อินชิงเสวียนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่แล้วก็นอนไม่หลับอีกเธอปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่ต้องบอกว่าทรมานขนาดไหนเมื่อก่อนมักจะได้ยินคุณย่าพูดว่านอนหลับมันทรมาน อินชิงเสวียนคิดว่าแกคงพูดเกินจริง ตอนนี้เมื่อประสบกับตัวเองโดยตรงถึงรู้ว่าเกือบตายเธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงทั้งวัน ข้าวก็แทบจะไม่ได้กิน ทุกข์ทรมานจนดวงอาทิตย์ลับของฟ้า เมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นอินชิงเสวียนจึงรู้สึกง่วงอวิ๋นฉ่ายอยากถามเธอว่าคืนนี้จะออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นพระสนมของตนดูท่าทางไม่ค่อยดี จึงกลืนเอาคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาลงท้องไปอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้าสว่างไสวแล้วเธอบิดขี้เกียจอย่างสบาย ๆ แต่ในใจยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่การนอนไม่หลับนั้นมันทรมานราวเหมือนจะตายเลยจริง ๆเมื่อเจ้าหมาน้อยได้ยินเสียงแม่ของเขา ก็ร้องอุแว้ ๆ ขึ้นมาทันทีอินชิงเสวียนเดินออกไปที่ห้องด้านนอก แล้วอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาดูเหมือนเจ้าหมาน้อยจะรู้จักแม่ของเขาแล้ว กวัดแกว่งมือเท้าด้วยความดีใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ดวงตาสีเข้มของเขาโค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ สองอัน อินชิงเสวียนมองอย่างอารมณ์ดี หอมเข้
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่จิ้งเสียนก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีดึกดื่นป่านนี้ ฝ่าบาทกลับเรียกหาซูฉ่ายเวย หรือว่าต้องการให้หญิงสารเลวนั้นมาเข้าเฝ้าหลับนอนด้วยอย่างนั้นหรือ?หากนางได้มาเข้าเฝ้า เช่นนั้นแล้ววังหลังยังจะมีที่ว่างให้ตนได้อย่างไรนางรีบเอามือกุมท้องแล้วส่งเสียงร้องโอดโอย"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บเหลือเกินเพคะ"ชุ่ยจู๋ร้องขึ้นทันที "ฝ่าบาททรงโปรดช่วยเหลือพระสนมด้วยเพคะ พระสนมอาการโรคหัวใจกำเริบอีกแล้วเพคะ"เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่ง แววตาถากถางพูดขึ้นเรียบ ๆ ว่า "ทหาร รีบพาสนมเสียนเฟยไปหาหมอหลวงเดี๋ยวนี้"ลู่จิ้งเสียนเอามือกุมอก พูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้น "ฝ่าบาท อยู่กับหม่อมฉันเถอะนะเพคะ"เย่จิ่งอวี้คำรามเสียงเย็น "ข้าไม่ใช่หมอ อยู่กับเจ้าจะช่วยอะไรได้""ฝ่าบาท!"ลู่จิ้งเสียนไม่ยอมแพ้ ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง แต่ถูกขันทีหลายคนหามขึ้นมา ลู่จิ้งเสียนโมโหจนแทบกระอักเลือด ทั้งก่นด่าทั้งดีดดิ้น"ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมดเดี๋ยวนี้"ในขณะเดียวกัน ขันทีที่ต้องไปรับซูฉ่ายเวยก็มาถึงหอฉงฮวาซูฉ่ายเวยกำลังหลับสบาย จู่ ๆ ก็ได้ยินว่าฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้าก็ตื่นเต้นดีใจจนตกลงจากเตียง"เร็วเข้า รีบแต่งหน
อินชิงเสวียนเหลือบมองประตูวัง ข้างบนเขียนว่าหอฉงฮวาเดิมทีเธอรู้สึกผิดต่อสนมนางนี้เล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะตนที่ทำให้นางต้องว้าวุ่น แต่เมื่อดูท่าทางโกรธกริ้วของนางในตอนนี้นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าความกังวลของเธอนั้นไม่จำเป็นเลยแต่ทว่าอีกฝ่ายก็เป็นถึงสนม ถึงอย่างไรก็ต้องแสดงออกเสียหน่อยเธอรีบยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “คารวะพระสนม"ซูฉ่ายเวยก้มหน้ามองอินชิงเสวียนถือของอยู่ในอ้อมแขนก็พูดขึ้น "เจ้าถืออะไรอยู่ในมือ ไปขโมยมาจากไหน?"อยู่ดี ๆ ก็บอกว่าเธอขโมย อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ชอบใจเธอก้มศีรษะลงและแสดงความนอบน้อมต่อซูฉ่ายเวย“กระหม่อมไม่ได้ขโมย นี่เป็นสิ่งของที่ต้องมอบให้ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ"ซูฉ่ายเวยกวาดสายตาประเมินอยู่ชั่วครู่ สายตาก็ไปจับจ้องที่ใบหูของอินชิงเสวียน“เจ้าทาสรับใช้สามหาว เจ้ากล้าพูดไร้สาระ ฮ่องเต้บรรทมไปแล้ว เหตุใดถึงยังจะมารับของจากเจ้า เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าไปขโมยมาจากที่ไหนกันแน่"อินชิงเสวียนถูกหยิกจนเจ็บ จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันทียังไม่ได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เสียหน่อย ทำไมต้องกลัวแค่หญิงงามคนหนึ่งด้วยจากน
อินชิงเสวียนงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ทันที"นี่มันสำหรับข้าใช่หรือไม่?""เอ่อ....ใช่พ่ะย่ะค่ะ!"อินชิงเสวียนฝืนยิ้มเย่จิ่งอวี้หยิบเกี๊ยวมาอันนึ่งใส่เข้าไปในปากหลี่เต๋อฝูอุทานด้วยความตกใจ "ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!"ยังไม่ได้ตรวจสอบยาพิษเลยนะเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้กินมันเข้าไปโดยไม่มีความระแวดระวังใด ๆ อินชิงเสวียนเสียดาย หากรู้แต่แรกว่าเขาคือฮ่องเต้เฮงซวยนี่ ก็คงเอายาพิษใส่ให้กิน หรืออย่างน้อยยาถ่ายก็ยังดีกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามขึ้นว่า “แล้วนี่มันคือสิ่งใดอีก?"อินชิงเสวียนรู้สึกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแสร้งทำท่าทางนอบน้อม "สิ่งนี้เรียกว่าเกี๊ยว หรือเรียกอีกอย่างว่าหยวนเป่าพ่ะค่ะย่ะ"เย่จิ่งอวี้มองดูรูปร่างของเกี๊ยวซึ่งดูเหมือนเงินหยวนเป่าจริง ๆก็ถามขึ้นอีกว่า “เครื่องปรุงที่ใช้ทำเกี๊ยวก็มาจากฮว๋าเซี่ยเช่นกันหรือ?"อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "พ่ะย่ะค่ะ"แต่ในใจของเธอกำลังคิดหาวิธีหลบหนี หากตนไม่กลับไปทั้งคืน ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายจะต้องร้อนใจอย่างมากแน่ ๆไหนจะขันทีเฒ่าที่ชื่อหลี่เต๋อฝูนั่นอีก ชอบทำคอยาวจ้องมาที่ตน ไม่รู้ว่าต
"บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นคนของวังไหน ข้าจะให้หลี่เต๋อฝูไปเอามา"เย่จิ่งอวี้ได้แสดงความอดทนเป็นพิเศษต่อทาสรับใช้คนนี้อย่างมากแล้วอินชิงเสวียนสาปแช่งอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้สารเลวนี่คงไม่หลงกลง่าย ๆ จริง ๆเธอหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ จริง ๆ แล้วเมล็ดพันธุ์ก็อยู่กับตัวกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปเอาเดี๋ยวนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ เธอก็วิ่งออกจากตำหนักเฉิงเทียนไปเมื่อมองดูแผ่นหลังของเธอ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วแค่หยิบเมล็ดพันธ์ุออกมาทำไมต้องวิ่งออกไปข้างนอกด้วย ทาสรับใช้ผู้นี้ทำไมถึงทำตัวพิลึกพิกลเช่นนี้อินชิงเสวียนวิ่งมาถึงประตูแล้วก็เดินไปยืนที่เสาต้นหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เธอจึงรีบเข้าไปในมิติแล้วใช้คะแนนห้าแต้มแลกเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีออกมาเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องยากในการอธิบายที่มาของถุงพลาสติก เธอจึงแลกกระดาษหนังวัวออกมาใบหนึ่ง แล้วห่อเมล็ดทั้งหมดไว้แล้วนำออกมาเธอทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนชาวต้าโจว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเย่จิ่งอวี้เธอปลอบใจตัวเองแล้วเดินออกจากมิติมาหลี่เต๋อฝูบังเอิญเดินผ่านมาพอดี รู้สึกเพี
เช้าวันถัดมาอินชิงเสวียนตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตู เมื่อลืมตาขึ้นมาถึงคิดได้ว่าตนเองอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนมองดูตะวันทอแสงข้างนอก อินชิงเสวียนเดาว่าเย่เฉิงอวี้คงไปว่าราชการแล้ว ตนเองตื่นสายกว่าฮ่องเต้เสียอีก แบบนี้ดูจะไม่ดีเลยทีเดียวเมื่อเปิดประตูออกไป ก็มองเห็นเสี่ยวอานจื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู"เสี่ยวเสวียนจื่อ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที ให้คนอื่นเขารอจนร้อนอกร้อนใจไปหมดแล้วนะ"เสี่ยวอานจื่อกระทืบเท้าด้วยท่าทีกระแนะกระแหน จนอินชิงเสวียนที่มองดูถึงกับขนลุก"เสี่ยวอานจื่อกงกง เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ?"เสี่ยวอานจื่อยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว และจับไปที่เสื้อผ้าบนบ่าของอินชิงเสวียน"แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว ฝ่าบาทรับสั่งให้คนไปตัดถอนดอกไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียงออกและขุดเป็นแปลงผักแล้ว ตอนนี้รอเพียงเจ้าไปเพาะปลูก"อินชิงเสวียนเอามือทุบไปที่หัว ตนเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท"เช่นนั้นเราก็รีบไปดูกันเถอะ""เสี่ยวอานจื่อมองนาง "รีบไปเถอะ"อินชิงเสวียนออกจากห้อง ไป๋เสวี่ยก็ตามไปด้วยเสี่ยวอานจื่อตกใจ "ไม่ได้นะ ท่านไป๋เสวี่ยจะออกไปข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้"ตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยโดนกลั่นแกล้
ต้นไม้เพิ่งจะขุดขึ้นมา ทำให้ติดไฟยาก อินชิงเสวียนจึงให้คนหาไม้ฝืนมาจุดไฟเผาพร้อมกับพวกต้นไม้ด้วยทันใดนั้นก็มีควันขโมงขึ้นมา เย่จิ่งอวี้สำลักควันจนไอไม่หยุดหลี่เต๋อฝูรีบพูดขึ้นว่า "ฝ่าบาท ที่นี่ควันคลุ้งมาก เรากลับไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะเย่จิ่งอวี้ยกมือปิดจมูกไว้ แล้วพูดกับอินชิงเสวียนว่า "เผามันจนเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นแค่โรยมันไปบนหน้าดินใช่ไหม?"อินชิงเสวียนเองก็สำลักควันจนคอแห้งเช่นกัน ยกมือปิดปากแล้วพูดว่า "แค่กๆ พักไว้จนเย็นก็สามารถใช้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ตอบรับแล้วพูดว่า "หลี่เต๋อฝู เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ รอจนเถ้าถ่านโรยเสร็จหมดแล้วค่อยกลับห้องหนังสือ"หลี่เต๋อฝูหลุบตาลง"บ่าวน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ก้าวขาเดินไปแล้ว อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่กับที่กลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ควรจะตามไปด้วยหรือไม่?หลี่เต๋อฝูถือโอกาสมองไปที่ขาของอินชิงเสวียน โชคดีที่ยังมีเงาก็คงไม่ใช่ผีสางล่ะนะจากนั้นก็พูดเสียงสูงว่า "ยังไม่รีบตามเสด็จไปอีก ฝ่าบาททรงโปรดชาอุณหภูมิที่ร้อนกำลังดี ก่อนเสวยพระกระยาหารต้องทดสอบด้วยเข็มเงินเสียก่อน ฝ่าบาทไม่โปรดการบรรทมตอนกลางวัน ขณะที่กำลังอ่าน
สีหน้าอวิ๋นฉ่ายเปลี่ยนไปทันที เธอยกแขนขึ้นจับยายหลี่ไว้แน่นความตกใจกลัวฉายแววในดวงตาของยายหลี่ จากนั้นนางกัดฟันแน่น และหยิบเอาท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าประตูขึ้น"ยายแก่ ข้าคนนี้ไม่ยอมแพ้พวกเจ้าหรอก"อินชิงเสวียนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงสวมรองเท้าและตามออกไป"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"อวิ๋นฉ่ายรั้งเธอเอาไว้ ร้องไห้พร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไรเพคะ พระสนม พระองค์อย่าออกไปเพคะ"อินชิงเสวียนผลักอวิ๋นฉ่ายออก และเดินออกมาที่ประตูวังอย่างรวดเร็วก็ได้ยินเสียงหวังเอ้อร์หวู่พูดด้วยเจตนาไม่ดีว่า "ต่อไปถ้าปรนนิบัติข้าให้พอใจแล้ว รับรองเรื่องกินของพวกเจ้าไม่มีขาด ดังนั้นถ้ารู้ความก็รีบย้ายหินที่ปิดรูบนกำแพงออก ให้พวกข้าสองคนได้เข้าไปเล่นสนุกเสีย"หวังต้าหวู่ก็พูดสบทบตามว่า "เดิมทีว่าจะเข้าไปลิ้มรสพระสนมถูกปลดดูเสียหน่อย ใครจะไปนึกว่านางดันตายไปเสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ"เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อหันกลับหลัง ก็มองเห็นอวิ๋นฉ่ายน้ำตาไหลพราก นางส่ายหัวให้อินชิงเสวียน แล้ววิ่งเข้าไปในห้องวินาทีนั้น อินชิงเสวียนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวดูเหมือนสองสารเลวนั้นจ