นายท่านรองมองดูเขาโดยพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเจ้ากรมฉีหลับตา เขาคิดอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างใจเย็นว่า "หลังจากจัดที่พักให้นางแล้ว ข้าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบมีอะเลย จากนั้นก็เกือบลืมนางไป แค่สั่งคนจับตาดูนางเอาไว้ ข้าไม่เคยแตะต้องนางเลย คนรับใช้ที่นั่นสามารถเป็นพยานได้ มันเป็นความประมาทของข้า ข้ายุ่งมาก จนลืมเรื่องเกี่ยวกับนาง แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเป็นบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้"จู่ๆ สีหน้าของนายท่านรองก็แสดงความดีใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นเพียงคำแก้ตัวที่พี่ชายพูดกับโลกภายนอกฟัง และมันไม่ใช่ความจริงเขารู้จักพี่ชายเป็นอย่างดี หากมีผู้ต้องสงสัยเข้าใกล้ เขาจะให้คนในจวนไปสอบสวน ไม่ว่าผลการสอบสวนจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีทางหาที่พักให้ เขาจะขับไล่คนๆ นั้นออกไปหรืออยู่ห่างจากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันเข้าใกล้เลย"ท่านพี่" นายท่านรองเริ่มหนักใจขึ้นมา และเขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชายใหญ่ของเขาจะทำเรื่องแบบนี้ "ทำไม?"เจ้ากรมฉีเม้มริมฝีปากแน่นและไม่ลืมตา แต่หน้าเขียวคล้ำถมึงทึงมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับว่าเขาจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ ยิ่งทำให้เขายอมรับไม่ได้คือนางกลับเป็นบุ
ฉีหลิงซีสั่งให้ทุกคนออกมา และไม่นานนัก ทุกคนในห้องก็วิ่งออกมา ก่อนรายงานตัวตนของพวกเขาด้วยความตื่นตระหนกผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าลง ข้าในกระโปรงสีแดงเข้มและข้างนอกสวมเสื้อคลุมสีม่วง ซึ่งทำให้ใบหน้าของนางดูสวยและมีเสน่ห์มาก เมื่อวันนี้ลูกสาวถูกพาตัวไป นางก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีนางอาจจะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองไว้ก่อนแล้วเพราะองค์หญิงใหญ่ได้ล้มแล้ว พวกนางก็จะถูกค้นพบเช่นกัน"ชื่ออะไร?" ฉีหลิงซีถามด้วยความโกรธในดวงตาของเขา"กู้ชิงเมี่ยว" เสียงของนางแหบแห้ง แต่ค่อนข้างเย้ายวนฉีหลิงซีจ้องมองนาง แล้วถามว่า "เจ้าเจอท่านพ่อข้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่"กู้ชิงเมี่ยวกล่าวว่า "บ่ายวานนี้ เขาพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม"หัวใจของฉีหลิงซีเหมือนกับโดนอะไรโจมตี และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อวานนี้? พ่อมาที่นี่บ่ายวานนี้งั้นเหรอ? พ่อบริการกระทรวงขุนนาง และช่วงพักกลางวันส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่สำนักงานด้านหลังกระทรวงขุนนาง ที่แท้..."เขามักจะมาตอนเที่ยงเหรอ?""เจ้าค่ะ!"ฉีหลิงซีกัดฟันกรอดแล้วถามว่า "เขามาที่นี่บ่อยไหม?"สีหน้าของกู้ชิงเมี่ยวสงบมาก และก็ตอบตามความจริง "ทุกๆ สองวัน""เป็น
ฮูหยินใหญ่เปลี่ยนอารมณ์ความเศร้าใจกลายเป็นกังวล "ใช่แล้ว ท่านพ่อลูกไม่ชอบผู้หญิงที่ถูกชื่นชมว่าเป็นข้าราชการหญิงอันดับแรกคนนี้โดยตลอด และบัดนี้ยังถูกนางสืบพบสิ่งที่ท่านพ่อของลูกสืบไม่เจอ ท่านพ่อของลูกคงจะเสียใจมาก"แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ "ไหนบอกว่ามีลูกสาวแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าได้ไหม""พูดไปมั่วซั่ว ไม่มีลูกสาว มีเพียงนางคนหนึ่งและผู้คนมากมายที่รับผิดชอบจับตาดูนางไว้""ค่อยยั่งชั่ว" ฮูหยินใหญ่รู้สึกโล่งใจฉีหลิงซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตนเองปลอบโยนแม่ให้เรียบร้อยแล้วแต่ทางฝั่งท่านปู่ คงหลอกยากสำหรับอาจารย์ฉี เจ้ากรมฉีเป็นผู้ให้คำอธิบายเองอาจารย์ฉียอมรับคำอธิบายของเขา แต่ตบเขาและพูดว่า "ออกไป"เจ้ากรมฉีเดินโซเซออกจากเรือนของพ่อของเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากเขารู้ว่าเรื่องนี้จะโทษเป่ยหมิงอ๋องไม่ได้ เขายึดมั่นในความเมตตากรุณาและความอ่อนน้อมถ่อมตนในราชสำนักมาโดยตลอด แต่เมื่อต่อหน้าซ่งซีซี ผู้ที่เป็นข้าราชการหญิงคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาเกิดข้อผิดพลาดไป เขาดูถูกซ่งซีซีมากเกินไป และจงใจเพิกเฉยต่อนางไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องไปที่หอต้าหลี่ เพื่อ
เจ้ากรมฉีนั่งไม่ติดที่ แต่สุดท้ายก็ถามออกมาว่า "ท่านอ๋อง ฝ่าบาทจะทำยังไงกับผู้หญิงเหล่านี้?"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เรื่องนี้เจ้าไปถามผู้บัญชาการซ่ง นางเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้"เจ้ากรมฉีมองไปที่ซ่งซีซีอย่างอึดอัด ดวงตาของเขาหลบเลี่ยง "ขอถามผู้บัญชาการซ่ง... "ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาและตอบโดยตรง "ใต้เท้าฉีมาหาข้า และข้าได้บอกใต้เท้าฉีแล้วด้วย ว่าสามารถดูแลด้วยตนเองหรือว่าส่งไปให่กองกำลังเมืองหลวงเพื่อดูแลแบบรวม แล้วแต่ความต้องการของเจ้ากรมฉี หากพวกเจ้าดูแลด้วยตนเอง ก็ห้ามไม่ให้พวกนางออกจากเมืองหลวงหรือไปติดต่อกับผู้ใดคนอื่นๆ เพราะตอนนี้ยังสืบสวนผู้บงการกบฏของคดีกบฏไม่พบ"หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้ากรมฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบ่าๆ จากนั้นถามต่อว่า "หากส่งมอบให้กองกำลังเมืองหลวงมาดูแล แล้วจะส่งไปที่ไหน""เรากำลังติดต่อกับสำนักแม่ชีทั่วเมืองหลวงเพื่อดูว่าสำนักไหนใหญ่พอที่จะรองรับพวกนางเข้าไปได้ ค่าใช้จ่ายนี้จะออกจากเงินที่ยึดจากจวนโหวกู้และจวนองค์หญิง""สำนักแม่ชี?" เขาลูบเข่าด้วยมือทั้งสองข้าง "งั้นสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยดีนัก""รับประกันว่าจะไม่ทำให้อดอาหาร แต่หากต้องการมีชีวิตที่หรูหรา
ในระหว่างการสอบสวนฝู้หม่ากู้ ก็ถูกทรมานด้วย แต่ในเวลานี้ คนอ่อนแอคนนี้หัวแข็งเป็นพิเศษ โดยยืนกรานว่าเขาไม่รู้อะไรเลย และตัวเขาเองก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหลอกใช้อยู่เมื่อเขาถูกทรมานพลางร้องไห้ว่า "ข้าก็เป็นเหยื่อที่ถูกทำร้าย คนที่เซี่ยอวี้นต้องขอโทษมากที่สุดคือข้า ผู้หญิงของข้า และลูกๆ ของข้าถูกนางฆ่าตายบ้าง ถูกส่งออกไปบ้าง นางเป็นคนบ้าจริงๆ ตอนนี้เป็นไงล่ะ นางถูกจับแล้ว แล้วข้าก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของนางได้"ขงหยางจากสำนักเขตจิงจ้าวก็มาสอบปากคำเขาด้วยตัวเอง วิธีการสอบสวนและวิธีทรมานของสำนักเขตจิงจ้าวจะรุนแรงกว่าวิธีของหอต้าหลี่ แต่ฝู้หม่ากู้ยังยืนยันว่าไม่รู้อะไรเลยมีการรายงานคดีในประชุมยามเช้า ขุนนางทั้งหมดรับฟังอยู่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ทุกคนต่างตกใจกลัว บัดนี้ทุกคนก็ได้สบายใจสักทีแม้แต่อ๋องเยี่ยนซึ่งไม่ได้เข้าประชุมยามเช้าของราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเซี่ยอวี้นและฝู้หม่ากู้ไม่ได้เปิดเผยผู้ใดทั้งนั้นเลย แต่มีคนรับใช้บางคนบอกว่า อ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวยเคยไปจวนองค์หญิง แต่นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว ฉินอ๋องและอ๋องหนิงก็เคยไปที่นั่นด้วย แม้แต่ท่านอ๋องฮุยก็เคยไปครั้งหนึ่งสิ่งนี้ไม่สาม
อ๋องเยี่ยนก็กำลังหารือเรื่องนี้กับคุณชายอู๋เซี่ยงอยู่คุณชายอู๋เซี่ยงไม่เห็นด้วยกับการส่งคนไป แต่อ๋องเยี่ยนรู้สึกว่าหากเซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นตัวอันตรายร้ายแรงที่ถูกทิ้งไว้ ตอนนี้ไม่ได้เปิดโปงเขา แต่อนาคตล่ะ?"ฮ่องเต้ผู้โง่เขลาผู้นี้มีไหวพริบจริงๆ ได้ค้นพบอาวุธและชุดเกราะมากมายที่ แทนที่จะถูกประหารชีวิตถือเป็นตัวอย่างตักเตือน เขากลับสั่งให้จำคุกในสำนักกิจการราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ปิดคดีนี้ หากคดีนี้ไม่ปิด งั้นเซี่ยหลูโม่ก็จะกัดเขาเหมือนหมาบ้า ที่เซี่ยอวี้นยังมีชีวิตอยู่ สำหรับข้าแล้วมันเป็นภัยคุกจริงๆ"อู๋เซี่ยงขมวดคิ้วและพูดว่า "แม้ว่ามันจะเป็นภัยคุกคาม แต่หากแผนการล้มเหลว จะมีผลกระทบร้ายแรง เซี่ยอวี้นอาจเปิดโปงท่านโดยตรง นางเป็นคนบ้า""ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะอ้างว่าเป็นการช่วยชีวิตนาง ให้นางรู้ว่าเราไปช่วยนาง แล้วค่อยหาโอกาสที่จะฆ่านาง"อู๋เซี่ยงยังคงคัดค้าน "การทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเช่นนั้นจริงๆ ท่านเพียงแค่เข้าวังทุกวันเพื่อดูแลผู้ป่วยและไม่ต้องสนใจกับสิ่งอื่นใด การทำแบบนี้ถือว่าดีที่สุดเลย""ไม่ว่ายังไงมันก็มีความเสี่ยง ถ้านาง
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ทันทีที่อกจากถนนซือเยี่ยน ซ่งซีซีก็รู้สึกถึงกระแสลมแห่งการฆาตกรรมที่อยู่รอบตัวนางกระแสลมแห่งการฆาตกรรมแบบนี้รุนแรงมาก และมาพร้อมกับกลิ่นเลือดที่คนธรรมดาไม่สามารถได้กลิ่น ซ่งซีซีค่อนข้างคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ นักรบสิ้นหวังเหล่านั้นที่อยู่ในจวนแม่ทัพคืนนั้นอาจารย์เคยบอกนางเรื่องกระบวนการฝึกนักรบสิ้นหวังในก่อนหน้านี้ มันโหดร้ายมาก ผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้นถือว่าได้เหยียบย่ำออกจากซากศพของสัตว์ร้ายหรือผู้คน ถือว่าเดินออกจากภูเขาซากศพและทะเลแห่งเลือดก็ไม่เกินจริงดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก และท่าสู้ที่ร้ายกาจ แต่พวกเขาก็มีกลิ่นแรงของเจตนาฆ่าและคาวเลือดอยู่เสมอ"ทุกคนเตรียมพร้อม!" เสียงของนางลอดผ่านสายลมและกระทบหูของทุกคนสายตาของทุกคนตื่นตัว มีอาวุธอยู่ในมือ รู้สึกถึงทุกการเคลื่อนไหวรอบตัวหลังจากข้ามทางแยกอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงสั่นเล็กน้อยในอากาศ มันคือเสียงดาบที่ถูกลมพัดขณะที่มันถูกแกะออกจากฝัก"หยุด!" ปี้หมิงยกมือขึ้นและหยุดขบวน จากนั้นตะโกนเสียงดังและแยกย้ายประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง "มีมือสังหาร อันตราย!"มีประชาชนไม่มาก ล้วนเป็
เมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้น มือสังหารทั้งเก้าก็รีบบินออกไปและกระจัดกระจายอย่างรวดเร็วปี้หมิงรู้สึกว่าเขาเดาถูกแล้ว พวกเขาไม่ได้มาช่วยคน แต่มาเพื่อฆ่าเซี่ยอวี้นต่างหากแต่เมื่อเขามองไปที่รถม้าก็ตกตะลึงมือสังหารคนนั้นถูกลากเข้าไปในรถม้า โดยทิ้งเท้าของเขาอยู่ข้างนอก และเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถขยับได้อีกเลยซ่งซีซีก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มและเปิดม่านรถม้า ปี้หมิงเดินไปดูใกล้ๆ และอดไม่ได้ที่จะอึ้งไป ท่านอ๋อง?นอกจากท่านอ๋องแล้ว เซี่ยอวี้นก็ถูกมัดไว้ที่ด้านหนึ่งของรถม้าด้วย นางคือคนที่ส่งเสียงกรีดร้องเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้นางกำลังจ้องมองไปที่มือสังหารด้วยสายตาที่ดุร้ายเซี่ยหลูโม่ดึงมือสังหารออกจากรถม้าแล้วส่งให้ปี้หมิง "พาเขากลับไปที่หอต้าหลี่ เขาถูกจุดฝังเข็ม และยาพิษในปากของเขาก็ถูกขุดออกมาแล้ว แต่เราไม่สามารถประมาทไป หลังจากนำเขากลับไปให้ป้อนผงอ่อนแรงด้วย นักรบสิ้นหวังแบบนี้ นอกจากกินยาพิษได้ก็ยังสามารถตัดเส้นลมปราณของตัวเอง"ปี้หมิงให้คนเจ้าไปจับมือสังหาร แต่ก็เหลือบมองท่านอ๋องอย่างสับสน ท่านอ๋องขึ้นไปในรถม้าตั้งแต่เมื่อไร เห็นๆ อยู่ว่าตอนที่ขนส่งเซี่ยอวี้นนั้น ข้างในรถม้าไม่มีคนอย
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง