LOGIN“อย่างไรเจ้าค่ะ จะดื่มหรือไม่ดื่ม อันที่จริงของท่านน่ะ จะเรียกไส้เดือนดินก็ดูจะยาวไป เรียกหนอนใบชาจึงเหมาะสม เฮอะ!” ความแซ่บไม่มากแต่ความปากร้ายไม่เคยยอมกัน อะไรคือหนอนชาเขียวต้องติดตามต่อค่ะ
View Moreบทนำ
รัชศกไท่เฉิงที่19ของดินแดนต้าเว่ย ปกครองโดยฮ่องเต้นามว่า'หลีสือซาน'มังกรหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเก้าหนาวโดยไม่มีฮองเฮาเคียงข้างนอกจากกุ้ยเฟยกับเหล่าพระสนมทั้งหลายเท่านั้น นั่นก็เพราะอดีตฮองเฮาจากไปในวัยสาวหลังจากมีบุตรชายให้ฮ่องเต้หนุ่มในวันวานอายุเพียงเจ็ดหนาวนางก็ถึงแก่กรรมไป ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มใหญ่นั้นยังรักมั่นคงกับอดีตฮองเฮาที่หวนคืนสวรรค์ไปเร็วไวมาจนถึงในยามนี้และไม่ยอมแต่งตั้งสตรีใดขึ้นมาเป็นฮองเฮาแทนที่อีกเลย
และในวันนี้ก็เป็นวันดีอีกหนึ่งวัน ของเมืองหลวงของดินแดนต้าเว่ย เพราะวันนี้คือวันที่องค์ไท่จื่อ'หลีเซี่ยงหลิ่ว'หรืออดีตองค์ชายสี่ซึ่งเกิดจากอดีตฮองเฮาเช่น ‘ซ่งหลิวอิ๋ง’ที่เพิ่งถูกมอบตำแหน่งไท่จื่อแห่งต้าเว่ยได้เพียงหกเดือนนั้นแต่งพระชายารองหรือเหลียงตี้คนที่หนึ่งและพระชายาเอกหรือไท่จื่อเฟยเข้าตำหนักบูรพาพร้อมกันนั้นเอง ชาวเมืองสองข้างถนนต่างมายืนรอชมขบวนเกี้ยวเจ้าสาว ซึ่งเป็นพี่น้องกันมาจากสกุลหลัวเหมือนกัน อย่างน้อยครั้งที่จะบังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในดินแดนต้าเว่ย
รัชศกไท่เฉิงที่19ของดินแดนต้าเว่ย ปกครองโดยฮ่องเต้นามว่า'หลีสือซาน'มังกรหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเก้าหนาวโดยไม่มีฮองเฮาเคียงข้างนอกจากกุ้ยเฟยกับเหล่าพระสนมทั้งหลายเท่านั้น นั่นก็เพราะอดีตซ่งฮองเฮาจากไปในวัยสาวหลังจากมีบุตรชายให้ฮ่องเต้หนุ่มในวันวานอายุเพียงเจ็ดหนาวนางก็ถึงแก่กรรมไป ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มใหญ่นั้นยังรักมั่นคงกับอดีตฮองเฮาที่หวนคืนสวรรค์ไปเร็วไวมาจนถึงในยามนี้และไม่ยอมแต่งตั้งสตรีใดขึ้นมาเป็นฮองเฮาแทนที่อีกเลย
และในวันนี้ก็เป็นวันดีอีกหนึ่งวัน ของเมืองหลวงของดินแดนต้าเว่ย เพราะวันนี้คือวันที่องค์ไท่จื่อ'หลีเซี่ยงหลิ่ว'หรืออดีตองค์ชายสี่ซึ่งเกิดจากอดีตฮองเฮาเช่น ‘ซ่งหลิวอิ๋ง’ ที่เพิ่งถูกมอบตำแหน่งไท่จื่อแห่งต้าเว่ยได้เพียงหกเดือนนั้นแต่งพระชายารองหรือเหลียงตี้คนที่หนึ่งและพระชายาเอกหรือไท่จื่อเฟยเข้าตำหนักบูรพาพร้อมกันนั้นเอง ชาวเมืองสองข้างถนนต่างมายืนรอชมขบวนเกี้ยวเจ้าสาว ซึ่งเป็นพี่น้องกันมาจากสกุลหลัวเหมือนกัน อย่างน้อยครั้งที่จะบังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในดินแดนต้าเว่ย
“นั่นอย่างไรหัวขบวนมาโน่นแล้ว”
ท่านป้าท่านหนึ่งชี้มือชี้ไม่ไปยังหัวโค้งถนนที่เห็นหัวขบวนรับตัวเจ้าสาวโผล่มาให้ได้แลเห็น ซึ่งเพียงหัวขบวนก็ยิ่งใหญ่หรูหราให้เป็นบุญตาของชาวบ้านชาวเมืองแล้วจริงๆ
“องค์ไท่จื่อช่างรูปงามเสียจริง”
เสียงผู้หนึ่งที่เริ่มแลเห็นหลีเซี่ยงหลิ่ว องค์ไท่จื่อหนุ่มวัยยี่สิบสองหนาวที่อยู่บนอาชาเหงื่อโลหิตสีขาวโดดเด่นที่นำหน้าเกี้ยวหลังโตหรูหราเต็มพิธีการ จนบดบังเกี้ยวหลังน้อยที่อยู่ด้านหลังเอาไว้จนแทบมองไม่เห็น คราวนี้แทนที่ชาวบ้านจะชื่นชมเจ้าบ่าวหรือขบวนสินสอดและเกี้ยวของพระชายาเอก กลับเริ่มกล่าวขวัญนินทาไปถึงเจ้าสาวในเกี้ยวหลังน้อยที่เคลื่อนอยู่ท้ายขบวนซึ่งเป็นพระชายารองทันที
“ข้าพอได้ฟังมาบ้างว่าบุตรสาวคนรองของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวนั้นไม่เป็นที่รักใคร่ของบิดาทั้งที่นางนั้นก็เกิดร่วมมารดาเดียวกับท่านแม่ทัพน้อยหลัว ที่แท้ก็เป็นจริงหรือนี่?” ท่านป้าผู้หนึ่งจีบปากจีบคอเจรจา
“ก็เห็นๆ กันอยู่ ข้าเพิ่งได้ฟังมาจากบ่าวในจวนท่านแม่ทัพใหญ่หลัว ว่าที่ต้องแต่งคราวนี้เพราะตามธรรมเนียมแล้วหากพี่สาวไม่แต่งออก น้องสาวก็แต่งงานออกไม่ได้เช่นกัน คราวนี้ไท่จื่อไม่เต็มใจแต่งกับคุณหนูรองหลัวแต่เพราะรักใคร่คุณหนูสามมากจึงจำใจต้องแต่งเอาพี่สาวของคนรักมาเป็นตัวแถม” ท่านป้าอีกคนที่ดูท่าทางแล้วคงรู้ความมากกว่าผู้อื่นกล่าวออกมาอย่างทรงภูมิ
เสียงนินทานั้นลอยมาเข้าหูของคนในเกี้ยวหลังน้อยที่ทั้งเล็กทั้งแคบ ซึ่งรั้งอยู่ท้ายขบวนแทบจะไร้ตัวตน แต่คำนินทาเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเสียใจหรือไม่พึงใจแม้แต่น้อย นาง ‘หลัวเฟยเฟิ่ง’ บุตรสาวคนรองที่เกิดจากอดีตฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวนามว่า‘หลัวเหยียนฟ่าน’ แต่กลับมีชีวิตเหมือนไร้ตัวตนอยู่ในจวนใหญ่มาตลอดสิบแปดหนาวเลยแม้แต่น้อย
“ก็เห็นๆ กันอยู่ ข้าเพิ่งได้ฟังมาจากบ่าวในจวนท่านแม่ทัพใหญ่หลัว ว่าที่ต้องแต่งคราวนี้เพราะตามธรรมเนียมแล้วหากพี่สาวไม่แต่งออก น้องสาวก็แต่งงานออกไม่ได้เช่นกัน คราวนี้ไท่จื่อไม่เต็มใจแต่งกับคุณหนูรองหลัวแต่เพราะรักใคร่คุณหนูสามมากจึงจำใจต้องแต่งเอาพี่สาวของคนรักมาเป็นตัวแถม” ท่านป้าอีกคนที่ดูท่าทางแล้วคงรู้ความมากกว่าผู้อื่นกล่าวออกมาอย่างทรงภูมิ
“โอ๊ย! จริงหรือนี่ แย่จริง หากเป็นเช่นนั้นคุณหนูรองหลัวก็ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว”
เสียงนินทานั้นลอยมาเข้าหูของคนในเกี้ยวหลังน้อยที่ทั้งเล็กทั้งแคบ ซึ่งรั้งอยู่ท้ายขบวนแทบจะไร้ตัวตน แต่คำนินทาเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเสียใจหรือไม่พึงใจแม้แต่น้อย นาง ‘หลัวเฟยเฟิ่ง’ บุตรสาวคนรองที่เกิดจากอดีตฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวนามว่า ‘หลัวเหยียนฟ่าน’ แต่กลับมีชีวิตเหมือนไร้ตัวตนอยู่ในจวนใหญ่มาตลอดสิบแปดหนาวเลยแม้แต่น้อย
มือเรียวลูบขนของแมวเหมียวตัวน้อยอายุหกเดือนพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายภายในจวนสกุลหลัวเมื่อสามเดือนก่อน ที่มาที่ไปของการที่นางต้องมานั่งตัวเล็กตัวลีบอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวหลังน้อยที่ทั้งเล็กทั้งแคบ ที่นอกจากคนแบกเกี้ยวทั้งสี่คนราวกับหามโลงศพเอาไปฝังไม่ใช่หามเกี้ยวเจ้าสาวไปส่ง ก็ไม่มีสาวใช้ติดตามแม้แต่คนเดียวในขณะนี้ทันที
...จวนสกุลหลัวเมื่อสามเดือนก่อน...
"ไม่เจ้าค่ะท่านพ่อข้าไม่ยินดีแต่งกับไท่จื่อเซี่ยงหลิ่วเด็ดขาด!"
เผียะ! เผียะ! เผียะ!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสะท้อนก้องออกมาจากภายในห้องโถงกลางของจวนของสกุลหลัวของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวเหยียนฟ่านของดินแดนต้าเว่ยทำเอาสตรีวัยสามสิบห้าหนาวถลาตามติดร่างน้อยของลูกเลี้ยงสาวของนางลงไปก่อนที่นางจะเอากายของตนเองปกป้องหลัวเฟยเฟิ่งที่นางเลี้ยงดูมาราวกับบุตรสาวของตนเองอีกคนทันที
"นายท่านอย่าทำร้ายเสี่ยวเฟิ่งเลยนะเจ้าค่ะ นางก็ผ่ายผอมถึงเพียงนี้ตบตีนางไปประเดี๋ยวก็ช้ำในตายกันพอดี"
นางจางซื่อหรือฮูหยินรองคนปัจจุบันของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวหันไปขอร้องผู้เป็นสามีด้วยน้ำตาเต็มใบหน้าหากแต่เด็กสาวผู้ถูกตบจนใบหน้าบวมกลับไม่มีน้ำตาสักเพียงหยดและไม่ปริปากร้องขอความเมตตาจากคนเป็นบิดาโดยแท้ของตนเองอีกด้วย เพราะนางรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ยิ่งนางวิงวอนเขายิ่งเสียสติและคลุ้มคลั่งทุบตีตนเองหนักมือขึ้นไปอีกหลายส่วน
"หลบไปเย่เซียงหากเจ้าไม่หลบข้าจะไม่เกรงใจเจ้าเช่นกัน"
หลัวเหยียนฟ่านตวาดเสียงดังก้อง ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธขึ้งเพราะนังตัวดีสายเลือดชายชู้มันไม่เจียมตัวเจียมตนเองแต่ดื้อดึงไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้วหากไม่ทุบตีมันจะยิ่งเหิมเกริมเท่านั้น
"ไม่เจ้าค่ะ หากข้าหลบท่านก็ตีเสี่ยวเฟิ่งจนตายเท่านั้น"
นางจางซื่อหาได้กล่าวเกินจริงเพราะตลอดมานับจากฮูหยินใหญ่หนีหายทิ้งเอาไว้เพียงบุตรสาวเช่นหลัวเฟยเฟิ่งนายท่านหลัวหรือแม่ทัพใหญ่นั้นก็ไม่เคยปรานีเด็กน้อยไร้เดียงสาแม้เพียงหนึ่งครั้งพบหน้าหากไม่ตบตีก็ด่าทอหากไม่มีเหล่าฮูหยินหลัวและนางคอยปกป้องเกรงว่าเด็กน้อยวัยเพียงยี่สิบเก้าวันในอดีตนั้นก็คงตายไปนานแล้ว
เผียะ!
"บังอาจแข็งข้อกับข้าหรือเย่เซียง!" ดวงตาของบุรุษหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าหนาวแดงก่ำราวกับดวงตาของปีศาจร้ายมิใช่ดวงตาของคนปกติทั่วไปอีกต่อไป
"นายท่านหลัวปล่อยท่านแม่รองเดี๋ยวนี้นะ!"
เด็กสาวเรือนกายบอบบางวัยสิบแปดหนาวตาลุกวาวทันใดเมื่อเห็นบิดาของตนเองนั้นตบตีนางจางซื่อจนโลหิตไหลออกมาจากมุมปากแดงฉานไปหมด
"นังเลือดชั่วบังอาจแข็งข้อไม่พอเดี๋ยวนี้ถึงกับปีกกล้าขาแข็งคิดต่อสู้ข้าแล้วหรือ" เมื่อหลัวเฟยเฟิ่งพุ่งตัวเข้าไปแยกผู้เป็นบิดาแน่นอนว่านางต้องทุ่มเทกำลังแรงกายทั้งหมดเพื่อผลักดันแม่ทัพใหญ่ออกไปจึงทำให้หนุ่มใหญ่ยิ่งโกรธจนหน้ามืดไปหมด
"คำก็นังเลือดชั่ว อีกคำก็นังลูกชายชู้นับจากจำความได้ข้าหาได้เป็นคนดีเช่นนั้นข้าคิดปกป้องท่านแม่รองปกป้องตนดังนั้นจะถูกท่านด่าทอว่าเลวลงไปอีกขั้นล้วนไม่ติดขัด อันใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ นายท่านหลัว!"
หลัวเฟยเฟิ่งมองคนที่เป็นบิดาแค่เพียงฐานะด้วยดวงตาแข็งกร้าวเพราะภายในใจไร้ความผูกพันกับบุรุษผู้นี้มานานแล้วก็นับจากนางจำความได้เขาผู้นี้ไม่เคยอ่อนโยนรักใคร่เช่นบิดาผู้อื่น นอกจากนางจะเกิดมาเป็นหญิงแล้วนางยังมีมารดาเป็นสตรีแพศยาหนีตามชายชู้ไปทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าคนทั่วทั้งเมืองหลวง นางที่ยังเด็กจึงถูกใช้เป็นที่ระบายโทสะและความคับแค้นมาตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่หนาว
ยังดีว่ามีท่านแม่รองกับท่านย่าที่คอยคุมศีรษะของนางมาหลายหนาวจนเมื่อหนึ่งหนาวก่อนฮูหยินผู้เฒ่าหลัวจากไปด้วยโรคชรานางที่พยายามหลบหลีกไม่ยอมออกเรือนก็ถึงคราวลำบาก เพราะฮูหยินใหญ่ของท่านแม่ทัพใหญ่หลัวคนปัจจุบันนั้นเริ่มไม่พึงใจแล้วที่นางซึ่งเป็นบุตรสาวที่อาจนับได้ว่าเป็นรองแค่เพียงบุตรชายคนโตที่เป็นพี่ชายใหญ่นั้นไม่ยอมออกเรือน น้องสาวอีกสองคนย่อมไม่อาจแต่งงานออกเรือนก่อนพี่สาวได้นั่นเองซึ่งหลัวเฟยลี่นั้นไม่เดือดร้อนเพราะยังเด็กนักแต่ที่ดูจะเดือดร้อนมากคงเป็นหลัวเฟยเมี่ยวที่อายุน้อยกว่านางอยู่สามเดือนมากกว่า
แต่เพราะตลอดหนึ่งหนาวหลัวเฟยเฟิ่งใช้ข้ออ้างเฝ้าสุสานของฮูหยินผู้เฒ่าหลัวเพื่อไว้ทุกข์จึงยังไม่ได้ตกลงแต่งงานออกไปกับคุณชายตระกูลใด แต่เดิมทีนางก็มองดูลู่ทางเอาไว้แล้วเพราะสิ้นท่านย่าของนางไปท่านแม่รองกับน้องสาวคนเล็กของนางคงลำบากเพราะฮูหยินใหญ่ผู้นี้นั้นไม่ใช่คนดีอันใดบัดนี้สิ้นบุญท่านย่าแล้วนางคงได้แต่หาบุรุษธรรมดาสักคนมาแต่งงานบังหน้าแล้วแอบจ่ายเงินแก้ปัญหา ทว่ามิคาดฮูหยินใหญ่และบิดาของนางจะไม่รอเวลาครบหนึ่งหนาวไว้ทุกข์ก็ยอมรับหนังสือสู่ขอขององค์ไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วเสียแล้ว ซึ่งหากรับหนังสือสู่ขออย่างเดียวนางคงไม่ร้อนใจ แต่ที่นางรับไม่ได้และไม่ยินยอมอยู่ในขณะนี้ก็คือบิดากำลังบีบบังคับให้นางแต่งงานไปเป็นตัวแถมของน้องสาวคนที่สามเช่นที่อายุห่างจากนางอยู่สามเดือนแต่กลับอย่างเร่งออกเรือนจนตัวสั่นนะสิ!
…ครอบครัวนี้มันช่างวิปริตเสียจริง เพื่ออำนาจวาสนาเรื่องอกตัญญูเช่นนั้นก็ยังทำได้ลง!…
มีอย่างที่ใดพี่กับน้องสาวแต่งงานกับบุรุษคนเดียวกัน มีสามีคนเดียวกัน ผู้อื่นหลัวเฟยเฟิ่งยังอาจจะหลับหูหลับตาแต่งไปก่อนจากนั้นค่อยหาวิธีซื้อหนังสือหย่าจากน้องเขยในภายหลัง แต่คนผู้นั้นเป็นถึงองค์ชาย ไม่สิ เขาเป็นถึงองค์ไท่จื่อไปเมื่อสามเดือนก่อนแล้วเป็นว่าที่ฮ่องเต้พระองค์ต่อไปอย่างแน่นอน แค่เชื้อพระวงศ์หลัวเฟยเฟิ่งก็ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยวแล้ว นี่เป็นถึงว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปเชียวนะนางยิ่งไม่คิดจะเข้าใกล้
ถึงนางจะมีนามที่แปลได้ความว่า'หงส์ทะยานบิน'แต่กลับไม่เคยมีใจคิดใฝ่สูงเช่นนั้นเลย หลัวเฟยเฟิ่งนั้นอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย ออกเดินทางท่องไปในใต้หล้าเพื่อนำวิชาแพทย์ของตนเองที่ได้ร่ำเรียนมาไปช่วยเหลือผู้คนเป็นแค่เพียงนกนางแอ่นน้อยโบยบินอย่างอิสระเสรี หากวันใดท่านแม่รองของนางแก่เฒ่าจนมิอาจรับใช้บิดาได้แล้วนางก็จะรับอีกฝ่ายไปเลี้ยงดูเองไม่รบกวนคนสกุลหลัวเด็ดขาด แต่ใครจะคิดว่าความฝันของนางกำลังจะพังทลายเพราะน้องสาวต่างมารดานั้นอยากเป็นใหญ่เป็นโตเกินตัวเช่นนี้อยากเป็นใหญ่ก็แล้วไปเถิดแต่เหตุใดต้องลากนางดิ่งลงขุมนรกไปด้วยเล่า?!
เผียะ! โครม!
เรือนกายอรชรถูกบิดาตบจนปลิวไปกระแทกกับโต๊ะมุมห้องสติของหลัวเฟยเฟิ่งนั้นมืดสนิทไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมารับรู้ถึงอ้อมกอดของมารดาเลี้ยงที่นางอาจรักมากกว่ามารดาแท้จริงที่ทอดทิ้งกันไปโอบกอดตนเองเอาไว้แนบแน่น ปากของนางจางซื่อก็ร้องบอกให้สามีของนางหยุดมือหยุดเท้าอย่าทำร้ายเด็กสาวน่าสงสารอีกเลย
"พอแล้ว พอเถิดเจ้าค่ะนายท่าน ได้โปรดอย่าตบตีเสี่ยวเฟิ่งอีกเลย"
นางจางซื่อพยายามวิงวอนและขอร้องให้สามีของนางนั้นเมตตาคนตัวน้อยในอ้อมแขนของตนเองด้วยน้ำตาเต็มใบหน้าแต่คนจิตใจดำมืดมีหรือจะฟังคำห้ามปรามเหล่านั้น'หลัวเหยียนฟ่าน'ยังคงตรงเข้าไปกระชากลากถูเรือนกายอรชรของบุตรสาวที่บัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยโลหินแดงฉานดวงตาของหลัวเฟยเฟิ่งนั้นยังดูลอยคว้างคาดว่าคงยังมีสติไม่ครบถ้วนเลยด้วยซ้ำไป
"ข้าให้เจ้าแต่งเจ้าก็ต้องแต่งออกไปหาไม่ หึ!หากเจ้าไม่ยินยอมแต่งออกไปพร้อมกับเมี่ยวเอ๋อร์ชาตินี้ข้าก็จะไม่ให้เข้าก้าวขาออกไปพ้นจวนสกุลหลัวแน่กิจการโรงหมออะไรนั่นของเจ้าก็อย่าได้หวังทำต่อไปเลย และไม่ใช่เพียงเจ้า ท่านแม่รองกับน้องเล็กของเจ้าข้าก็จะขายพวกนางออกไปยังหอนางโลมที่ชายแดนเสีย! เหล่าซานเอากรรไกรมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!"
เสียงเอ็ดอึงของฮูหยินรองหยวนกับนายท่านหลัวดังออกไปถึงหน้าจวน แต่ฮูหยินใหญ่และคุณหนูสามนั้นกลับไม่สนใจพากันนั่งเลือกผ้าและเครื่องประดับราวกับภายในจวนนี้สงบสุขหนักหนา ก็สามีนั้นจัดการแทนแล้วนางจะเดือดร้อนให้ตนเองดูไม่ดีในสายตาของบ่าวไพร่ภายในจวนไปไย ยิ่งอีกไม่นานนางจะเป็นมารดาของไท่จื่อเฟย ภาพลักษณ์ย่อมต้องงดงาม บุตรสาวของนางก็เช่นกัน หลัวเฟยเมี่ยวนั้นราวกับถอดแบบนิสัยของคนเป็นมารดาไม่มีผิดดังนั้นแล้วขณะนี้ใครจะถูกตีจนตายก็ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อยขอเพียงนางได้ดังที่ใจที่ตนเองมุ่งหวังล้วนพอแล้ว
"ยอมแล้ว...ข้ายอมแล้ว..."
และนั่นคือจุดจบที่หลัวเฟยเฟิ่งจำเป็นต้องเลือก เพราะนางใจดำอำมหิตไม่พอ นางเห็นคนที่เลี้ยงดูตนเองและน้องสาวตัวน้อยวัยเพียงสิบสามหนาวถูกขายออกไปให้กับหอนางโลมไม่ได้จริงๆ นางจางซื่อหนาวนี้ถึงยังงดงามอยู่มากแต่การเป็นนางโลมย่อมไม่ได้ดีงาม ยิ่ง'หลัวเฟยลี่'ถึงจะอายุเพียงเท่านั้นแต่กลับเห็นแววความงดงามมาแล้วถึงเจ็ดส่วนปล่อยเวลาผ่านไปอีกสักหนึ่งถึงสองหนาวหลัวเฟยลี่คงงดงามล่มบ้านล่มเมืองเช่นกัน ไปอยู่ในหอนางโลมชีวิตก็คงจบสิ้นลงแล้ว
ยิ่งขณะนี้พี่ชายเช่นหลัวเฟยหรงนั้นอยู่ไกลถึงชายแดนคงไม่มีผู้ใดขัดขวางบิดาได้ หากนางไม่กระโดดลงหลุมก็คงมิอาจช่วยอีกสองชีวิตได้อีกแล้ว
"หากแต่ก่อนข้านั้นจะแต่งงานออกไปพร้อมกับน้องสาม ขอนายท่านหลัวช่วยส่งแม่รองกับน้องเล็กกลับบ้านเดิมของพวกนางด้วย หาไม่ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่ยอมเข้าตำหนักบูรพา!"
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะปกป้องทั้งสองชีวิตให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต ในเมื่อหลัวเหยียนฟ่านคิดจะขายทั้งสองได้หนึ่งครั้งอนาคตก็ยากจะรับรองได้ว่าบุรุษใจทมิฬผู้นี้จะไม่คิดขายทั้งสองอีก ยังดีว่าสุดท้ายนายท่านหลัวก็ยอมถอยหนึ่งก้าว ดังนั้นหลัวเฟยเฟิ่งจึงไม่นิ่งนอนใจ นางเปลี่ยนแผนส่งมารดาเลี้ยงกับน้องสาวคนเล็กไปอีกทางไม่ยอมส่งกลับบ้านเดิมของนางจางซื่อเพราะไม่วางใจบุรุษเช่นบิดาตนเอง ชีวิตสิบแปดหนาวของนางสอนอะไรมามาก
โดยเฉพาะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นคนมีศักดิ์เป็นบิดาของนาง ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าภายหลังจะไปตลบหลังนางกับนางจางซื่อมีเพียงต้องป้องกันเอาไว้ก่อนเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้เมื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปเป็นตัวแถมให้กับน้องสาวต่างมารดานางจึงหมดกังวล บุญคุณความแค้นหลัวเฟยเฟิ่งตัดมันจบลงนับจากก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวทั้งเล็กทั้งคับแคบหลังนี้แล้ว นางกับบุรุษเช่นหลัวเหยียนฟ่านตัดขาดกันจากนี้ตลอดไป
เพราะในคราวนี้นอกจากชุดเจ้าสาวกับเครื่องประดับที่เป็นของพระราชทานไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นเจ้าบ่าวแล้วนางก็ไม่มีสิ่งใดติดกายมาอีกนอกจากแมวสีขาวดวงตาสองสีที่หลัวเฟยลี่มอบเอาไว้เป็นสิ่งแทนตัวและแทนใจ ก่อนจากลาระหว่างพี่น้องเท่านั้น...
ตอนพิเศษหลังจากผ่านเรื่องราววุ่นวายทั้งร้ายและดีร่วมกันมาถึงสิบเอ็ดเดือนนับจากวันที่บุกเข้าจู่โจมและยึดคืนราชบัลลังก์ บัดนี้ต้าเว่ยกลับมาสงบสุขอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นพิธีครองราชย์หลีเซี่ยงหลิ่วก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ โดยมีนามว่าเซียวอู๋ตี้ฮ่องเต้และมีจางเยี่ยนจื่อเป็นฮองเฮาเคียงข้างที่ชาวต้าเว่ยและขุนนางทั้งหลายมิได้คัดค้านหรือไม่พึงใจเพราะเซียวอู๋ตี้ฮ่องเต้นั้นประกาศถึงคุณงามความดีของจางฮองเฮาว่านางคือสตรีเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาในยามยากช่วยชีวิตจนเขาผ่านพ้นปรโลกมาได้ฝ่ายของจางเยี่ยนจื่อนั้นที่นางเลือกจะใช้แซ่จางต่อไปไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แซ่เดิมของมารดาก็เพราะนางอยากจะยกย่องนางจางซื่อที่เลี้ยงดูตนเองมาแต่สุดท้ายกลับต้องมาจบชีวิตลงเพราะพี่ชายของตนเองซึ่งแน่นอนว่าหลีเซี่ยงหลิ่วนั้นตามใจนางอยู่แล้วและวันนี้นางก็มายืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพขนาดเล็กที่สลักคำว่า'ไป๋ลู่'เอาไว้ด้วยแผ่นหินอย่างดี ซึ่งมันตั้งอยู่ที่ท้ายตำหนักหนิงเฟิ่งของและสามีด้วยฝีมือการขนย้ายของฉางเฉี่ยนกับจงเจิ้งที่จัดการมาให้ตามคำสั่งของเซียวอู๋ตี้ผู้เป็นนาย"ความจริงข้าอยากจะย้ายเอาไปไว้ที่สุสานของนางจางซื่อและหลัวเฟยล
ตอนจบและอีกหนึ่งเดือนต่อมากองทัพของไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วก็มาถึงตำบลฝูซานที่ตั้งอยู่นอกประตูเมืองอยู่หนึ่งร้อยลี้ด้วยกำลังทหารที่มากถึงสองแสนเจ็ดหมื่นสามพันคน เรียกว่าเพียงแค่ได้ข่าวถึงจะแค้นแสนแค้นหลัวเหยียนฟ่านก็ยังไม่กล้าเคลื่อนทัพออกมาเอาชีวิตของหลีเซี่ยงหลิ่วเช่นที่เขานั้นเคยลั่นวาจาเอาไว้แม้แต่น้อยภายในเมืองนั้นวุ่นวายไปด้วยครอบครัวขุนนางกังฉินที่ยืนอยู่ฝ่ายหลีซือหลางที่ต่างพากันเคลื่อนย้ายทรัพย์สินและผู้คนเนื่องจากคราวนี้แน่นอนว่าผู้ใดจะชนะแล้วต่อให้ทหารของไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วยังไม่ได้เข้าประตูเมืองมา เพราะชาวบ้านชาวเมืองนั้นแค่เพียงทราบข่าวว่าไท่จื่อเคลื่อนทัพมาทวงราชบัลลังก์คืนพวกเขาล้วนต่างยินดีปรีดาเตรียมพร้อมที่จะเปิดประตูเมืองต้อนรับฮ่องเต้ที่พวกเขาพึงใจมากกว่าหลีซือหลางที่เป็นเพียงกบฏอำมหิตสังหารบิดาและพี่น้องจนหมดสิ้นแต่เพียงขบวนหลบหนีของเหล่าขุนนางกังฉินและทหารหนีกองเคลื่อนออกพ้นประตูเมืองก็ถูกคนของหลีเซี่ยงหลิ่วจับกุมเอาไว้ได้ทั้งหมด บุรุษหากเป็นสายรองก็จะถูกส่งไปใช้แรงงานในเหมือง ส่วนสตรีนั้นจะถูกส่งไปทำนาเกลือรวมทั้งเด็กและคนชราส่วนบุรุษสายตรงล้วนถูกตัดสินประหารท
บทที่40ดังนั้นในยามสายของอีกวันต่อมาขณะที่จางเยี่ยนจื่อนั้นเตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อจะติดตามสามีของนางไปทำศึกใหญ่ในฐานะหมอหลวงประจำตัวของแม่ทัพใหญ่เช่นไท่จื่อหลีเซี่ยงหลิ่วอยู่นั่นเอง'ข่าว'ที่ท่านหญิงหยวนข้อมือขวาหายไปในยามถูกควบคุมตัวไปยังวัดบนเขาก็ลอยมาเข้าหูของหญิงสาวเข้าจนได้ครั้งแรกจางเยี่ยนจื่อก็เตรียมจะวางมือจากงานตรงหน้าแล้วไปต่อว่าหลีเซี่ยงหลิ่วที่ไม่รักษาสัญญาหกทบทวนจนถี่ถ้วนก็ค่อยกระจ่างเป็นนางที่ไม่รอบคอบเองเพราะนางเพียงถามเขาเท่านั้นว่า ‘ท่านจะไปเอาความหยวนโม่ซินหรือจะอยู่เอาความกับจื่อจื่อดีเล่า? ‘เท่านั้นนางไม่ได้สั่งห้ามเขาอย่างเด็ดขาดและจริงจังว่าห้ามไปเอาความกับหยวนโม่ซินอีก"มือก็ตัดไปแล้ว ดูแล้วก็คงหลายชั่วยามไปช่วยต่อให้ก็คงไม่ได้ผล เฮ้อ คืนนี้ก็ไม่ต้องเข้ามานอนให้ห้องกับข้าก็แล้วกัน!"ซึ่งจางเยี่ยนจื่อนั้นไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแต่นางจริงจังอย่างยิ่งดังนั้นตกดึกของค่ำคืนนั้นเรือนรับรองฝั่งของมู่หยางอ๋องจึงต้องต้อนรับหลานชายที่เดินหน้าบึ้งตึงราวกับหนังกลองที่แม้แต่อาหารมื้อค่ำก็ยังไม่ได้กิน คิ้วเข้มของหนุ่มใหญ่พลันขมวดไม่เข้าใจว่าเหตุหลีเซี่ยงหลิ่วผู้ไม่
บทที่39หลังจากตัดสินคดีความเรียบร้อยจางเยี่ยนจื่อนั้นก็แยกตัวไปรักษาอาการให้กับหยวนโม่ซินส่วนอดีตพระชายาเหลียงก็เป็นหน้าที่ของหมอหลวงประจำตำหนักเหลียงอ๋องไป ส่วนมู่หยางอ๋องนั้นก็มีตัวของซื่อจื่อน้อยไปเป็นภาระอีกหนึ่งคนมีเพียงหลีเซี่ยงหลิ่วที่ว่างแล้วเขาจึงติดตามภรรยาของตนเองไปทว่า..."รักษาด้วยการแช่น้ำสมุนไพรและฝังเข็มต้องปลดอาภรณ์ออกทั้งหมด ท่านจะไปช่วยอยู่หรือไม่?"จางเยี่ยนจื่อนั้นหันกลับมาถามอีกฝ่ายเสียงสงบ ทำเอาบุรุษตัวโตราวกับหมียักษ์ถึงกับยิ้มเจื่อนไม่กล้าขยับขาก้าวตามภรรยาตัวน้อยไปอีก"เช่นนั้นเจ้ารีบกลับนะ ข้าจะรอนอนพร้อมกับเจ้า""ดวงตาของเราใช้ร่วมกันหรือ?""ไม่ได้ใช้ร่วมกัน""เช่นนั้นจะรอหม่อมฉันด้วยเหตุอันใด ไปนอนเพคะ"จางเยี่ยนจื่อกล่าวแล้วก็ไม่ใส่ใจบุรุษผู้เป็นสามีของตนเองอีก ปล่อยให้หลีเซี่ยงหลิ่วหน้าตาบิดเบี้ยวเพราะรู้สึกขัดใจแต่จะทำสิ่งใดได้อยู่อีกนอกจากหันหลังกลับไปยังเรือนรับรองไปนอนดังที่ภรรยาออกคำสั่งด้วยกิริยากระฟัดกระเฟียดชวนขบขันยิ่งนักในสายตาขององครักษ์ทั้งสามชีวิตที่ติดตามองค์ไท่จื่อแห่งต้าเว่ยเช่นจงเจิ้ง หย่งเซิ่งและเกาเหิงยิ่งนัก"ข้าไม่ได้กลัวนางนะ ข้าแค











