LOGINองครักษ์เสิ่นที่ยืนรอเผื่อไท่ซ่างหวงมีรับสั่งถึงฮ่องเต้ ได้เอ่ยถึงสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงตรัสกับองค์ชายสิบให้ทรงทราบ“ไท่ซ่างหวงพระองค์อย่าทรงเป็นกังวลเรื่องตระกูลต้วนเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตรัสไว้แล้วว่ายามนี้แม้จะลงมือกับตระกูลต้วนยังไม่ได้ แต่พระองค์คิดจะสั่งสอนสตรีตระกูลต้วนที่อยู่ในวังหลัง เพื่อเป็นการตักเตือนพวกนางหากไม่ยอมเชื่อฟังย่อมมีบทลงโทษที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ฮ่า ๆ ๆ ดี! ในเมื่อฮ่องเต้กล่าวด้วยตนเองเช่นนี้ ข้าจะรอดูว่าพวกนางจะได้รับการสั่งสอนเช่นไร เจ้ากลับไปบอกฮ่องเต้ด้วยหากต้องการให้ข้าช่วยก็ส่งคนมาบอกได้ทุกเมื่อ”“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา”ฟู่กุ้ยไท่เฟยรอจนกระทั่งองครักษ์ออกไปไกลแล้ว จึงเอ่ยกับไท่ซ่างหวงถึงเรื่องที่ไทเฮาได้กระทำกับองค์ชายสิบ“ฝ่าบาทไทเฮาคงเก็บความโกรธแค้นไว้ภายในมานาน พระนางช่างเก็บซ่อนได้แนบเนียนเหลือเกินเพคะ”“ข้ารู้ดีว่าความโกรธแค้นในใจของนางมีสาเหตุมาจากเรื่องอันใด แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังได้รับเกียรติอันสูงส่งเวลาผ่านมานานกลับไม่ยอมปล่อยวาง ก็ดีต่อจากนี้ไม่ต้องเสแสร้งยามพบเจอหน้ากันอีกแล้ว”“เพคะ ส่วนหม่อมฉันเองจะพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับไ
ค่ำคืนที่ผานมาเป็นค่ำคืนที่องค์ชายสิบนอนหลับโดยไร้ความกังวลใจ เนื่องจากได้รับรู้แล้วว่าผู้ใดคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องการวางแผนกำจัดตนเอง เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กับตระกูลของตนขึ้นมาแทนที่พี่ชายต่างมารดาดังนั้นในยามเหม่าของวันใหม่มาเยือน หลังจากเฉินตงกับเซิงเทาจัดการฉีกวงและส่งออกนอกเมืองเสร็จสิ้น องค์ชายสิบจึงนั่งรถม้าเข้าวังหลวงเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาทันทีตั้งแต่หน้าประตูวังจนถึงตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าทหารนางกำนัลหรือขันที ทุกคนล้วนตกใจกับการเข้าวังขององค์ชายสิบ ผู้ที่หายหน้าไปนานในรอบสองปีโดยแต่ละคนทำเพียงก้มหน้าไม่กล้าพูดอันใดเนื่องจากเคยมีรับสั่งจากฮ่องเต้เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าขององค์ชายสิบไว้นานแล้วว่า หากโอรสองค์ที่สิบต้องการมาเข้าเฝ้าให้เข้าตำหนักโดยไม่ต้องรายงาน ซึ่งรับสั่งนี้ทำเอาเหล่าองค์ชายองค์หญิงคนอื่น ๆ ขุ่นเคืองไม่น้อย แต่ก็มิอาจแสดงท่าทีอิจฉาริษยาของตนได้มิเช่นนั้นอาจถูกลงโทษฮ่องเต้ที่ทรงตื่นบรรทมเตรียมเข้าประชุมกับขุนนางยังท้องพระโรง พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทางประตูหน้าตำหนัก เมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายสิบก็ทรงพระดำเนินเข
“องค์ชายเหตุใดยังให้โอกาสคนเช่นนี้ได้มีเวลาคิดทบทวนอีกเล่า ดูก็รู้ว่าจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้านายต่อให้ตระกูลต้องล่มสลายก็ไม่ยอมทรยศเป็นแน่ มิสู้จัดการทุกคนให้หมดไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินตงเน้นย้ำเรื่องการกำจัดตระกูลของฉีกวงที่มีอยู่หลายสิบชีวิต“ไม่ ๆ ๆ องค์ชายสิบโปรดเมตตาพระองค์จะทำร้ายราษฎรตาดำ ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์”“ผู้บริสุทธิ์แล้วอย่างไร? ในเมื่อข้าก็เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกคนคิดปองร้ายหมายเอาชีวิต เหตุใดข้าต้องใจดีปล่อยให้เจ้ากับครอบครัวมีชีวิตปกติได้เล่า ทางเลือกที่ข้าเสนอไปไม่มีทางที่สามเจ้ามีเวลาหนึ่งจิบชาเพื่อตัดสินใจ”“องค์ชายของพวกข้ากล่าวถูกต้องแล้ว เจ้านายของเจ้าทำองค์ชายเดินไม่ได้มาถึงสองปี ถูกญาติพี่น้องพูดจากล่าวหาว่าเป็นคนไร้ค่า ถ้าเป็นตัวเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้บ้างจะรู้สึกอย่างไร” เฉินตงพูดด้วยอารมณ์โกรธเคืองเมื่อนึกถึงคำพูดของเหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังที่มีต่อเจ้านายของตนฉีกวงได้ยินการเปรียบเทียบเช่นนั้นก็นั่งนิ่งไม่สามารถโต้กลับหรือแก้ตัว เพราะนั่นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบ หากคิดในมุมของตนเองที่เป็นคนธรรมดาส
ในช่วงค่ำของวันเดียวกันเฉินตงและเซิงเทาหลังได้รับคำสั่งก็ออกมาตรวจตรารอบ ๆ จวน ว่ามีจุดไหนที่สามารถใช้เป็นสถานที่คอยสอดแนมเจ้านายของตนได้บ้าง จากการแยกกันไปตรวจจนทั่วในที่สุดก็พบจุดสำคัญทั้งสองกลับมาหารือร่วมกันว่าจะลงมือจัดการกับคนผู้นั้นอย่างไร โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่อาจหลบหนีพวกเขาสองคนไปได้“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างกำแพงด้านหน้าจวน จะกลายเป็นสถานที่ให้คนพวกนั้นใช้สอดส่ององค์ชายได้ บางทีคนที่อยู่บนต้นไม้คงติดตามมาตั้งแต่องค์ชายเสด็จมาที่นี่แล้วก็เป็นได้ ว่าแต่เฉินตงพวกเราควรลงมือในยามใดถึงจะดีล่ะ”“ตอนนี้ฟ้ายังสว่างอยู่เล็กน้อยหากเราลงมือมันคงรู้ตัวและรีบหลบหนี ข้าว่ารอให้ฟ้ามืดค่อยลงมือดีกว่าข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการปองร้ายองค์ชายของพวกเราเป็นผู้ใดกันแน่”“หึ ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันวางแผนและทำตามแผนได้สำเร็จแน่ ขอเอาคืนที่ทำให้องค์ชายต้องทนทุกข์จากพิษร้ายมาตลอดสองปีบ้างเถิด เจ้าคิดเหมือนข้าไหมเฉินตง”“มันแน่อยู่แล้วหากรู้เมื่อใดพวกเราควรโต้กลับจนพวกมันตั้งรับการเอาคืนไม่ทัน องค์ชายจะได้มีเวลาทำเรื่องสำคัญให้สำเร็จ ถ้าว
เฟยซวนก็เอ่ยขึ้นด้วยความเชื่อมั่นในความสามารถของตน “ใช่แล้วซีซีถึงพี่จะไม่เป็นขุนนางแต่ถ้าสอบผ่านก็ยังมีตำแหน่งจิ้นซื่อ ที่ผู้คนยังต้องให้ความเคารพนับถือเจ้าเป็นญาติผู้น้องของพี่ย่อมไม่ถูกรังแกเช่นกัน”“ส่วนพี่ใหญ่ถึงจะไม่ได้เป็นบัณฑิตแต่จะช่วยสร้างกิจการให้ใหญ่โต หาเงินให้ได้มากที่สุดน้องสาวของพี่และท่านพ่อท่านแม่จะได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ” จื่อหานไม่ยอมให้ญาติผู้พี่เอาอกเอาใจน้องสาวฝ่ายเดียว“คิ ๆ ๆ ขอบคุณพวกท่านทั้งสามคนมากเจ้าค่ะความฝันของพวกท่านต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ายังมีเรื่องดี ๆ อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องบอกกับพวกท่าน”“เรื่องอันใดหรือซีซีเจ้ารีบบอกพวกเรามาเถิด” ซูเหยาคะยั้นคะยอให้บุตรสาวบอกเล่าออกมา“คุณหนูขอรับเหตุใดเรื่องดี ๆ ของท่านดูมีลับลมคมใน ไหนจะท่าทางเจ้าเล่ห์ที่ท่านกำลังทำอยู่นี่อีกไม่ทราบคุณหนูคิดจะทำอันใดเช่นนั้นหรือ?”“ท่านหมอโหลวจะสังเกตข้าเก่งเกินไปแล้วนะ แต่ก็จริงอย่างที่ท่านตั้งคำถามนี้ออกมา เพราะข้าได้ร้านค้าขนาดกลางสองร้านจากพี่ชายจื้ออวี่ และข้าจะปรับปรุงมันให้เป็นโรงหมอตระกูลจางโดยโรงหมอของเราจะเก็บค่ารักษากับชาวบ้านทั่วไปในราคาไม่แพง แต่หากเป็นตระก
ฉีกวงออกจากตำหนักอวี้หนิงของไทเฮาก็กลับไปทำหน้าที่ของตน แต่ก็ยังทำได้เพียงเฝ้าสอดส่องความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกจวนเท่านั้น เพราะบ่าวไพร่หรือแม้แต่ทหารที่ดูแลจวนชิงเฟิงล้วนเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมาทั้งสิ้นทางด้านพระสนมต้วนก็มีจดหมายให้นางกำนัลข้างกายนำไปส่งจนถึงมือของบิดา เพื่อเตรียมการล่วงหน้าเกี่ยวกับคนในกองทัพ ซึ่งจะใช้กำจัดองค์ชายสิบไม่ให้มีชีวิตรอดกลับเมืองหลวงได้เสนาบดีต้วนผู้ดูแลท้องพระคลังย่อมสนับสนุนแผนการของบุตรสาว โดยให้บ่าวคนสนิทส่งข่าวถึงพรรคพวกที่อยู่ในค่ายทหาร พวกเขาจะได้หาคนที่ไว้ใจได้มาใช้งานระหว่างรอองค์ชายสิบกลับเข้ากองทัพส่วนเซิงเทาได้แยกตัวกับองครักษ์เสิ่นจึงกลับมารายงานเรื่องที่เจ้านายมอบหมายให้ไปจัดการ และผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้องค์ชายสิบพอใจ ไม่คิดว่าความสงสัยเกี่ยวกับตระกูลหยุนของตนจะกลายเป็นจริง“ทูลองค์ชายเรื่องตระกูลหยุนเป็นอย่างที่พระองค์สงสัย โทษที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการอาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นโทษสถานหนักพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ยังดีที่เสด็จพ่อทรงทำตามข้อสงสัยของข้า แต่มีอีกเรื่องที่พวกเจ้าสองคนต้องทำเพิ่มหลังจากนี้”เซิงเทาเหลือบตามองไปทางเฉินตงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ได้คำ







