตหนานเจียง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลนางรู้ว่าการไปออกศึกถือเป็นพรก็เป็นหายนะด้วย หากได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ หากายแพ้ งั้นต้องเสียชีวิตในสนามรบอย่างไรก็ตาม หลังจากคิดซับซ้อนมาสักพักหนึ่ง นางก็ยังเชื่อในตัวลูกชายของนางและยี่ฝางด้วย เพราะถึงยังไงในสงครามชายแดนเฉิงหลิง ยี่ฝางเป็นคนได้สร้างผลงานที่ใหญ่ที่สุดนางมีความสามารถยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นแม่ทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่ออกคำสั่งเท่านั้น เรื่องต่อสู้นั้นเป็นหน้าที่ของพวกทหารพอคิดถึงเช่นนี้ ความสุขก็กลบความกังวลไปแล้ว เลยสั่งคนให้ช่วยจัดเตรียมเรื่องที่พวกเขาจะออกเดินทางเพียงไม่กี่วันหลังจากที่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางนำกองกำลังออกจากเมืองหลวง ในที่สุดสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นซาก็รายงานข่าวกลับไปที่ราชสำนักข่าวลับที่พวกเขารายงานนั้นเหมือนกับข่าวที่ส่งกลับมาโดยเป่ยหมิงอ๋องในเขตหนานเจียงทุกประการและเหมือนกันกับข่าวที่ซ่งซีซีรายงานตอนที่นางเข้าวังเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วด้วยจักรพรรดิหนุ่มที่มีรูปหล่อฉีกรายงานลับด้วยความโกรธ ห่า
จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "นางได้ทำโทษอะไร นางไปที่เขตหนานเจียงเพื่อรายงานข่าว เสด็จน้องอาจเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้โจมตีโดยไม่ตั้งตัว บางครั้งข่าวกรองทางทหารจะส่งให้เร็วกว่าหนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วยาม มันก็มีผลต่างการ นางได้สร้างผลงานไว้ เป็นข้าที่ไม่เชื่อใจนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวพลางหันไปด้านข้างเล็กน้อย "ข้าได้ส่งองครักษ์หลวงไปจับตาดูนางไว้ นางยังสามารถหนีออกไปได้กลางดึก ดูเหมือนว่าวิชาตัวเบาของนางได้เก่งมาก"อู๋ต้าปั้นยิ้มและกล่าวว่า "ฝ่าบาท ถึงยังไงนางได้เรียนศิลปะการต่อสู้ในสถาบันว่านซงเหมินมาเจ็ดแปดปีแล้ว สถาบันว่านซงเหมินเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นซางของเรา ได้ยินมาว่า นาง เป็นศิษย์ที่มีศักยภาพมากที่สุดของนิกายเลย""จริงเหรอ?" ความรู้ที่จักรพรรดิ์ซูชิงมีต่อสถาบันว่านซงเหมินนั้นจำกัดแค่เสิ่นชิงเหอ เขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีทรงพลังขนาดนี้ด้วย "ข้าแปลกใจเล็กน้อย ทำไมตอนนั้นซ่งฮูหยินถึงเลือกจ้านเป่ยว่างเป็นสามีของนางเล่า ด้วยด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง จะเลือกผู้ชายชนชั้นสูงแบบไหนก็ได้นี่ ทำไมถึงเลือกจวนแม่ทัพที่ตกอับไป?"อู๋ต้าปั้นลังเลอยู่นานแล้วพูดเบาๆ "ได้ยินมาว่าคนที่ไปสู่ข
การไม่รู้อะไรเลยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอู๋ต้าปั้นสะบัดแขนเสื้อ ส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าน้อยไม่ทราบ แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นพะยะค่ะ"คำว่าทำตามคำสั่งเท่านั้น ทำให้อ๋องฮวยไม่กล้าถามอะไรอีก จักรพรรดิทรงมีอานุภาพมากจนการลงโทษยังถือว่าเป็นรางวัลได้ด้วยหลังจากที่อู๋ต้าปั้นจากไป ทั้งคู่ก็มองหน้ากัน พวกเขาดูแลเสด็จแม่ในเมืองหลวง ฮ่องเต้เองยังทรงโปรดอนุญาตให้ไท่เฟยออกจากวังและอาศัยอยู่กับพวกเขาในจวนอ๋องฮวยด้วย โดยปกติแล้วพระองค์ค่อนข้างเป็นมิตร แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมาลงมาโดยไม่มีเหตุผลล่ะ?พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรอีกด้วยมันแปลกจริงๆในช่วงกลางฤดูหนาว หิมะตกหนักขัดขวางทางที่จ้านเป่ยว่างจะเดินทางไปเดิมทียามที่ออกจากเมืองหลวงก็เร่งให้เดินเร็วอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าหิมะตกหนักติดต่อกันสองวัน มีหิมะตกทุกที่ จะหนาวจัดก็ไม่ว่าอะไร แต่ความคืบหน้าก็ชะลอตัวลงอย่างมากพอก้าวเท้าออกไป ต้องใช้เวลาดึงเท้าออก มันยากอยู่แล้วที่เขตหนานเจียงก็มีหิมะตกด้วย แต่โชคดีที่ไม่หนักมากนัก การฝึกทหารใหม่ก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ได้รับสมัครทหารใหม่เป็นสามหมื่นนาย นอกจากนี้ยังมีการผลิตอาวุธและชุดเกราะในเมือ
"เมื่อนับถึงสามสิบคนก็ไม่ได้นับต่อเลย"ซ่งซีซียกแขนขึ้นแล้วรู้สึกว่าหอกดอกท้อหนักมาก และการออกศึกเป็นเรื่องเหนื่อยมากจริงๆ"ข้านับแล้ว ข้าฆ่าไปห้าสิบคน" หมั่นโถวกระโดดขึ้นอย่างสง่างามราวกับปลา แต่กระโดดแล้ว สุดท้ายก็ล้มกับพื้น อาวุธที่เขาใช้คือดาบ แต่เนื่องจากมีคนมากเกินไป ดาบจึงถูกโจมตีจนหลุดไป ต่อมาเขาฆ่าคนด้วยหมัดและเท้า สุดท้ายได้หยิบดาบของตัวเองกลับมาเสิ่นว่านจือกล่าวว่า "ข้าฆ่าคนไปหกสิบสามคน"จางต้าจ้วง รองแม่ทัพของเป่ยหมิงอ๋องเดินเข้ามา เขามีเลือดเต็มตัวเช่นกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งก่อน จากนั้นจึงใช้หอกดอกท้อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน "รองผู้บัญชาการจาง""ซ่งซีซี!" รองผู้บัญชาการจางมองนางด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น "เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้ฆ่าศัตรูไปกี่คน?""ไม่รู้สิ ข้าไม่ได้นับ"รองผู้บัญชาการจางแปะมือ และดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "ผู้บัญชาการนับจำนวนคนที่เจ้าฆ่าให้เจ้าเอง เจ้าใช้หอกดอกท้อแทงคอของศัตรู นับแค่ส่วนนี้ ก็มีมากกว่าสามร้อยคน มันไม่ยังไม่รวมถึงคนที่ถูกปิดกั้นคอด้วย เจ้านี่สุดยอดจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าออกศึกจริงหรือ แม่ทัพทุกคนชื่นชมว่าเจ้าสมเป็นลูก
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง